2
คุณยายจิตราหยิบยาดมมาจ่อที่จมูกของเด็กสาว ก่อนจะปลอบประโลมให้คลายจากความหวาดกลัว
ทานตะวันกลัวเลือดตั้งแต่เด็ก และยิ่งกลัวเพราะบิดามารดาประสบอุบัติเหตุเลือดไหลนองพื้น ในขณะที่ตนเองรอดมาได้แค่คนเดียว นั่นจึงทำให้เป็นความหลังฝังใจ
หลังจากทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ให้สมศรีพาเด็กสาวไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้สบายตัว แล้วจะได้กินข้าวและกินยา
“กลับมาก็ดีแล้ว” คุณยายหันไปยิ้มให้หลานชายคนเดียว ภีมนั้นย่างเข้า 42 ปีแล้วแต่ยังไม่มีท่าทีว่าจะเป็นฝั่งเป็นฝา เคยมีคนรักที่คบหากันแต่เลิกรากันไปนานหลายปีแล้ว
“ช่วงนี้ยังไงก็ต้องกลับครับ เพราะว่าโควิดระบาดหนัก เล่นงานคนทั้งโลก กิจการต่างๆ จึงต้องหยุดชะงัก”
“ถือว่าเราได้พักผ่อน เราน่ะทำงานหนักดูแลกิจการของพ่อเรามานานหลายปีแล้ว” ถึงแม้กิจการจะหยุดชะงักแต่เงินทองที่เป็นมรดกของตระกูลก็มากมาย อีกทั้งที่บ้านสวนก็มีผลหมากรากไม้ ข้าวสาร อาหารต่างๆ ที่คุณยายตุนเอาไว้มาก อยู่กันเป็นปีก็ไม่อดอยาก ภีมกลับมาอยู่ด้วยกันคุณยายก็รู้สึกเบาใจเพราะเป็นหลานชายคนเดียวที่ทั้งรักทั้งหวง และอยากให้กลับมาอยู่ด้วยกันนานแล้ว
“ก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ จะกลับมาทำสวนกับคุณยาย”
“กลับมาก็มีอะไรให้ทำตั้งเยอะแยะไม่ต้องกลัวหรอกนะว่าจะเหงา เราน่ะทำงานเยอะ ยายว่าควรพักผ่อนเสียบ้าง แล้วเรื่องที่คุยกับยายว่ายังไง เราตกลงไหม”
“ขอผมคิดดูก่อนได้ไหมครับ อีกอย่างเขาก็คงไม่อยากได้คนแก่อย่างผมด้วยกระมังครับ” เรื่องที่คุณยายพูดกับเขามีเพียงเรื่องเดียวซึ่งเป็นเรื่องเชิงขอร้องเสียมากกว่า คุณยายอยากให้เขาแต่งงานกับทานตะวัน
หลังจากที่เขาผิดหวังจากความรักก็ไม่คิดที่จะมีใหม่อีก เพราะคิดว่าการเป็นโสดมันก็สบายดี จนคุณยายขอร้องนี่แหละ เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการคลุมถุงชนนัก แต่คุณยายก็ไม่เชิงว่าจะจับเขาคลุมถุงชน ท่านถามความเห็นเขาก่อน
เขาเองก็เคยพูดขำๆ กับคุณยายว่าถ้าจะให้แต่งงานต้องหาผู้หญิงที่ดีและเพียบพร้อมให้เขา ไม่คิดว่าคุณยายจะจับยายเด็กกะโปโลอย่างทานตะวันมาให้แต่งงานกับเขาแบบนี้ อายุของเขากับทานตะวันห่างกันมากพอสมควร เขาเลยรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย
ภีมคิดเรื่องความเหมาะสมแล้วก็ทำให้นึกถึงสาวน้อยวัยขบเผาะที่เขาได้สบตาด้วยก่อนหน้านี้ จู่ๆ หัวใจของเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง คล้ายกับว่ามันจะโลดออกมานอกอกเสียอย่างนั้น
“ภีม ภีม...” คุณยายเรียกซ้ำๆ เพราะเห็นว่าหลานชายใจลอย
“ครับคุณยาย”
“ใจลอยไปไหน ยายพูดได้ยินไหม”
“คุณยายว่ายังไงนะครับ ผมขอโทษด้วย คิดอะไรเพลินๆ ไปหน่อย”
“ยายบอกว่ายายไม่เร่งรัดถ้าเราไม่เต็มใจ”
“ครับ”
“แม่ตะวันเป็นเด็กดี น่ารัก ยายก็นึกเสียดายหากเราจะมองข้ามผู้หญิงดีๆ แบบนี้ไป”
“ดูคุณยายเชียร์จังเลยนะครับ”
“ก็ต้องเชียร์สิ ยายเลี้ยงของยายมาหลายปีรู้จักนิสัยใจคอกันดี” คุณยายพูดแล้วอมยิ้ม
“อายุผมกับทานตะวันห่างกันมากเลยนะครับ”
“อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข เราจะคิดว่าตัวเองแก่ทำไมกัน”
“เอาไว้ผมขอศึกษานิสัยใจคอของทานตะวันดูก่อนได้ไหมครับ”
“ยายไม่ได้เร่งรัดอะไร แต่ก็อยากให้ทำความสนิทสนมกันเอาไว้” คุณยายยิ้มออกเมื่อเห็นว่าหลานชายไม่ได้ปฏิเสธท่านอย่างที่คิด ด้วยนิสัยของภีมแล้ว หากไม่ต้องการก็จะบอกออกมาตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อม แต่นี่ยังแบ่งรับแบ่งสู้แสดงว่ายังมีลุ้น
“เรามาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนนะ ยายให้แม่ตะวันเขาจัดห้องให้เราเรียบร้อยแล้ว”
“ครับคุณยาย” ภีมเอ่ยขอตัวเข้าห้องพัก เขาเองก็อยากอาบน้ำอาบท่าอยู่เหมือนกันเพราะเดินทางมาไกล รู้สึกเหนียวตัวอยู่พอสมควร
ภีมอาบน้ำอาบท่าก็เปลี่ยนชุดลงมาเดินสูดอากาศรอบบ้าน รอบบ้านของคุณยายมีกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์ อีกทั้งไม้ยืนต้นที่ให้ความร่มเงาทำให้เขารู้สึกสดชื่นเป็นอันมาก
“อุ๊ย!” ทานตะวันอุทานเมื่อเจอภีมเข้า เธอจะลงมาเก็บใบยอให้ป้าสมศรีไปทำห่อหมก
“อ้าว... เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บอยู่อีกไหม” เขาก้มมองเข่าของเธอ แต่เธอสวมกระโปรงยาวนั่นทำให้เขาไม่สามารถมองแผลของเธอได้