13 ขอบคุณที่อยู่ข้างกัน
ชายหนุ่มพาพราววรินทร์ออกมาจากโรงพยาบาลจากนั้นก็เลี้ยวไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ที่สุด เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างแล้วจึงอยากพาหญิงสาวมาหาอะไรทานก่อนกลับ
“เอรินอยากกินอะไร วันนี้ผมเลี้ยงเอง อยากขอบคุณที่มาอยู่ด้วยทั้งวัน”
“เลี้ยงอีกแล้ว นายยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ เอาเงินมาจากไหน” หญิงสาวทำเสียงตำหนิ
“เรียนไม่จบแต่ก็มีเงินพอที่จะเลี้ยงเอรินหรอกน่า”
“ตอบมาก่อนสิ เอาเงินมาจากไหน” เธอไม่เห็นด้วยที่เขาจะเอาเงินจากทางบ้านมาใช้จ่ายแบบนี้
“งานพิเศษ ผมรับออกแบบและเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์พอได้เงินมาบ้าง”
“แล้วมีงานพิเศษบ่อยไหม”
“ก็มีมาเรื่อยๆ อันที่จริงมากกว่าเงินที่พ่อกับแม่ให้ด้วยซ้ำ”
“นายก็เก่งดีเหมือนกันนะ” พราววรินทร์ชมจากใจจริง เพราะดูแล้วถ้าเขาจะไม่ทำงานพิเศษก็คงมีเงินใช้จ่ายอย่างสบายอยู่แล้ว
“แน่นอนอยู่แล้ว ว่าแต่คิดออกหรือยังว่าจะกินอะไร”
“พี่คิดไม่ออกเหมือนกันไปเดินดูก่อนไหม”
แล้วทั้งสองคนก็ไปยังชั้น 3 ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหารมากมาย พอเดินดูไปเรื่อยๆ สิปปกรก็คิดออกว่าเขาอยากทานอะไรแต่ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะยอมทานเป็นเพื่อนเขาหรือเปล่า
“เอริน มีร้านหนึ่งผมอยากกิน แต่ไม่รู้ว่าเอรินจะกินด้วยไหม”
“กินสิ พี่กินง่าย” แม้ยังไม่รู้ว่าสิปปกรจะชวนทานอะไรแต่เธอก็ทานอาหารได้เกือบทุกประเภท
“คือผมอยากกินอาหารญี่ปุ่น เอรินจะกินด้วยไหมครับ” สีหน้าของเขาดูจริงจัง
“กินซิ ทำไมนายถึงคิดว่าพี่จะไม่กินล่ะ”
“ไม่รู้สิ ผมเคยชวนพี่โอห์มมากินด้วยกันแต่เขาไม่ยอมมา บอกว่าไม่ชอบกินอาหารดิบๆ และไม่ชอบข้าวปั้นเพราะกลัวขี้มือคนทำ”
“เชฟเขาก็ใส่ถุงมือไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ แต่พี่ผมก็ยังไม่ยอมมากินอยู่ดีนั่นแหละ แปลกคน”
พราววรินทร์พยักหน้าเห็นด้วยกับสิปปกร
“จะบอกอะไรให้นะอันที่จริงซูชิ ซาซิมินี่อาหารโปรดพี่เลยแหละ” เธอยิ้มให้เขาจากนั้นทั้งสองคนก็พากันไปร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ตรงหน้า
“ดีจังที่เอรินชอบ เราจะได้มากินด้วยกันบ่อยๆ” สิปปกรรู้สึกว่าอย่างน้อยในเวลานี้เขาก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน แต่ใช่ว่าเขาจะลืมเรื่องของกฤตพลเพียงแต่ตอนนี้เขาขอมีความสุขบ้างก็เท่านั้นเอง
กว่าจะออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นก็เป็นเวลาเกือบ 2 ทุ่ม
“เอริน รอผมที่ร้านหนังสือก่อนได้ไหมครับ ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”
“ได้สิ ว่าจะหาหนังสืออ่านอยู่พอดีเลย” พราววรินทร์เป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้วจึงไปลำบากใจเลยสักนิดที่จะไปรอเขาที่นั่น
“เดี๋ยวผมมานะ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็วิ่งปร๋อไปจากหน้าร้านหนังสือ
สิปปกรไม่ได้ไปห้องน้ำอย่างที่บอกกับพราววรินทร์แต่เขาไปที่ร้านตุ๊กตาที่อยู่ไม่ไกลจากร้านหนังสือ ชายหนุ่มอยากซื้อให้เธอเป็นของขวัญเพื่อขอบคุณที่วันนี้เธออยู่เป็นเพื่อนเขาทั้งวัน
