12 เพื่อนกันยังไงก็ต้องคุย
พอทานอาหารเสร็จแล้วเขาก็ขับรถตรงมายังโรงพยาบาลชายหนุ่มรีบวิ่งขึ้นไปยังหน้าห้องผู้ป่วยหนักที่เมื่อวานเขาก็มาแล้วครั้งหนึ่ง
ภาพที่เห็นก็ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อวานเลย ตอนนี้เพื่อนของเค้ายังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงในห้องผู้ป่วยหนักมีทั้งเครื่องช่วยหายใจสายน้ำเกลือและถุงให้เลือดแขวนอยู่เต็มไปหมด
“พี่ตาลครับหมอว่ายังไงบ้าง” สิปปกรถามกฤติกาพี่สาวของเพื่อนสนิทที่นั่งร้องไห้จนตาบวมอยู่หน้าห้องผู้ป่วยหนัก
“เมื่อเช้าหมอบอกว่ามีเลือดคลั่งในกะโหลกศีรษะจึงพาไปผ่าตัดอีกครั้ง พึ่งออกมาก่อนหน้าปาล์มมาถึงไม่นาน ตอนนี้ก็รอให้สมองยุบบวมจากนั้นก็ประเมินอาการอีกที” กฤติกาบอกตามที่ได้คุยกับแพทย์เจ้าของไข้แจ้งมา
“แล้วนิ้วละครับเป็นยังไงบ้างครับ หมอว่ามันจะเป็นเหมือนเดิมไหม”
“หมอไม่กล้ารับปากเพราะกระดูกนิ้วแตกละเอียดเลย ตอนนี้หมอก็ผ่าตัดจัดกระดูกให้แล้วตอนนี้ก็ต้องรอให้แผลหายถึงจะบอกได้อีกทีว่าเหมือนเดิมหรือเปล่า”เธอตอบเพื่อนของน้องชายแล้วก็เลยไปยิ้มให้หญิงสาวที่เดินตามหลังมา
“ครับ แล้วพี่ตาลได้กลับบ้านหรือยัง”
“ยังเลยพี่เป็นห่วงเต้ แล้วนี่พาเพื่อนมาด้วยเหรอ”
“ครับ นี่เอรินเพื่อนผมครับ”
“สวัสดีค่ะ” พราววรินทร์กล่าวทักทาย เธอไม่ได้ยกมือไหว้เพราะคิดว่าคงอายุไม่ต่างกันมาก
“เพื่อนเรียนด้วยกันเหรอ พี่ไม่เคยเห็นหน้าเลย แต่ก็ขอบใจนะที่มาเยี่ยมเจ้าเต้”
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันเรียนจบแล้ว แต่นายปาล์มไม่ยอมเรียกว่าพี่เลยทำให้คนอื่นเข้าใจผิดอยู่เรื่อยค่ะ”
“เหรอคะ นึกว่าเรียนด้วยกันเสียอีกหน้าเด็กอยู่เลย”
“พี่ตาลก็คิดเหมือนผมใช่ไหม เอรินหน้าเด็กตัวก็เล็กแต่ก็ชอบบังคับให้ผมเรียกพี่” เขาอยากเห็นพี่สาวของเพื่อนมีรอยยิ้มเลยต้องชวนคุยเรื่องอื่น แต่ก็คงได้แค่ชั่วครู่เพราะตอนนี้กฤติกาก็มองไปเตียงที่น้องชายของเธอยังนอนไม่ได้สติอยู่
“เอรินว่าอย่าไปฟังนายนี่เลยค่ะ คุณตาลทานอะไรบ้างหรือยังคะ นี่จะเที่ยงแล้ว”
“ฉันทานอะไรไม่ลงหรอกค่ะ”
“ผมว่าพี่ตาลไปพักผ่อนก่อนก็ได้เดี๋ยวผมอยู่กับเต้เองครับ”
“ขอบใจนะปาล์ม พี่ฝากเต้ไว้สักชั่วโมงนะ ว่าจะกลับไปเอาของใช้จำเป็นสักหน่อย แต่ถ้ามีอะไรได้โทร. หาพี่ได้ตลอดเวลานะ พี่จะรีบไปรีบกลับ”
“ครับพี่ตาล”
พอพี่สาวของกกฤตพลกลับไปแล้วเขาก็พาหญิงสาวมานั่งรอที่เก้าอี้หน้าห้องผู้ป่วยหนัก พราววรินทร์ไม่ได้พูดอะไรเพราะสถานการณ์อย่างนี้ใครๆ ก็ต้องการอยู่เงียบๆ
