ตอนที่10 โอสถเสริมรากปราณ
วันนี้ลี่ถังมีนัดกับชายชราโจวสือ เถ้าแก่ร้านขายสมุนไพร โดยในครั้งก่อนลี่ถังได้เขียนรายชื่อสมุนไพรที่นางต้องการให้แก่ชายชราไป ล้วนเป็นสมุนไพรระดับสูงทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อปรุง 'โอสถเสริมรากปราน' ซึ่งเป็นโอสถระดับปฐพีที่สามารถฟื้นฟูเส้นชีพจรลมปรานและสร้างรากฐานบ่มเพาะพลังให้แก่ผู้ที่พิการทางเส้นชีพจรลมปรานหรือไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้ ให้สามารถบ่มเพาะพลังได้
แน่นอนว่าลี่ถังตั้งใจจะนำโอสถเสริมรากปรานนี้ไปใช้กับครอบครัวของนางเอง นี่เป็นวิธีเดียวที่สามารถทำให้พวกเขาฝึกบ่มเพาะพลังปรานได้
ต้องรู้ว่าสาเหตุที่หลายคนไม่สามารถฝึกบ่มเพาะพลังได้ แต่ในขณะที่อีกหลายคนสามารถฝึกบ่มเพาะพลังได้ตั้งแต่กำเนิด สาเหตุหลักๆ อย่างแรกเป็นเพราะพันธุกรรม หากใครในวงตระกูลเป็นผู้ฝึกปราน เช่นนั้นลูกหรือหลานที่ออกมาก็ล้วนสามารถฝึกบ่มเพาะพลังปรานได้เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงสังเกตได้ว่าเหล่าครอบครัวของชาวบ้านหรือคนธรรมดาทั่วไปจึงไม่มีใครเป็นผู้ฝึกปรานได้แม้แต่คนเดียว ซึ่งจะแตกต่างจากตระกูลขุนนางใหญ่ๆ ที่ทุกคนภายในตระกูลล้วนแต่เป็นผู้ฝึกปรานทั้งสิ้น
อย่างที่สองเป็นเพราะเส้นชีพจรลมปรานไม่อาจรองรับไอปรานได้ หรือที่คนส่วนใหญ่จะเรียกว่าเส้นชีพลมปรานพิการนั่นเอง
สาเหตุนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่เว้นแม้แต่คนในตระกูลผู้ฝึกปรานเองก็ตาม ทว่าก็เกิดขึ้นได้น้อยมากกับคนกลุ่มนี้
แต่สาเหตุนี้จะเป็นเรื่องปกติไปเลยเมื่อเทียบกับครอบครัวสามัญทั่วไป ซึ่งสาเหตุนี้เองที่พวกเขาเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้
ชายชราโจวสือนั่งรออยู่ในห้องปรุงโอสถอย่างใจจดใจจ่อ รอให้เด็กสาวมาถึงตามที่ได้นัดเอาไว้ ทว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่มา ชายชราก็อดนึกกังวลไม่ได้ การเดินทางมายังที่นี่ก็ไม่รู้ว่าไกลแค่ไหน เพราะเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กสาวบ้านอยู่ที่ใด เขาได้แต่นั่งรออยู่เงียบๆ พรางชะโงกมองออกไปด้านนอกประตูอยู่เป็นระยะ
ทว่าทันใดนั้น ชายชราก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหู "ท่านมองหาข้าอยู่หรือ"
ชายชราโจวสือสะดุ้งด้วยความตกใจ จากนั้นก็หันกลับมามองตามเสียงของอีกฝ่ายทันที
ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า ชายชราก็พลันตกตลึงจนตาค้าง พรางเขยิบถอยหลังด้วยความตกใจ
"ทะ..ท่านมาได้อย่างไร" เขาผุดสีหน้าราวกับเห็นผี เขาเห็นเด็กสาวที่มาพร้อมกับใบหน้าที่คุ้นเคยเดินออกมาจากสิ่งที่คล้ายกับวงแหวนอักขระสีเขียวอ่อนที่อยู่ติดกับฝาผนังห้องอย่างน่าอัศจรรย์
ใช่แล้วนางเดินออกมาจากฝาผนังที่หนาเท่ากับตัวคนจริงๆ!