เขาใช้เวลาเลือกอยู่นานก็ยังไม่ได้ตัวที่ถูกใจ เขาไม่รู้จักเพื่อนของเธอเลยสักคนจึงไม่รู้ว่าจะไปถามจากที่ไหน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจากนั้นก็เข้าไปที่เฟซบุ๊ก เขาดูรายชื่อของเพื่อนพี่ชายเพื่อนหาดูว่ามีเธออยู่ในนั้นหรือเปล่า เพราะบางทีคนเราก็มักจะโพสต์ในสิ่งที่ตัวเองชอบลงไปในนั้น
สิปปกรเลื่อนไปดูรายชื่อเพื่อนที่มีอยู่ไม่มากของพี่ชายแล้วรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า หญิงสาวใช้ชื่อว่า ‘เอริน พราว’ เขาสามารถเข้าไปดูรูปของเธอได้เพราะเธอไม่ได้ตั้งความเป็นส่วนตัวไว้ และรูปที่หญิงสาวมักจะโพสต์ไม่มีอะไรแตกต่างจากคนทั่วไปมีรูปอาหาร รูปเพื่อนที่ทำงาน และรูปที่เธอกับเพื่อนร่วมงานไปเที่ยวทะเลด้วยกันก่อนที่เขาจะได้เจอกับเธอและมีรูปหนึ่งที่แปลกออกไปคือรูปต้นกระบองเพชรดูเหมือนว่ามันจะตายแล้ว เพราะมันกลายเป็นสีดำคล้ำ เขาอ่านคอมเมนต์ใต้ภาพแล้วก็พอรู้ว่าเธอซื้อต้นนี้มาเพราะคิดว่าต้นไม้ชนิดนี้ดูแลง่ายที่สุด แต่ผ่านไปเพียงแค่ 1 สัปดาห์ต้นไม้ที่แข็งแรงก็ตาย
“มีตุ๊กตารูปต้นกระบองเพชรไหมครับ” เขาเดินไปถามคนขายเพราะไม่อยากเสียเวลาหา
“มีแต่เป็นตุ๊กตาผ้าห่มค่ะ คล้ายๆ กันคุณลูกค้าจะดูก่อนไหมคะ”
สิปปกรเดินตามพนักงานสาวไปยังชั้นวางสินค้าที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็ตกลงซื้อตุ๊กตาผ้าห่มที่เป็นรูปต้นกระบองเพชร เขาให้คนขายห่อเป็นของขวัญจากนั้นชำระเงินแล้วรีบวิ่งกลับไปยังร้านหนังสือ
พราววรินทร์เลือกหนังสืออยู่ที่ชั้นหนังสือนิทาน ตอนนี้เธอเลือกได้มา 4 เล่มแล้ว หญิงสาวอยากเอาหนังสือนิทานไปบริจาคที่แผนกเด็กของโรงพยาบาลเพราะเมื่อตอนที่เธอไปเยี่ยมเพื่อนของสิปปกรเธอเห็นว่ามีจุดรับบริจาคอยู่ พรุ่งนี้เขาจะไปเยี่ยมเพื่อนอีกเธอเลยคิดว่าจะฝากเขาไปบริจาค
“เอาไปอ่านเองเหรอ” เขาถามพร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นหนังสือในมือหญิงสาว
“ใครจะอ่านกัน นายนี่ถามไม่คิดเลยนะ” เธอหันมาต่อว่า
“อ้าว ถ้าไม่อ่านแล้วจะเลือกซื้อไปทำไม” เขาพูดแล้วหัวเราะนี่เป็นเสียงหัวเราะครั้งแรกที่เธอได้ยินในวันนี้
“ก็จะเอาไปบริจาคที่โรงพยาบาล ตอนเดินผ่านเห็นเขามีจุดรับบริจาคอยู่ พรุ่งนี้พี่ฝากไปด้วยนะ”
“อ๋อ ได้สิ งั้นเดี๋ยวผมสมทบทุนอีก เอรินว่าเอากี่เล่มดีล่ะ”
“เอาไปสัก 10 เล่มก่อนดีไหม พอมีหนังสือออกใหม่อีกก็ค่อยซื้อใหม่”
“ครับ เดี๋ยวผมช่วยเลือกนะ”
“ค่าหนังสือขอจ่ายคนละครึ่งนะ”
“ทำไมต้องคนละครึ่งล่ะ ผมจ่ายเองหนังสือคงไม่แพงเท่าไหร่”
“ถ้านายจ่ายนายก็ได้บุญคนเดียวสิ” เธอบอกเหตุผลแล้วก็ยื่นธนบัตรใบละ 500 บาทให้เขา
“น่าคิดนะ ถ้าช่วยกันจ่ายก็เหมือนทำบุญด้วยกัน” เขาพูดแล้วก็รีบเดินไปชำระเงินทันที
พอออกจากร้านเขาก็ไม่ลืมที่จะเอาถุงที่ฝากตรงเคาน์เตอร์ยื่นให้พราววรินทร์
“ผมให้”
“ให้พี่เหรอ”
“อือ ก็ให้เอรินนั่นแหละ มีกันอยู่ 2 คนจะให้ใครที่ไหนล่ะ”
“ให้ในเนื่องในโอกาสอะไร ปีใหม่ก็ยังไม่ถึงเลย”
“ผมอยากให้แทนคำขอบคุณที่เอรินอยู่กับผมทั้งวัน คิดว่าเอรินคงชอบ”
“ขอบใจนะ”
“ยังไม่ต้องแกะตอนนี้นะ เอาให้ถึงห้องก่อน” เขาไม่รู้ว่าเธอจะชอบของขวัญชิ้นนี้หรือเปล่า เลยไม่อยากให้เธอแกะต่อหน้าเขา เพราะคงทนไม่ได้ถ้าเห็นสีหน้าที่ผิดหวังของเธอตอนที่เห็นของขวัญ