บท
ตั้งค่า

บทที่ 8 เสี้ยมสอนน้องสาว!

“อ่อ… เช่นนั้นเจ้าก็จัดการให้พวกนางย้ายกลับไปตำหนักฉงฮว๋าดังเดิม ส่วนผู้ใดที่คิดว่าหลานสาวข้าจะคลุ้มคลั่งก็ส่งไปตำหนักเย็นเสียให้หมด!” สุรเสียงสงบนิ่งแต่กลับทรงอำนาจยิ่งของไทเฮา ทำให้ถงหวงกุ้ยเฟยต้องขานรับด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“เพคะ หม่อมฉันจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เลยเพคะ”

นัยน์ตาของผู้ชรายังคงจับจ้องพระสนมถงอย่างบีบคั้น ทำให้ผู้ถูกจ้องมองตัวสั่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวอย่างแท้จริง

“เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ ซุนมามาเจ้าตามไปดูความเรียบร้อยทั้งหมดแทนข้าด้วย”

“เพคะ” นางกำนัลอาวุโสขานรับอย่างนอบน้อม ก่อนจะตามสองแม่ลูกผู้สูงศักดิ์ออกจากตำหนักโซ่วอันไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง

เมื่อเรื่องทุกอย่างได้รับการสะสางเรียบร้อย จ้าวเหม่ยอิงจึงจับจูงมือน้องสาวลงมาคุกเข่าคำนับผู้เป็นย่าด้วยความซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง

“ขอบพระทัยเสด็จย่าที่ยอมให้การช่วยเหลือพวกหม่อมฉันเพคะ”

“ลุกขึ้นๆ พวกเจ้ามิต้องมากพิธีกับย่าเช่นนี้ เฮ้อ~ ต่อไปหากมีเรื่องใดก็มาหาย่าเถอะ ย่าจะอยู่ที่นี่คอยช่วยเหลือพวกเจ้าก็แล้วกัน”

หญิงชราผู้สูงศักดิ์ตัดสินใจที่จะกลับมาสู่วังวนแห่งความวุ่นวายอีกครั้ง เพื่อดูแลหลานสาวทั้งสอง โดยเฉพาะหลานสาวที่แสนอาภัพของพระองค์

“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จย่า!”

ภายในพระตำหนักฉงฮว๋า สตรีงดงามสองนางกำลังทำท่าทางแปลกๆ อยู่ด้วยกันในโถงใหญ่ โดยมีนางกำนัลน้อยทั้งสี่เฝ้ามองตาปริบๆ

“เชิดอีกนิด อีกนิด… นั่นล่ะๆ แขนๆ อย่าตกสิ เอาล่ะ ไหนลองเอ่ยตามที่ข้าบอกไปเมื่อก่อนหน้าสิ”

ท่าทางเข้มงวดของผู้เป็นพี่ ทำให้จ้าวลี่อินถึงกับเหงื่อตก นางสูดหายใจลึกก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงดังแต่ไร้ความน่าเกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น

“บังอาจ… พวกเจ้าคิดจะลองดีกับข้าหรือ”

“ไม่ได้ๆ นี่มันก็แค่การตะโกน เจ้าต้องใส่อารมณ์ร่วมเข้าไปด้วย แบบนี้…”

หญิงสาวยืดตัวตรง พลางแอ่นหลังเปิดหัวไหล่เล็กน้อย ก่อนจะกุมมือทั้งสองไว้ตรงท้องเบาๆ ทั้งเชิดหน้าขึ้นนิดๆ และปรายตามองผู้เป็นน้องอย่างเอาเรื่อง

“บังอาจ! พวกเจ้าคิดจะลองดีกับข้าหรือ!!”

แปะ แปะ แปะ แปะ

“โห! น่ากลัวยิ่งเพคะพี่เหม่ย หม่อมฉันยังรู้สึกใจสั่นมิหายเลยเพคะ”

ทั้งเสียงปรบมือจากเหล่านางกำนัล และคำชื่นชมจากผู้เป็นน้อง ทำให้จ้าวเหม่งอิงแทบอยากจะกัดลิ้นตาย!

‘นี่ฉันแสดงให้ดูก็เพื่อให้เธอทำตาม ไม่ใช่ให้มานั่งชื่นชม! แล้วแม่พวกนี้อีกจะตบมือเพื่อ!?’