ลี่ถังคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับอีกฝ่าย
นี่คือ 'วิชามิติเทพ' เป็นวิชาเคลื่อนย้ายที่อาจารย์ของนางในโลกก่อนถ่ายทอดให้เมื่อครั้งยังเป็นเมิ่งซี
ครั้งก่อนลี่ถังนางได้ทิ้งสัญลักษณ์มิติเทพที่ตาเปล่ามองไม่เห็นไว้ในห้องปรุงโอสถของชายชราเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ครั้งก่อนนางเป็นผู้ใช้อักขระขั้นสีฟ้าจึงยังไม่อาจใช้วิชาเคลื่อนย้ายนี้ได้ แต่ทว่าหลายวันที่ผ่านมานี้นางได้ทบทวนบทเรียนจากชีวิตก่อนและฝึกฝนขัดเกลาพลังแห่งจิตวิญาณอยู่ตลอด จนสุดท้ายนางก็เลื่อนขั้นเป็นผู้ใช้อักขระขั้นสีเขียวไปเป็นที่เรียบร้อย และสามารถเรียกใช้วิชาเคลื่อนย้าย..วิชามิติเทพอันสะดวกและรวดเร็วนี้ได้
"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ สมุนไพรที่ข้าบอกท่านให้ไปหามาได้ครบหรือไม่?"
"แน่นอนขอรับ แน่นอน" ชายชรารีบกล่าวตอบอีกฝ่ายทันที สมุนไพรระดับสูงที่หากยากพวกนี้ราคาแพงมากจนชายชราแทบน้ำตาไหล อีกอย่างสมุนไพรระดับสูงพวกนี้แน่นอนว่าเมืองกุ้ยฮวาย่อมหาไม่ได้อยู่แล้ว เขาต้องส่งคนไปซื้อในเมืองหลวงจักรพรรดิ กว่าจะได้มาก็ยากลำบากเหลือเกิน
แต่ทว่าชายชรากลับไม่รู้สึกว่าขาดทุนแต่อย่างใด การได้รับใช้ผู้ใช้อักขระเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติที่เขายินดีทำเต็มที่
อย่างไรเสียมันก็คือการลงทุนเพื่อกำไรอันมหาศาลในอนาคต!
ลี่ถังกวาดตามองสมุนไพรที่วางเรียงอยู่บนพรมสีแดงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อตรวจสอบดูแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร นางจึงเอ่ยต่อ "เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ งั้นข้าจะเริ่มปรุงโอสถชุดต่อไปเลยแล้วกัน" นางนั่งลงพรางเอ่ยต่อ "จากนี้ข้าจะปรุงโอสถระดับปฐพี อาจเกิดอันตรายได้หากท่านอยู่ไกล้"
ชายชราพลันชงักค้าง ประโยคแรกราวกับลมผ่านหู ประโยคที่สองกลับทำให้เขามีสีหน้าหวาดหวั่น "ระ..ดับปฐพี! ทะ..ท่านไม่ได้ล่อเล่นใช่หรือไม่"
ชายชราไม่กล้าเชื่อแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นปรมจารหยุนปิงซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักโอสถทิพย์เขาก็ยังไม่กล้าเรียกโอสถที่ตนปรุงขึ้นว่าเป็นโอสถระดับปฐพี นั่นก็เพราะว่าประสิทธิภาพของมันยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่เด็กสาวตรงหน้ากลับพูดว่าจะปรุงโอสถระดับปฐพีออกมาได้อย่างง่ายดาย!
