ตอนที่7 ข่าวที่น่าเหลือเชื่อ
เมืองกุ้ยฮวาในช่วงนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย บ้างเป็นคนจากต่างเมือง บ้างเป็นนักเดินทาง ซึ่งคนส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกปรานทั้งสิ้น มีตั้งแต่ระดับปรานก่อเกิดขึ้นไปจนถึงระดับปรานที่แท้จริงเลยทีเดียว
ที่มีผู้ฝึกปรานมากมายมารวมตัวกันเช่นนี้ ก็เพราะว่าในอีกครึ่งเดือนข้างหน้าที่จะถึง.. สำนักโอสถทิพย์แห่งเมืองกุ้ยฮวาจะเปิดรับสมัครศิษย์ใหม่ประจำปี ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักปรุงโอสถจึงหลั่งไหลเข้าในเมืองอย่างไม่ขาดสาย ทุกคนล้วนมีเป้าหมายเหมือนกัน นั่นก็คือการได้เข้าเป็นศิษย์ของสำนักโอสถทิพย์นั่นเอง
ทว่าการจะได้เข้าเป็นศิษย์ของสำนักโอสถทิพย์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาขึ้นชื่อว่าเข้มงวดในการคัดเลือกศิษย์ใหม่เป็นอันมาก เรียกได้ว่าให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ในแต่ละปีที่ผ่านมา จึงมีผู้ที่ผ่านการทดสอบเพียงหยิบมือเท่านั้น
แม้โอกาสจะน้อยนิดก็ตาม แต่ทุกคนที่มาที่นี่ล้วนมาด้วยใจที่แน่วแน่และเด็ดเดี่ยว บางคนถึงขั้นฝึกฝนตัวเองหลายปีเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ บางคนเป็นลูกหลานสืบทอดวิชามาจากนักปรุงโอสถรุ่นก่อน บางคนก็เป็นนักปรุงโอสถเร่ร่อน หากแต่อยากเข้าเป็นศิษย์ของสำนักโอสถทิพย์ก็มี
พวกเขาล้วนพกเอาความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม ไม่มีใครยอมถอยอย่างแน่นอน
ทว่าทันใดนั้นเองก็มีข่าวๆ หนึ่งที่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว ข่าวนี้ทำให้ผู้คนต้องตลึงตาแทบถลน โดยเฉพาะเหล่านักปรุงโอสถ
"สวรรค์! โรงประมูลจันทร์เสี้ยวบอกว่าจะเอาโอสถไร้ตำหนิออกมาประมูลงั้นรึ? นะ..นั่นข้าก็คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าในตำนานเสียอีก"
"อย่าพูดจาไร้สาระ จะเป็นไปได้อย่างไร แม้แต่ท่านปรมจารหยุนปิงยังไม่สามารถปรุงโอสถไร้ตำหนิได้ แล้วใครในเมืองนี้จะทำได้กัน? ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด!"
"อย่างไรก็ตาม ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองเรียบร้อยแล้ว ทว่าโรงประมูลจันทร์เสี้ยวกลับไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวใดๆ ไม่แน่เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องจริงก็เป็นได้ ใครจะรู้"
แม้หลายคนไม่อยากเชื่อแต่ก็อดรู้สึกสงสัยไม่ได้
และบัดนี้เรื่องนี้ก็ไปถึงหูของสำนักโอสถทิพย์เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
หญิงสาววัยสามสิบกว่าคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้จ้าวสำนักด้วยท่าทีสุขุม กลิ่นอายพลังปรานอันแข็งแกร่งแผ่ออกมาอยู่รอบตัว ทั้งนัยน์ตาของนางที่เป็นสีเขียวมรกตราวกับอสรพิษ ให้ความรู้กดดันและน่ายำเกรง และแม้อายุนางจะสามสิบกว่าแล้วก็ตาม แต่ทว่าใบหน้าและรูปร่างก็ยังดูงดงามไร้ที่เปรียบ ราวกับเวลาไม่อาจพรากความงามไปจากนางได้
นางคือจ้าวสำนักเซี่ยจินเย่ หรือฉายาสตรีหมื่นพิษแห่งสำนักโอสถทิพย์นั่นเอง
จ้าวสำนักโอสถทิพย์มองไปยังบุรุษตรงหน้าซึ่งเป็นคนของหน่วยข่าวกรองของสำนัก นางพรางหยิบน้ำชาขึ้นมาจิบ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบราวกับไม่ได้ใส่ใจอันใด "จริงงั้นรึที่ว่าโรงประมูลจันทร์เสี้ยวจะเอาโอสถไร้ตำหนิออกมาประมูล เจ้าไม่ได้เอาเรื่องไร้สาระมารายงานข้าใช่หรือไม่"
ชายคนนั้นสะดุ้งไปเล็กน้อย ในขณะที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ไม่กล้าแม้จะสบตากับนาง ผู้ที่ได้ฉายาว่าสตรีหมื่นพิษ "เป็นเช่นนั้นขอรับ ที่จริงข่าวนี้ก็เป็นทางโรงประมูลเองที่ตั้งใจปล่อยข่าวออกมา ส่วนจะจริงหรือไม่นั้นข้าไม่ทราบขอรับ"
จ้าวสำนักขมวดคิ้วเล็กน้อยพรางครุ่นคิด อย่างไรนางก็เป็นนักปรุงโอสถคนหนึ่งที่เรียกได้ว่าเชี่ยวชาญด้านการปรุงโอสถ ย่อมรู้ดีว่าการจะปรุงโอสถให้ได้ความบริสุทธิ์เต็มสิบส่วนนั้นไม่มีทางเป็นได้ ทว่านางก็ไม่อาจหาเหตุผลว่าทำไมโรงประมูลจันทร์เสี้ยวถึงต้องปั้นเรื่องน่าตลกเช่นนี้ขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของตัวเองด้วย ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
แต่หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแล้วหละก็.. เช่นนั้นคนที่ปรุงมันขึ้นมาก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ยามนี้จ้าวสำนักยังไม่อาจปักใจเชื่อได้ แต่ก็ไม่อาจบุ่มบ่ามด่วนตัดสินได้เช่นกัน หากทำอะไรผิดพลาดจนไปล่วงเกินคนๆ นั้นเข้าที่กระทั่งสามารถปรุงโอสถไร้ตำหนินี้ขึ้นมาได้ไม่แน่ว่าสำนักโอสถทิพย์ก็อาจจะเสียโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะสานสัมพันธ์กับอีกฝ่ายไป
เห็นทีเรื่องนี้นางต้องพิสูจย์ด้วยตาของตัวเองเสียแล้ว
อีกด้านหนึ่ง
ณ เรือนของครอบครัวลี่บนเชิงเขา
นี่ก็ผ่านมาสี่วันแล้วหลังจากที่เข้าไปขายของในเมือง
วันนี้ทุกคนในครอบครัวลี่อยู่กันครบพร้อมหน้า นอกจากเด็กน้อยลี่หลินที่ทำตาปริบไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดแล้ว เวลานี้สีหน้าของลี่หยาง ลี่ซือ และลี่จู เต็มไปด้วยความตกตลึงแทบไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ลี่ถังเปิดเผยออกมา
ลี่หยางพึมพำราวกับคนเสียสติ "นี่ถังน้อยของข้าเป็นผู้ฝึกปรานงั้นรึ ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ ตบข้าที..ใครก็ได้ตบข้าที!"
เพี้ยะ!
ขอมาก็จัดให้ ลี่จูเหวี่ยงฝ่ามือตบใบหน้าซีกขวาของลี่หยางอย่างแรง เกิดเป็นรอยฝ่ามือสีแดงทันตาเห็น
ลี่หยางเจ็บแทบน้ำตาไหล พรางลูบใบหน้าของตัวเองไปมา "เห็นทีจะไม่ใช่ความฝัน"
ลี่จูสบัดมือเบาๆ คลายความเจ็บที่พึ่งตบใบหน้าที่ทั้งหนาและด้านของผู้เป็นสามีไปเมื่อครู่ หากแต่สายตายังคงจับจ้องร่างของบุตรสาวคนรองโดยไม่กระพริบตา
ลี่ซือเองก็ตื่นเต้นถึงขีดสุด ชายหนุ่มดวงตาทอประกายมองไปยังน้องรองของตนที่บัดนี้กำลังแสดงพลังของผู้ฝึกปรานออกมาให้ทุกคนได้เห็นด้วยแววตาชื่นชม
ลี่ถังแสดงพลังปรานออกมาเล็กน้อย ในขณะที่ริ้วลมปรานสีขาวบริสุทธิ์โอบล้อมตัวนางไว้และเคลื่อนไหวไปมาราวกับมีชีวิต ทั้งกลิ่นอายเฉพาะของผู้ฝึกปรานก็แผ่ออกมาจากตัวนางจนรู้สึกได้อย่างชัดเจน
ทั้งลี่หยาง ลี่ซือ และลี่จู แม้จะไม่ใช่ผู้ฝึกปราน แต่ทว่าเพียงแค่สัมผัสกลิ่นอายพลังของอีกฝ่าย ทั้งสามก็สามารถบอกได้ไม่ยากว่าใครคือผู้ฝึกปรานหรือเป็นเพียงคนธรรมดา
ซึ่งในกรณีของลี่ถังนั้น ชัดเจนว่าเด็กสาวเป็นผู้ฝึกปรานตัวจริง!
