1
ภีม มาเกซ ไวเปอร์ วัฒนพงศ์ หนุ่มใหญ่วัย 42 ปี ลูกเสี้ยวผสมระหว่างไทยสเปน กำลังขับรถมุ่งหน้ากลับบ้านสวนของคุณยายจิตราที่จังหวัดเพชรบุรี ด้วยว่าช่วงนี้โควิดระบาดหนัก กิจการต่างๆ ที่เขาดูแลอยู่จึงหยุดชะงักและเดินต่อไปไม่ไหว ทำให้เขาต้องพักร้อนโดยไม่มีกำหนด
ภีมเติบโตที่ต่างประเทศเพราะมารดาได้พาเขาเดินทางไปอยู่กับครอบครัวของบิดาที่โน่น แต่ทุกปีเขาจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนคุณยายจิตราอยู่เสมอ ยิ่งบิดามารดาเสียชีวิตและทิ้งกิจการมากมายให้เขาต้องดูแลต่อ เขาก็ยิ่งต้องเดินทางมาเยี่ยมคุณยายปีหนึ่งหลายครั้งเพราะท่านเองก็ไม่มีลูกหลานที่ไหนอีก
คุณยายจิตรานั้นมีสวนผักและผลไม้อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี อันเป็นบ้านเกิดเมืองน้องของมารดา รวมถึงท่านก็เป็นที่นับหน้าถือตาของคนที่นั่น
ท่านทำกิจการเกี่ยวกับการผลิตน้ำตาลโตนดขายด้วย คุณยายก็ยังสืบทอดกิจการนี้มาตลอด โดยมีคนงานประจำได้คอยช่วยเหลืออยู่
เขาเดินทางเข้ามาในประเทศไทยหลังจากฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้ว พร้อมด้วยการกักตัวครบกำหนดถึงได้เดินทางมาที่เพชรบุรีได้ ทราบข่าวว่าในประเทศไทยนั้นก็มีการระบาดของโรคโควิด 19 อยู่มากเหมือนกัน ดังนั้นการระวังเนื้อระวังตัวจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เป็นอันดับต้นๆ
ก่อนเดินทางมาถึงประเทศไทยเขาก็ได้โทร. ทางไกลมาแจ้งคุณยายแล้วว่าเขาจะเดินทางมาถึงวันไหนและกักตัวกี่วันก่อนจะถึงบ้านสวน
ภีมมัวแต่ดีใจที่จะได้เจอคุณยายเลยขับรถค่อนข้างเร็ว เขาเหยียบเบรกกะทันหันเมื่อมีจักรยานปั่นออกมาจากข้างทาง เสียงล้อรถเบียดไปกับถนน ในขณะที่ภีมเบรกรถจนตัวโก่ง
ร่างสูงเพรียว 185 เซนติเมตรของภีมรีบก้าวลงจากรถหลังจากที่หายตกใจเรียบร้อยแล้ว เขารีบเข้าไปดูหญิงสาวที่ล้มจากจักรยานด้วยท่าทีร้อนรน
“เป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงของภีมดูร้อนใจไม่น้อย ก่อนที่ใบหน้าของเจ้าหล่อนจะเงยขึ้นมามองเขา
ภีมกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าหวานละมุนของสาวน้อยตรงหน้าทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว ความคุ้นเคยทำให้เขาทำท่านึก เพราะเขารู้สึกว่าจะเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน
“ทานตะวันหรือเปล่า” ภีมเอ่ยถามเมื่อเขาจำเธอได้ ทานตะวันเป็นญาติห่างๆ ของคุณยายจิตรา มีบ้านอยู่ใกล้กัน หลายปีก่อนนั้นบิดามารดาของทานตะวันเสียชีวิตคุณยายจิตราจึงรับทานตะวันมาอุปการะเลี้ยงดูเอาไว้
“ค่ะ ลุงภีม” ทานตะวันเองก็เหมือนจะจำคนตรงหน้าได้ เธอพูดกับเขาก่อนจะนิ่วหน้าเพราะเจ็บที่หัวเข่า ภีมจึงก้มลงไปมอง พบว่าเธอมีแผลที่เข่า
“มีแผลด้วย เจ็บมากไหม” ภีมเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“เจ็บค่ะ ปวดสะโพกด้วยค่ะ” เธอนิ่วหน้าอีก ทำท่าจะขยับ เขาจึงตัดสินใจอุ้มเธอขึ้นสู่อ้อมแขน
“ลุงภีม!” ทานตะวันร้องอุทานใบหน้าแดงก่ำ ในขณะที่ภีมอุ้มเธอไปที่รถ ก่อนจะยกจักรยานของเธอไปใส่ท้ายรถ
“เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว” เขามาบ้านสวนของคุณยายบ่อย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะจำเส้นทางได้ดี และทางเข้าสวนของคุณยายก็ได้การพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งถนนหนทางและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงไฟฟ้าและน้ำประปาด้วย
รถยนต์คุ้นตาที่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านสวนทำให้คุณยายจิตราที่กำลังคุยอยู่กับคนงานเผยยิ้มกว้างออกมา
“สวัสดีครับคุณยาย” ภีมยกมือไหว้ผู้เป็นยาย ก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูรถแล้วอุ้มทานตะวันลงมาจากรถ
“ตายแล้ว! นั่นไปโดนอะไรมากจ๊ะ” คุณยายยกมือขึ้นทาบอกเมื่อเห็นแผลที่เข่าของหลานสาว
“ผมขับรถชนเขาเองแหละครับ” ภีมนั้นพูดภาษาไทยได้คล่องเพราะมารดาสอนภาษาไทยให้ตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาพูดได้หลายภาษา
“รีบพาขึ้นบนบ้านเลย แม่ศรี แม่ศรีรีบไปหายามาใส่ให้แม่ตะวันเร็ว เลือดไหลเต็มเลย” คุณยายรู้ดีว่าหลานสาวกลัวเลือด เห็นใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายก็ทำให้คุณยายรีบลูบศีรษะอย่างปลอบประโลม
“ทำใจดีๆ เอาไว้นะจ๊ะ”
“ไกลหัวใจตั้งเยอะครับคุณยาย” ภีมพูดขำๆ เมื่อเห็นท่าทีของคุณยาย
“เราน่ะพูดได้ แม่ตะวันเขากลัวเลือดจะตายไป”
“ห้ามเป็นลมเด็ดขาดนะ ถ้าไม่เป็นลมจะให้อมยิ้มเป็นรางวัล” ภีมแหย่เด็กสาว เธอกะพริบตาปริบๆ ทำให้คุณยายถึงกับหัวเราะ
“แม่ตะวันไม่ใช่เด็กสิบขวบนะถึงจะได้เอาอมยิ้มมาหลอกล่อ แม่ศรีได้หรือยังล่ะ” ท่านหันไปเอ่ยถามสมศรีอีกรอบ
“ได้แล้วค่ะคุณ” สมศรีรีบนำอุปกรณ์ทำแผลมาปฐมพยาบาลคนที่นอนหน้าซีดอยู่บนแคร่ไม้ของคุณยายจิตรา