ชายชรายิ่งคิดก็ยิ่งขมขื่น เด็กสาวผู้นี้ทำให้เขาต้องตกใจกลัวได้ตลอดจริงๆ
ลี่ถังเริ่มลงมือ เนื่องจากครั้งนี้เป็นโอสถระดับปฐพีจึงต้องใช้เปลวเพลิงที่ร้อนแรงกว่าเดิม ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสามารถแผดเผาสมุนไพรระดับสูงให้หลอมรวมกันได้ ยังดีที่ลี่ถังนางได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ใช้อักขระขั้นสีเขียวแล้ว ความร้อนแรงของเปลวเพลิงอักขระของนางจึงเพิ่มขึ้นสูงและสามารถอุดช่องว่างนี้ได้
ลี่ถังสบัดมือสร้างโล่อักขระสีเขียวขึ้นมาปกคลุมร่างกายตัวเองเอาไว้ จึงค่อยเริ่มวาดมือไปมาแล้วปรากฏเป็นวงแหวนอักขระสีเขียวท่ามกลางอากาศ ในขณะที่สมุนไพรระดับสูงทั้งหมดลอยเคว้งอยู่ภายใน
เวลานี้นัยน์ตาของเด็กสาวกลายเป็นสีเขียวอ่อนเปล่งแสง ทั้งอ่อนโยนและสง่างาม ราวกับเป็นดวงตาแห่งชีวิต
หลังจากผ่านขั้นตอนการชะล้างเรียบร้อยแล้ว ลี่ถังก็พลันตวัดปลายนิ้วอย่างรวดเร็วแทบมองตามไม่ทัน จนเกิดเป็นเปลวเพลิงสีเขียวขึ้น ก่อนนางจะส่งเข้าไปแผดเผาสมุนไพรระดับสูงภายในให้หลอมรวมกันกลายเป็นของเหลวสีขาวขุ่นมัว
เปลวเพลิงอักขระเกิดขึ้นจากพลังจิตวิญญาณของนางเอง ดังนั้นลี่ถังจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการควบคุมเปลวเพลิงให้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดสำหรับนักปรุงโอสถ เพียงนางคิดเปลวเพลิงที่สร้างขึ้นจากพลังอักขระของนางก็ลดระดับหรือเพิ่มระดับได้ทันที แบบนี้แล้วความผิดพลาดจึงน้อยมาก
ชายชราไม่กล้าจะละสายตากระบวนการปรุงโอสถเช่นนี้ต่อให้ดูอีกสักร้อยรอบเขาก็ยังอดตกตลึงไม่ได้ การปรุงโอสถของผู้ใช้อักขระมันแตกต่างจากการปรุงโอสถทั่วไปจนเทียบไม่ติด ภาพที่ผู้ใช้อักขระกำลังสร้างสรรค์โอสถระดับปฐพีอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้เห็นอีกหรือไม่ เขาจึงต้องตักตวงช่วงเวลานี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ทว่าเพียงไม่กี่อึดใจต่อมา การปรุงโอสถเสริมรากปรานก็จบลงโดยที่ชายชราไม่ทันตั้งตัว ตั้งแต่เริ่มจนจบเด็กสาวใช้วิธีการปรุงเดิมกับเมื่อครั้งก่อน แต่รวดเร็วกว่าเดิมมากนัก ราวกับเวลาผ่านไปชั่วพริบตาเท่านั้น ชายชราก็เห็นเม็ดโอสถสีขาวบริสุทธิ์ 8 เม็ดลอยเด่นแผ่กลิ่นหอมอยู่กลางอากาศ
ชายชรารู้ได้ทันทีว่า นี่หมายถึงอะไร..
ลี่ถังเก็บเม็ดโอสถ 4 เม็ดไว้ในขวดหยก
เหลืออีก 4 เม็ดลี่ถังสะบัดมือ ส่งให้ชายชราไป "ครั้งนี้ข้าจำเป็นต้องใช้โอสถพวกนี้ และนี่คือส่วนแบ่งของท่าน หวังว่าท่านคงไม่ขัดข้องกระมัง?"
ตามเงื่อนไขก็คือ นาง 6 ส่วน ชายชรา 4 ส่วน ทว่าครั้งนี้ลี่ถังเพียงต้องการโอสถ 4 เม็ดเท่านั้น สำหรับครอบครัวของนาง ทั้งนางก็ไม่ได้ลุงทุนลงแรงอะไรมากนัก ให้อีกฝ่ายอย่างเท่าเทียมก็ไม่ได้เสียหายอะไร
ชายชรายังตอบสนองไม่ทัน ทว่าก็ยื่นมือออกไปรับเม็ดโอสถไว้ด้วยมือที่สั่นเทา พอมองไกล้ๆ แล้วเขาจึงรู้สึกได้ว่าโอสถนี้ดูเผินๆ ก็ไม่ต่างจากโอสถเมื่อครั้งก่อนแม้แต่น้อย จะต่างก็ตรงที่กลิ่นหอมและรัศมีพลังของมันเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัว
"อะ..โอสถไร้ตำหนิ แถมนี่คือโอสถระดับปฐพี!" ชายชราเบิกตาโต แม้จะรู้อยู่แล้วแต่อย่างไรก็อดตกตลึงไม่ได้จริงๆ
ลี่ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "โอสถนี้มีชื่อว่าโอสถเสริมรากปราณ เป็นโอสถระดับปฐพี" จากนั้นนางเอ่ยถึงรายละเอียดและสรรพคุณของตัวโอสถคร่าวๆ อย่างเช่นว่ามันสามารถทำให้คนธรรมดาสามัญกลายเป็นผู้ฝึกปรานได้
แน่นอนว่าชายชราผวาแทบลมจับ โอสถที่ท้าทายอำนาจสวรรค์เช่นนี้ เท่าที่เขารู้มันยังไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน แม้ในเมืองหลวงจักรพรรดิเองก็เช่นกัน หากใครรู้ว่ามีโอสถที่สามารถทำให้คนธรรมดาสามัญกลายเป็นผู้ฝึกปรานได้ราวกับพลิกฝ่ามือเช่นนี้ เกรงว่าทั่วทั้งยุทธภพต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เป็นแน่!
ชายชราพอคิดถึงตรงนี้เขาก็สูดหายใจหนาวเหน็บ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "คุณหนูลี่.. อย่าหาว่าชายแก่คนนี้ยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนะ แต่ข้าขอแนะนำให้ท่านเข้าร่วมกับสมาคมนักปรุงโอสถ หากที่ท่านกล่าวมาเป็นเรื่องจริง โอสถเสริมรากปรานที่ท่านปรุงขึ้นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ หากจัดการไม่ดีก็อาจจะส่งผลเสียตามมา แต่หากท่านเข้าร่วมกับสมาคมแล้ว แน่นอนว่าท่านจะได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยจากพวกเขา ทั้งไม่แน่ว่าอาจได้รับตำแหน่งที่สูงส่งก็เป็นได้"
สายตาของชายชราจับจ้องเด็กสาวอย่างรอคำตอบ ที่กล่าวไปไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของนางเพียงอย่างเดียว อย่างไรเสียผู้ที่มีความสามารถท้าทายสวรรค์เช่นนี้คงน่าเสียดายหากไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่แน่ว่ายุทธภพในวันข้างหน้าอาจจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือด้วยฝีมือของนางก็ได้
"ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วงและหวังดีเจ้าค่ะ แต่ข้ายังไม่มีความคิดที่จะเข้าร่วมกับใคร ที่สำคัญข้าอยากใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบนี้มากกว่า" ลี่ถังหยุดไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่ออย่างช้าๆ "ส่วนเรื่องโอสถเสริมรากปรานนั้นท่านไม่ต้องกังวล นอกจากท่านแล้วก็มีแต่ข้าเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้" เด็กสาวเผยรอยยิ้มลึกลับ "ท่านคงเข้าใจความหมายของข้ากระมัง?"
ชายชราอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบปฏิเสธทันทีโดยไม่คิดอะไร
ทว่าประโยคหลังกลับทำให้ชายชรากระอักกระอ่วนใจ จนเขาอดยิ้มฝืนออกมาไม่ได้
ใช่อย่างที่นางว่ามาจริงๆ หากพวกเขาทั้งสองไม่พูด แล้วใครกันหละจะรู้เรื่องนี้?
จากนั้นชายชราก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ทว่ากลับแห้งแล้งอย่างยิ่ง "คุณหนูวางใจเถิด ชายแก่คนนี้ไม่ปากพล่อยบอกเรื่องนี้กับใครอยู่แล้ว" เขาหยุดไปครู่ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างนอบน้อม "ในเมื่อคุณหนูพูดมาอย่างนี้แล้ว ข้าเองก็มิบังคับ และพร้อมจะสนับสนุนการตัดสินใจของท่านอย่างเต็มที่"
ลี่ถังพยักหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ นางไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่ออีก จากนั้นนางจึงฉุกคิดเรื่องนึงขึ้นมาได้ พรางเอ่ยถามกับชายชรา "อืม..ว่าแต่โอสถเมื่อครั้งก่อนที่ท่านเอาไปประมูลเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ?"
ชายชราพลันนึกขึ้นมาได้เช่นกัน "จริงสิ จริงสิ ข้าเกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท" เขาเอื้อมมือแก่หงำเข้าไปในสาบเสื้อพรางมองหน้าเด็กสาวแล้วเอ่ยถามยิ้มๆ "คุณหนูเดาดูสิว่าโอสถเมื่อครั้งก่อนประมูลได้ราคาเท่าไหร่?"
ลี่ถังท่าทางครุ่นคิด "1,000 เหรียญเงินกระมัง?"
ชายชรามุมปากกระตุก จากนั้นเขาหัวเราะร่า ก่อนจะหยิบถุงเงินเท่าลูกแตงโมนำออกมาวางอยู่ตรงหน้าเด็กสาว "น้อยเกินไป.. 85,000 เหรียญทองต่างหาก!"
ลี่ถังรู้สึกตกตลึง "ได้เยอะถึงเพียงนี้เชียว?"
ชายชราโจวสือเผยรอยยิ้มชรา "แน่นอน โอสถไร้ตำหนินับเป็นสิ่งที่หายากในตำนาน หากประมูลได้ราคาน้อยสิแปลก" เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ "จริงสิ... ข้ามีบางอย่างอยากจะถามความเห็นจากคุณหนูลี่ ที่จริงก็เป็นทางโรงประมูลฝากถามข้ามา ไม่รู้ว่าท่านจะมีความเห็นว่าอย่างไร"
ลี่ถังพยักหน้า "ว่ามาเถอะเจ้าค่ะ"
ชายชราว่า "อีก 2 วัน ท่านจ้าวเมืองเชิญคุณหนูให้ไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านจ้าวเมือง ข้าเดาว่าตาแก่นั่นคงรู้อะไรมาบ้างแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าคุณหนูเป็นผู้ใช้อักขระที่ปรุงโอสถไร้ตำหนิ หึ!" ชายชรารู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการทำสิ่งใด เขาจึงอดเค้นเสียงอย่างดูแคลนไม่ได้ "แต่แน่นอนว่าคุณหนูสามารถปฏิเสธได้เช่นกัน อย่างไรเสียสถานะของท่านใครในเมืองแห่งนี้ก็ไม่อาจบังคับได้ ถึงมีข้าตาแก่ผู้นี้จะสั่งสอนมันเอง"
ลี่ถังไม่สงสัยในคำพูดของอีกฝ่าย
ทว่าเดิมทีนางก็ไม่มีความคิดที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่ใช่เร็วๆ นี้
หากแต่ลี่ถังก็ไม่ได้ปฏิเสธคำเชิญของอีกฝ่ายออกมาเสียทีเดียว นางเพียงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า
"ข้าขอคิดดูก่อนก็แล้วกัน"