ต่อให้ไม่อยากเชื่ออย่างไรก็ไม่อาจบิดเบือนความจริงนี้ไปได้
ลี่ถังคลี่ยิ้มน้อยๆ กับปฏิกิริยาของคนในครอบครัว จากนั้นนางสลายพลังปรานก่อนจะเอ่ยกับพวกเขา "อย่างที่ข้าบอกเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้ากลายผู้ฝึกปรานแล้ว"
เรื่องเปิดเผยว่าตนเป็นผู้ฝึกกปรานนั้น ลี่ถังคิดมาหลายวัน จนสุดท้ายนางก็ตัดสินใจบอกกับคนในครอบครัวตรงๆ อย่างไรไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องรู้อยู่ดี สู้บอกแต่เนิ่นๆ จะเป็นผลดีกว่า
ลี่จูเอามือปิดปากในขณะที่น้ำตารื้นอาบแก้มอย่างตื้นตันใจ ตั้งแต่หายป่วยมาถังเอ๋อก็เปลี่ยนไปมากจริงๆ
เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ย่อมต้องเฉลิมฉลองเป็นธรรมดา บรรยากาศก็ยังเต็มไปด้วยความอบอุ่นเช่นเดิม ลี่จูวันนี้ตามใจคนในครอบครัวเต็มที่ ลี่หยางดื่มเหล้าจนเมามาย ลี่หลินเด็กสาวตัวน้อยยังคงกินจุเช่นเดิม เนื้อสัตว์และข้าวในถังที่พึ่งซื้อมาจากในเมืองเมื่อสี่วันก่อนก็แทบจะหมดเกลี้ยง ยังดีที่ยังพอมีเงินจากการขายสมุนไพรของลี่ซือเหลืออยู่บ้าง และเมื่อวันก่อนลี่หยางโชคดีจับไก่ป่ามาได้สองตัว ครอบครัวลี่จึงไม่ต้องกังวลเรื่องขาดอาหารมากนัก
ทว่าลี่ซือกลับไม่ค่อยจะมีอารมณ์ร่วมกับการเฉลิมฉลองนี้เสียเท่าไหร่ ชายหนุ่มรอจนลี่ถังกินเสร็จแล้วค่อยเอ่ยปากถาม "น้องรองๆ เจ้าทำอย่างไรหรือเจ้าถึงได้กลายเป็นผู้ฝึกปรานได้ บอกพี่ใหญ่ได้หรือไม่?"
ลี่ถังเลิกคิ้ว "พี่ใหญ่อยากเป็นผู้ฝึกปรานหรือ?"
ลี่ซือชะงักเล็กน้อย หัวเราะแห้งๆ แล้วเอ่ยว่า "ฮ่าๆ จะว่าอย่างนั้นก็ได้"
ทันใดนั้นลี่หลินตัวน้อยก็โพล่งขึ้นมาในขณะที่ข้าวยังเต็มปาก "หลินเอ๋อก็อยากเป็นผู้ฝึกปราน หง่ำๆ" แม้ไม่รู้ว่าผู้ฝึกปรานคืออะไร แต่หากเป็นแล้วได้กินของกินเยอะๆเช่นนี้นางก็อยากเป็นเหมือนกัน
ทว่าไม่ใช่มีแค่ลี่ซือคนเดียวเท่านั้นที่อยากรู้ แม้แต่ลี่หยางก็ต้องวางไหสุราในมือลง และลี่จูยังต้องนั่งรอฟังคำตอบจากลี่ถังอย่างตั้งใจ
เดิมทีลี่ถังก็ตั้งใจจะให้ทุกคนในครอบครัวกลายเป็นผู้ฝึกปรานอยู่แล้ว หากนางใช้ความรู้และประสบการณ์ที่มี ก็สามารถจะทำให้พวกเขาบ่มเพาะพลังปรานได้ไม่ยาก
ยามนี้จึงนับว่าเป็นโอกาสเหมาะจะถามความเห็นจากพวกเขาแล้ว
ลี่ถังยิ้มน้อยๆ มองไปยังลี่จูและลี่หยางจากนั้นนางจึงเอ่ยถามทั้งสองพร้อมกัน "แล้วท่านพ่อกับท่านแม่เล่า อยากเป็นผู้ฝึกปรานหรือไม่เจ้าค่ะ?"