เมื่อเวลาผ่านไปดูเหมือนว่าสิปปกรยังจมอยู่กับความคิดของตัวเองหญิงสาวตบเข่าชายหนุ่มเบาๆ อย่างให้กำลังใจ เขาหันมามองหน้าเธอแล้วยิ้มให้
“อย่าพึ่งเครียดไปเลย เพื่อนนายอายุยังน้อยร่างกายแข็งแรงเดี๋ยวก็ฟื้น” เธอได้แต่ให้กำลังใจเขา
“ผมกลัวว่ามันจะไปตื่นมาคุยกับผม” น้ำเสียงเครียดนั้นทำให้เธอเห็นใจเขาไม่น้อย
“อย่าพึ่งคิดลบสิ อยู่ในความดูแลของหมอแล้ว”
“อือ”
“แล้วมีใครโทร. ไปแจ้งอาจารย์ที่ปรึกษาหรือยัง เขาจะได้ทำเรื่องแจ้งไปที่ฝึกงาน”
“ยังเลยไม่ได้โทรเลย ขอบคุณนะครับเอรินที่เตือน ผมขอไปโทร. บอกอาจารย์ที่ปรึกษาก่อน เอรินรอตรงนี้คนเดียวได้ใช่ไหมครับ”
“อย่าห่วงเลย แล้วก็อย่าลืมโทร. ไปลางานให้ตัวเองด้วยนะ”
สิปปกรโทร. ไปบอกอาจารย์ที่ปรึกษาและโทร. ไปยังบริษัทที่ตัวเองฝึกงานอยู่ จากนั้นก็เดินกลับมานั่งอยู่ที่เดิม เขาเห็นพยาบาลเดินเข้าไปเตียงที่เพื่อนนอนอยู่ก็แปลกใจ
“พยาบาลเข้าไปทำอะไรเหรอเอริน ผมเห็นเข้าไปหลายครั้งแล้ว”
“ก็เข้าไปวัดความดัน วัดไข้ ประเมินอาการนั่นแหละ ไม่มีอะไรต้องตกใจ”
“อ๋อ...ผมอยากเข้าไปเยี่ยมเพื่อนคุณว่าเขาจะให้เข้าไหม”
“เดี๋ยวพี่ไปถามพยาบาลให้นะว่าให้เข้าเยี่ยมได้หรือเปล่า”
เขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ในห้องกับเพื่อนเพียง 10 นาที สิปปกรมองเพื่อนด้วยสายตาเป็นห่วง เขาไม่รู้ว่าถ้าพูดกับเพื่อนตอนนี้แล้วเพื่อนจะได้ยินหรือเปล่าแต่เขาก็อยากพูดกับเพื่อน
“เต้มึงต้องรีบตื่นมาคุยกับกูนะ มึงก็รู้ว่ามึงเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่กูมี รีบตื่นมาเถอะ กูกับพี่ตาลรอมึงอยู่นะ” เขายืนอยู่กับเพื่อนจนครบเวลาเยี่ยมถึงออกมาจากห้อง
“คุณว่าเพื่อนผมมันจะได้ยินสิ่งที่ผมพูดไหม” เขาถามผู้หญิงตัวเล็กที่นั่งรอเขาอยู่หน้าห้อง
“ได้ยินสิ แล้วนายคุยอะไรกับเพื่อน”
“ก็แค่บอกให้มันรีบตื่น บอกมันว่าผมกับพี่ตาลรอมันอยู่”
“นายทำดีแล้วละ เพื่อนนายต้องรับรู้และเค้าจะรีบตื่นมาคุยกับนาย” เธอพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เอรินไม่ได้หลอกให้ผมดีใจใช่ไหม”
“พี่จะหลอกนายทำไม” เธอตอบแบบนั้นทั้งๆ ที่ไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าเพื่อนของเขาจะตื่นมาคุยหรือเปล่า เธอไม่ใช่หมอและเธอก็ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
สิปปกรนั่งอยู่หน้าห้องของเพื่อนจนกระทั่งพี่สาวของเขากลับมา แต่เขาก็ยังไม่กลับในทันที เขาอยู่เป็นเพื่อนกฤติกาจนถึงเย็น