“ลี่เอ๋อร์เจ้าทำให้ข้าดูใหม่อีกครั้ง อย่าลืมว่าต้องใส่อารมณ์เข้าไปด้วยเข้าใจหรือไม่” นางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการฝึกฝนมาสองชั่วยามเต็มนั้น ดูจะไม่ค่อยน่าพึงพอใจเท่าไหร่นัก

“บังอาจ… พวกเจ้า… คิดจะลองดีกับข้าหรือ…” น้ำเสียงแหบแห้งและท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงของผู้เป็นน้อง ทำให้การฝึกฝนต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้

“เฮ้อ~ ลี่เอ๋อร์ หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ล่ะก็ เจ้าจะปกป้องตนเองได้อย่างไร”

“หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ” ท่าทางเงื้องหงอยของเด็กสาวทำให้ผู้เป็นพี่เริ่มใจอ่อน แต่หากปล่อยให้นางเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องส่งผลเสียมากกว่าผลดีเป็นแน่

จ้าวเหม่ยอิงจึงตัดสินใจที่จะสั่งสอนผู้เป็นน้องต่อไปอย่างจริงจัง

“หากภายหน้าเจ้าพบคนของตนกำลังถูกรังแก ก็จะใช้แต่กำลังที่มีอยู่เพียงน้อยนิดเช่นวันนี้น่ะหรือ…

เจ้าคิดว่าตนเองสามารถจัดการทุกสิ่งได้ดีแล้ว? หรือคิดว่าแค่เอ่ยทุกอย่างออกมาตรงๆ แล้วจะมีคนเชื่อและปล่อยเจ้าไป?

ช่วงเวลาที่ผ่านมาเจ้าใช้สิ่งเหล่านี้เข้าสู้ แล้วมันชนะหรือไม่เล่า

ลี่เอ๋อร์ การมีเล่ห์เหลี่ยมมิใช่สิ่งที่ผิด หากเจ้าใช้มันอย่างถูกต้องและถูกสถานการณ์ เหมือนที่ข้าใช้มันเพื่อปกป้องพวกเรา แต่หากเจ้ายังมิเข้าใจความตั้งใจของข้าเช่นนี้… ข้าก็จนปัญญา”

น้ำตามากมายของเด็กสาวไหลลงมาเป็นทางราวกับม่านไข่มุก แม้จะเห็นเช่นนี้แต่จ้าวเหม่ยอิงยังคงแข็งใจไม่เอ่ยปลอบนาง

“อึก… มะ หม่อมฉัน… ซิก …เข้าใจแล้วเพคะ…” เด็กสาวเอ่ยเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสาร

จ้าวเหม่ยอิงกำมือเป็นหมัดแน่นก่อนจะฝืนเอ่ยอย่างจริงจังต่อไป

“หากเข้าใจ เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ควรทำให้ดีขึ้น จงจดจำความรู้สึกยามนี้ไว้ให้ดีเถอะ หากเจ้ายังเป็นเช่นเดิมนั่นก็แสดงว่าเจ้ามิได้เข้าใจอย่างที่เอ่ยออกมาจริงๆ เอาล่ะนี้ก็สายมากแล้ว พวกเราไปทานมื้อเย็นกันเถอะ”

“เพคะ…” น้ำเสียงเศร้าสร้อยของน้องสาว ทำให้จ้าวเหม่ยอิงทนไม่ไหวอีกต่อไป นางยกมือขึ้นลูบศีรษะของสตรีตรงหน้าอย่างปลอบโยน

“เฮ้อ~ เจ้าควรเลิกขี้แยได้แล้ว น้ำตาพวกนี้น่ะ เก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นเถอะ”

ในวังหลังแห่งนี้น้ำตายังพอเป็นสิ่งที่จะช่วยชีวิตคนได้บ้าง หากผู้ที่เจ้าไปร้องขอยังคงมีไมตรีจิตกับเจ้า

สองพี่น้องรับประทานอาหารกันอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศของทั้งคู่ดูเศร้าซึมเสียจนเหล่านางกำนัลทั้งสี่อดแสดงสีหน้ากังวลออกมามิได้

นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนทะเลาะกันเช่นนี้ หากสามารถคืนดีกันได้โดยเร็วก็คงดี

ทั้งที่องค์หญิงสามเพิ่งจะหายจากพระอาการพระสติฟั่นเฟือนแท้ๆ ทั้งคู่ควรจะรักใคร่ปรองดองกันมิใช่หรือ

“ลี่เอ๋อร์ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าเสียหน่อยเถอะ” จ้าวเหม่ยอิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง หลังจบมื้ออาหารเย็น

“เพคะพี่เหม่ย” ผู้เป็นน้องยังคงตอบรับด้วยท่าทีว่าง่าย แต่กลับดูเซื่องซึมกว่าที่ผ่านมา

สองพี่น้องเดินเล่นไปเรื่อยๆ ในสวนดอกไม้ของพระตำหนักฉงฮว๋า แต่กลับมิได้ให้เหล่านางกำนัลติดตามมาด้วย

สายลมยามเย็นอ่อนๆ พัดผ่านใบหน้าสะคราญโฉมของทั้งสองไปอย่างเอื่อยๆ บรรยากาศรื่นรมย์เงียบสงบช่วยให้จิตใจที่หมองเศร้าค่อยๆ ผ่อนคลายลง

“ทั้งที่เป็นสถานที่งดงามถึงเพียงนี้ แต่กลับซ่อนอันตรายไว้มากมายจนน่ากลัว เจ้าว่าจริงหรือไม่ ลี่เอ๋อร์” คำถามเรียบเรื่อยถูกส่งไปให้สตรีด้านหลังที่กำลังเดินตามพี่สาวตนเองต้อยๆ

“เพคะ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังบอบบางของผู้ที่ตนเองพยายามปกป้องมาโดยตลอด

แต่เมื่อลองนึกย้อนกลับไปถึงได้พบว่า แท้จริงแล้ว ตนเองยังมิเคยปกป้องสตรีตรงหน้าได้จริงๆ เลยสักครั้ง

เมื่อในอดีตเป็นพี่สาวและพี่ชายที่คอยปกป้องนางจากอันตราย ยามนี้เมื่อเสด็จแม่ทรงประชวร เสด็จพี่รัชทายาทกำลังตกที่นั่งลำบาก นางกลับทำได้เพียงยอมรับการกลั่นแกล้งต่างๆ นานาจากพวกคนชั่วเพียงเท่านั้น

นิสัยเช่นนี้… ความอ่อนแอแบบนี้… มิสามารถใช้ปกป้องผู้ใดได้จริงๆ

“พี่เหม่ย วันพรุ่งนี้หม่อมฉันจะทำให้สำเร็จเพคะ” เด็กสาวเอ่ยออกมาอย่างมุ่งมั่น

นางจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง จะต้องเข้มแข็งขึ้นเพื่อปกป้องทุกคนที่นางรักให้ได้!

จ้าวเหม่ยอิงหันหลังมาประจันหน้ากับผู้เป็นน้อง ก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้เป็นกำลังใจ

“ลี่เอ๋อร์ พี่เชื่อว่าเจ้าทำได้!”

นัยน์ตาใบหลิวงามพิสุทธิ์ของเด็กสาวค่อยๆ เปล่งประกายความสุขออกมาอีกครั้ง

หลังสองพี่น้องปรับความเข้าใจกันเรียบร้อย จึงเดินเล่นด้วยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสระบัวเล็กๆ ใกล้กับอุทยานหลวง

ท้องฟ้ายามนี้กลายเป็นสีส้มแดง ฝูงนกมากมายต่างบินกลับรังส่งเสียงเจี้ยวจ้าวมาจากที่ไกลๆ

“พระอาทิตย์ตกแล้ว พวกเราก็ควรกลับตำหนักกันเสียที” จ้าวเหม่ยอิงเอ่ยพร้อมกับหมุนตัวกลับไปทางที่ตนเองเพิ่งจะเดินผ่านมา

ทั้งสองคนเดินกลับตำหนักไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน แต่เสียงพูดคุยที่ได้ยินแว่วๆ ทำให้ผู้เป็นพี่ต้องหยุดชะงักไปเล็กน้อย

