ตอนที่8 รวมตัว!
วันต่อมา..
โรงประมูลจันทร์เสี้ยวมีผู้คนมากมายมารอเข้าชมตั้งแต่ยังไม่ทันเปิด ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนทราบข่าวจากเมื่อวาน ส่วนใหญ่จะเป็นนักปรุงโอสถที่อยากมาดูโอสถไร้ตำหนิให้เห็นเต็มสองตา หากพลาดโอกาสนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีครั้งต่อไปหรือไม่
"นั่นพวกตระกูลลู่มานั่นแล้ว" ใครไม่รู้โพล่งขึ้นมา
ทุกคนหันมองเป็นทางเดียวกัน
ลู่หานเหินชายวัยกลางคนร่างกำยำซึ่งเป็นผู้นำตระกูลลู่เดินนำมาด้วยท่าทีองอาจน่าเกรงขาม ตามหลังมาด้วยเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลอีกสองสามคน
แม้ลู่หานเหินจะไม่ได้ตั้งใจปลดปล่อยกลิ่นอายพลังของตัวเองออกมา แต่เพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้ผู้คนโดยรอบก้าวถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความหวั่นเกรงอย่างไม่รู้ตัว
"นี่หรือแรงกดดันของผู้ฝึกปรานระดับปรานปฐพี ช่างเหนือชั้นยิ่งนัก"
ไม่นานก็มีเสียงคนดังขึ้นอีกครั้ง "นั่น ตระกูลชินมานั่นแล้ว"
สิ้นเสียงกล่าวของชายคนหนึ่ง วิหคยักษ์สีแดงเพลิงบนฟากฟ้าก็โผบินลงมาจอดท่ามกลางฝูงชน บนหลังของนกยักษ์ตัวนั้นยังมีบุรุษหนุ่มใบหน้าหล่อเหลายืนมือไพ่หลัง มีรอยยิ้มบางๆ อย่างพึงพอใจประดับบนใบหน้ายามเมื่อมองฝูงชนข้างล่าง ข้างกายชายหนุ่มยังมีสตรีผู้งดงามสองคนขนาบข้าง
เขาสวมชุดอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ตัดกับนักยักษ์สีแดงเพลิงที่ใต้ฝ่าเท้า ทำให้ชายหนุ่มยิ่งดูโดดเด่นสดุดตา
ผู้คนมองดูด้วยความอิจฉา ชายใดต่างก็อยากมีสตรีงดงามเช่นนั้นเคียงข้าง แต่ก็รู้ดีว่าตนไม่มีสิทธิ์ อีกฝ่ายเป็นถึงนายน้อยชินหรูอี้ของตระกูลใหญ่อย่างตระกูลชิน ใบหน้าก็จัดว่าหล่อเหลา ทั้งเขายังเป็นผู้ฝึกปรานระดับที่แท้จริงขั้นกลาง ด้วยวัยเพียง 20 ปี เรียกได้ว่าเป็นอัจฉิริยะรุ่นเยาว์หาตัวจับยากคนหนึ่ง สตรีใดก็ล้วนหลงไหลกับบุรุษที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นเช่นนี้
ชินหรู้อี้เหลือบสายตาไปเห็นผู้นำตระกูลลู่ เขาก็พลันชงักไปเล็กน้อย "โอ้ นั่นมันพ่อตาข้ามิใช่หรือ?"
ลู่หานเหินเดิมทีก็ไม่ได้ใส่ใจว่าใครหน้าไหนจะมา แต่เมื่อได้ยินคำว่า 'พ่อตา' ที่คุ้นหูจากปากของชายหนุ่มคนนั้น เท้าซ้ายที่เกือบจะก้าวข้ามเข้าประตูโรงประมูลไปอยู่รอมร่อ ก็ต้องพลันหยุดชงักไปทันที
"ใครเป็นพ่อตาเจ้ากัน รนหาที่ตายสินะไอ้เด็กเมื่อวานซืน!" ลู่หานเหินตะวาดลั่น หันหน้าไปทางชินหรูอี้อย่างกราดเกรี้ยว
ชินหรูอี้นายน้อยแห่งตระกูลชิน ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจกับท่าทีของอีกฝ่าย "ท่านพ่อตาอย่าพึ่งมีโทสะไป..ว่าแต่วันนี้ลู่เหยียนของข้าไม่มาด้วยงั้นรึ น่าเสียดายจริง.. ข้าไม่ได้เจอหน้าว่าที่ภรรยาเสียนาน เห็นทีคงต้องไปเยี่ยมเยือนบ้างเสียแล้ว"
ลู่หานเหินโกรธจนควันออกหู "ไปเยี่ยมในนรกเถอะไอ้เด็กสารเลว!" เขาเกือบจะพุ่งตัวออกไป แต่ก็ถูกหยุดไว้โดยผู้อาวุโสเสียก่อน
"อย่าพึ่งใจร้อนไปหานเหิน เจ้าเป็นถึงผู้นำตระกูลลู่แต่กลับถูกยั่วยุเพียงเพราะเด็กน้อยไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนี้งั้นรึ? อย่าทำให้พวกข้าต้องขายหน้า" ชายชราผู้มีท่าทีสุขุมกล่าวแทรกขึ้น
ได้ยินเช่นนั้นลู่หานเหินจึงค่อยสงบสติอารมณ์ลงพรางสูดหายใจเข้าลึก
ชินหรูอี้ฉีกยิ้มพรางยักไหล่และไม่สนใจอีกฝ่ายอีก
"ฮ่าๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าข้าจะได้เจอกับคนระดับสูงของสี่ตระกูลใหญ่พร้อมกันเช่นนี้ ช่างบังเอิญ..ช่างบังเอิญ" เสียงกล่าวกลั้วหัวเราะของชายชราดังไปทั่วสารทิศ ไม่นานก็ปรากฏเป็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในลานของโรงประมูล
"นั่นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเหอและผู้นำตระกูล" ผู้คนต่างมีสีหน้าตกใจ
ชายชรานามว่าเหอเหลียงซึ่งก็คือผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเหอเดินนำกลุ่มคนเข้ามา ข้างหลังเป็นชายวันกลางคนสีหน้าสุขุมราบเรียบซึ่งก็คือผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน เหอไห่หยุน และผู้อาวุโสอีกหลายคนที่ตามมาด้านหลังก็ล้วนเป็นคนของตระกูลเหอทั้งสิ้น
"โอ้ ผู้อาวุโสเหลียงก็มาด้วยงั้นรึ ข้าน้อยขอคาราวะ" ชินหรูอี้โค้งกายคำนับอีกฝ่ายบนหลังของวิหค
ทว่าเหอเหลียงกลับไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ยังคงยิ้มร่าเริงเช่นเดิม "ไม่ต้องมากพิธีเด็กน้อย" ก่อนเขาจะเหลือบมองไปยังหญิงชราคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน แลดูก็ธรรมดาสามัญไม่โดดเด่นอะไร แต่ทว่าเหอเหลียงกลับมองอีกฝ่ายอย่างทลุปรุโปร่ง เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า "ดูสิ นั่นมือขวาของนังหนูจื่อหลิงไม่ใช่รึ ข้าก็นึกว่านางไม่สนใจโลกภายนอกแล้วเสียอีก ลมอะไรหอบเจ้ามาถึงที่นี่กัน" พูดจบเหอเหลียงก็หัวเราะร่า
พริบตานั้น ภาพของหญิงชราก็พลันเปลี่ยนไปราวกับภาพลวงตา ไม่นานก็ปรากฏเป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่มีใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ทว่าก็ยังคงความงามราวกับเทพธิดาน้ำแข็ง นางมองมาทางเหอเหลียงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ "เหอะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตาแก่ไกล้ตายอย่างเจ้ากัน"
ทุกคนพลันตกตลึง!
"นั่นมันท่านหวังซื่อเฟิง มือขวาของเทพธิดาหวังจื่อหลิงหนิ"
ผู้นำตระกูลหวังอย่างหวังจื่อหลิง เรียกได้ว่านางเป็นสตรีหนึ่งเดียวในเมืองที่มีสถานะเป็นผู้นำตระกูล ซ้ำความงดงามของนางก็ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่ง ไม่มีใครในเมืองกุ้ยฮวาเทียบความงดงามกับนางได้ จึงไม่แปลกหากว่าคนจากตระกูลหวังมายืนอยู่ที่นี่ ผู้คนจะให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ
"สวรรค์ ทั้งสี่ตระกูลใหญ่มารวมตัวกันที่นี่หมดเลย!?"
ผู้คนยังคงตกตลึงที่เห็นภาพเหล่าคนระดับสูงของตระกูลใหญ่มารวมตัวกันไม่หาย
ทว่าไม่ทันไรก็พลันมีเรื่องที่ต้องทำให้ตกตลึงยิ่งกว่า
"นะ..นั่นท่านจ้าวเมือง!"
"ท่านจ้าวเมืองมานั่นแล้ว!"
"นะ..นั่น ดูข้างหลังนั่นสิ นั่นท่านจ้าวสำนักโอสถทิพย์!"
"นางก็มาด้วยงั้นรึ!?"
"สวรรค์! บ้าไปแล้ว!"
ผู้คนต่างฮือฮาบ้าคลั่ง!
เมืองกุ้ยฮวามีผู้นำคือท่านจ้าวเมือง นามว่า 'หมิงเหริน' ซึ่งเป็นชายชราหนวดเคราขาว สวมชุดคลุมสีทองลวดลายมังกรที่ด้านหลัง แสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของผู้นำที่สูงส่ง แต่ที่ทำให้ผู้คนเอ่ยนามนี้ทีไรก็ต้องเลื่อมใสเคารพ นั่นเป็นเพราะชายชราผู้นี้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วในเมืองกุ้ยฮวา เขาสามารถโบยบินบนท้องฟ้าได้โดยไม่ต้องพึ่งวิหคเหมือนเช่นชินหรูอี้
ซึ่งผู้ฝึกปรานที่สามารถโบยบินบนท้องฟ้าได้อย่างอิสระ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ฝึกปรานระดับปรานล่องลอยอย่างแน่นอน!
ชายชราหมิงเหรินล่องลอยอยู่ท่ามกลางอากาศ ก่อนจะค่อยๆ ลอยลงมาเบื้องล่างพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตรยามเมื่อมองฝูงชนโดยรอบ
เซี่ยจินเย่ที่ตามมาก็ไม่ธรรดาเช่นกัน นางขี่ที่หัวของงูยักษ์สีเขียวซึ่งเป็นสัตว์อสูรผู้พิทักษ์ของสำนักโอสถทิพย์ มันสามารถเรียกความพรั่นพรึงให้แก่ผู้คนได้ไม่น้อย
"นั่นงูผู้พิทักษ์งั้นรึ"
"ดูจากที่ท่านจ้าวสำนักโอสถทิพย์ขี่หลังของมันได้เช่นนี้ ไม่ผิดแน่!"
"ช่างใหญ่โตแล้วก็น่ากลัวจริงๆ ข้าก็พึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกนี่แหละ"
หลายคนแสดงสีหน้าหวาดกลัว แต่บางคนก็มองดูอย่างสนใจ
พอมาถึงลานของโรงประมูล เซี่ยจินเย่ก็ผสานมือทำความเคารพท่านจ้าวเมืองอย่างนอบน้อม "คาราวะท่านจ้าวเมือง" แม้นางจะเป็นจ้าวสำนักโอสถทิพย์ แต่สถานะของนางก็อยู่ต่ำกว่าท่านจ้าวเมืองอยู่ขั้นหนึ่ง ทั้งความแข็งแกร่งก็ไม่อาจเทียบเท่า จึงไม่แปลกอะไรหากนางต้องให้ความเคารพอีกฝ่าย
เห็นเช่นนั้น ผู้คนที่อยู่โดยรอบเองก็ผสานมือคาราวะพร้อมเพรียงเช่นกัน แม้แต่เหล่าผู้นำตระกูลใหญ่ก็ไม่เว้น เมื่ออยู่ต่อหน้าชายชราผู้นี้ พวกเขาไหนเลยจะกล้าไม่เกรงใจ
"พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี เข้าไปข้างในก่อนเถอะ" ท่านจ้าวเมืองโบกมือพรางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
"ท่านจ้าวเมืองก็สนใจโอสถไร้ตำหนิหรือขอรับ" เหอเหลียงเอ่ยกลั้วหัวเราะ แม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงจ้าวเมืองและเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด แต่อายุของทั้งสองก็ไล่เลี่ยกัน เขาจึงไม่ต้องเกร็งมากนักเวลาพูดกับอีกฝ่าย
ท่านจ้าวเมืองหัวเราะร่า "จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด ข้าเองก็ไม่เคยเห็นโอสถไร้ตำหนิเช่นกัน จึงอยากลองมาดูสักครั้งว่ามันหน้าตาเป็นยังไง" จากนั้นเขาเหลือบมองไปด้านหลังและเอ่ยถามกับเซี่ยจินเย่ "แล้วท่านผู้อาวุโสหยุนปิงเป็นอย่างไรบ้างหละ ข้าก็นึกว่าเขาจะมาด้วยกับเจ้าเสียอีก"
เซี่ยจินเย่กล่าวตอบ "ตอนนี้ท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ที่สำนักเจ้าค่ะ ท่านเดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิ กว่าจะกลับก็อีกหลายวัน"
"เมืองหลวงงั้นรึ" ท่านจ้าวเมืองพยักหน้าเข้าใจและไม่ได้ถามต่อ
จากนั้นคนทั้งหลายก็เดินเข้าสู่โรงประมูล นำโดยท่านจ้าวเมืองและจ้าวสำนักโอสถทิพย์ จากนั้นก็ต่อด้วยเหล่าคนระดับสูงจากตระกูลใหญ่
โรงประมูลสามารถจุคนได้ 400 ถึง 500 คนเท่านั้น คนไหนที่เข้าไปไม่ทันก็ต้องพลาดโอกาสที่จะได้เห็นโอสถไร้ตำหนิอย่างน่าเสียดาย...