“เย็นแล้วพี่ว่าปาล์มกับเอรินกลับไปก่อนก็ได้นะ”
“แล้วตาลจะกลับด้วยไหม” หลังจากที่ได้คุยกันทำให้พราววรินทร์รู้ว่าทั้งสองงอายุเท่ากัน สรรพนามจึงเปลี่ยนไป
“ยังหรอกจ้ะ ตาลจะรอคุยกับหมออีกทีค่อยกลับ” เพราะเมื่อเช้าแพทย์ที่ผ่าตัดน้องชายของเธอบอกว่าจะเข้ามาตรวจอีกครั้งตอนเย็น
“ให้ผมอยู่ด้วยไหมครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกปาล์ม พี่อยู่ได้”
“ถ้าคุยกับหมอแล้วพี่อย่าลืมโทร. บอกผมด้วยนะครับ”
“จ้ะ ขับรถกลับกันดีๆ นะ”
“พรุ่งนี้เลิกงานผมจะแวะมานะครับ”
“จ้ะ”
สิปปกรนั่งนิ่งหลังพวงมาลัยเขายังไม่ยอมออกรถจนพราววรินทร์ต้องถาม
“เป็นอะไรหรือเปล่าหรือว่ายังไม่อยากกลับ จะอยู่รอเจอหมอก่อนก็ได้นะ พี่บอกแล้วไงว่าวันนี้ว่างทั้งวัน”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ผมไม่แน่ใจว่าจะบอกเรื่องนี้กับใครคนหนึ่งดีไหม”
“ใครล่ะ”
“น้องแอม”
“ใครกัน”
“น้องที่คณะอักษรฯ ไอ้เต้มันแอบชอบอยู่”
“แล้วน้องเขารู้ตัวหรือเปล่า”
“ไม่หรอก มันแค่แอบชอบยังไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ เอรินว่าควรบอกไหม”
“ฉันตัดสินใจแทนนายไม่ได้หรอก นายต้องตัดสินใจเอง แต่พี่อยากถามคำถามสัก 2-3 ข้อ”
“อือ ได้สิ”
“พี่จะถามนายว่าถ้าบอกเรื่องนี้กับน้องคนนั้นแล้วจะทำยังไงต่อ”
“ก็คงชวนน้องเขามาเยี่ยม ไอ้เต้จะได้มีกำลังใจ บางทีมันอาจจะอย่างตื่นมาคุยกับน้องเขา”
“อือ ก็เป็นความคิดที่ดีนะ”
“งั้นเราไปหาน้องเขาเลยดีไหม วันนี้น่าจะยังไม่เลิกเรียนมั้ง”
“เดี๋ยวสิ ขอถามอีกข้อแต่ข้อนี้อาจจะทำร้ายจิตใจของนายไปบ้าง”
“ถามมาเลย”
“ถ้าน้องเขามาคุยกับเพื่อนของนายตามที่เราบอก แล้วเกิดเพื่อนนายยังไม่ยอมตื่นล่ะ นายคิดว่าน้องเขาจะรู้สึกยังไง”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“เอาอย่างนี้นะ ถ้าสมมุตินายเป็นคนที่นอนอยู่ในห้องนั้น แล้วนายแอบชอบใครสักคนแต่อยู่ แล้วพี่ชายของนายพาคนที่นายแอบชอบมาเยี่ยม แต่นายก็ยังไม่ยอมตื่นมาคุย นายคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะรู้สึกยังไง”
“เธอก็คงจะเสียใจและอาจเสียดายที่รู้เรื่องนี้ช้าไป” สิปปกรพยายามคิดตาม
“นายเคยถามเต้ไหม ว่าทำไมถึงไม่บอกน้องคนนั้นว่าเขาแอบชอบเธออยู่”
“ก็เคยถามนะ มันบอกว่ามันยังไม่พร้อม มันอยากให้มันเรียนจบและได้ทำงานที่มั่นคงมันถึงจะกล้าไปบอก” สิปปกรรู้คำตอบแล้วว่าเขาจะบอกผู้หญิงคนที่เพื่อนเขาแอบชอบหรือเปล่า