“ได้ยินว่าองค์หญิงเสียสติกลับมาอยู่ที่ตำหนักฉงฮว๋าแล้วล่ะ”

“เอ๋ มิใช่ถูกพระสนมถงไล่ไปอยู่ตำหนักเก่าแล้วหรอกหรือ เช่นนี้จะเป็นอันตรายกับพวกเราหรือไม่ ได้ยินว่ามีคนที่ไปตำหนักเก่าถูกทำร้ายกลับมาตั้งหลายคนมิใช่หรือ”

“ก็ใช่น่ะสิ ทำอย่างไรได้เล่านี่เป็นพระประสงค์ของไทเฮา พระสนมถงจึงต้องเอาตัวอันตรายเช่นนี้กลับมา”

“เฮ้อ~ เป็นเช่นนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เหตุใดคนเสียสติเช่นนั้นจึงมิจมน้ำตายไปเสียตั้งแต่ช่วงเช้าเล่า จะรอดมาสร้างความหวาดหวั่นให้พวกเราอีกทำไมกัน”

“ชู่ว~ ปากเจ้านี่นะ จะรนหาที่…”

“บังอาจ! กล้าสาปแช่งเสด็จพี่หญิงสามเช่นนี้ ผู้ใดใจกล้าให้ท้ายพวกเจ้ากัน!”

เด็กสาวที่เคยเดินตามหลังผู้เป็นพี่ บัดนี้กลับไปยืนวางอำนาจข่มขู่คนอยู่ตรงหน้านางกำนัลปากมากทั้งสองนั่นเสียแล้ว

“อะ องค์หญิงสี่!” ข้ารับใช้ทั้งสองตกใจจนเสียงสั่น พลางนั่งคุกเข่าลงไปบนพื้นเสียงดังตุบ

“ตอบมา! มันผู้ใดช่างขวัญกล้าให้ท้ายพวกเจ้า!!” ท่าทางดุดันและน้ำเสียงทรงอำนาจ ยิ่งทำให้นางกำนัลทั้งสองก้มหน้าลงต่ำจนแทบจะติดพื้นดินและตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว

“มะ มะ มะ ไม่มีเพคะ ปะ ปะ เป็นพวกหม่อมฉันสมควรตาย อะ อะ องค์หญิงสี่โปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ!!” นางกำนัลผู้หนึ่งเอ่ยออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“หึ! พวกเจ้ากล้าเอ่ยวาจาล่วงเกินเสด็จพี่หญิงของข้า แต่กลับมิกล้ารับโทษเช่นนั้นรึ!”

“องค์หญิงสี่โปรดเมตตา!”

“องค์หญิงสี่โปรดเมตตาพวกหม่อมฉันด้วยเพคะ!”

นางกำนัลทั้งสองเริ่มร้องไห้อ้อนวอนเป็นการใหญ่

“อยากให้ข้าเมตตา… แล้วให้พวกเจ้ามาสาปแช่งเสด็จพี่หญิง หรือมาสาปแช่งข้าอีกคนหรือไร!!”

ประกายกรุ่นโกรธและท่าทางต้องการเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ทำให้บรรยากาศใสซื่อบริสุทธิ์ของจ้าวลี่อินหายไปเสียสิ้น

“ไม่แล้วเพคะ! ไม่แล้ว! ไม่มีอีกแล้วเพคะ!”

“มิกล้าแล้วเพคะ! พวกหม่อมฉันมิกล้าอีกแล้วเพคะ!”

ทั้งสองยังคงเอ่ยอย่างละล่ำละลักด้วยความหวาดกลัวจนถึงขีดสุด

“หึ! ข้าจะเมตตาพวกเจ้าสักครั้ง… จงตบปากตนเองจนกว่าข้าจะสั่งให้หยุดเดี๋ยวนี้!” วิธีนี้พี่สาวเพิ่งจะสอนนางไปเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา

“พะ เพคะ!”

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

จ้าวเหม่ยอิงยืนกอดอกมองภาพน้องสาวตนเองในขณะนี้อย่างภาคภูมิใจ

‘ลี่เอ๋อร์ เธอไม่ทำให้พี่ผิดหวังจริงๆ เป็นนางเอกมันก็ต้องดุร้ายแบบนี้แหละ ถึงจะถูกต้อง!!’

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel