บทที่ 7 คานอำนาจ
เมื่อเหล่าขันทีถูกตีจนกระเจิดกระเจิง เรื่องราวคงยิ่งลุกลามไปใหญ่โตเป็นแน่ เพราะนี่เท่ากับเป็นการขัดคำสั่งของผู้ดูแลวังหลัง ทำให้หลีมามาต้องรีบนำทางองค์หญิงทั้งสองไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักโซ่วอันโดยเร็ว
ไม่ผิดจากที่นางกำนัลอาวุโสคาดการณ์แม้แต่น้อย ขันทีเหล่านั้นหอบร่างกายอันบอบช้ำของตนเองไปฟ้องผู้เป็นนายจริงๆ
“ทะ ทูลพระสนม องค์หญิงสามดุร้ายเหลือเกินพะยะค่ะ พวกกระหม่อมล้วนถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส และองค์หญิงสี่ยังทรงวางอำนาจข่มขู่พวกกระหม่อม ทั้งที่กระหม่อมทูลว่าตนเป็นคนของพระสนม ท่าทางขององค์หญิงทรงมิเกรงกลัวบารมีของพระสนมแม้เพียงนิด กระหม่อมรู้สึกเจ็บแค้นแทนพระองค์ยิ่งพะยะค่ะ”
ด้วยคำพูดที่จงใจใส่สีตีไข่ของขันที ทำให้พระสนมถงมีสีพระพักตร์ราวกับจะสังหารคนให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น
แต่พระนางกลับสามารถเก็บอารมณ์เกรี้ยวกราดของตนไว้ได้ภายในเวลาเพียงไม่นาน ท่าทางบริสุทธิ์สงบนิ่งดุจดอกบัวขาวกลับคืนมาอีกครั้ง
ถงหวงกุ้ยเฟยเพียงปรายพระเนตรมองข้ารับใช้ผู้นั้นด้วยแววตาเรียบเฉย
“เช่นนั้นเจ้ากลับไปรักษาตัวเสียก่อนเถิด เรื่องนี้ข้าจะต้องคืนความเป็นธรรมให้กับพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
น้ำเสียงใสกระจ่างตรัสออกมาอย่างเมตตา ก่อนจะโบกมือเรียวงามที่ใส่ปลอกนิ้วทองคำเป็นเชิงไล่คนให้ออกไป
“พระมารดา… อึก ทรงได้ยินแล้ว… ฮือๆ ใช่หรือไม่… อึก เพคะ… ซืด~ พวกมันทั้งสอง… อึก ตั้งใจ… ทำร้ายลูก… ฮือๆ”
เสียงอู้อี้ปนสะอื้นขององค์หญิงเซิ่งอีดังขึ้นอย่างน่าสงสาร ทำให้ผู้เป็นพระมารดาต้องยื่นพระหัตถ์ลูบศีรษะนางอย่างปลอบโยน
“หลิงหลง มารดาบอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าอย่าเพิ่งยุ่งกับสองพี่น้องนั่น บัดนี้จี้ซินหรงยังมิตาย มารดายังมิได้เป็นฮองเฮา ส่วนพี่ชายเจ้าก็ยังมิทันได้เป็นรัชทายาท เจ้าบุ่มบ่ามเข้าไปหาเรื่องพวกนางเช่นนี้ มีแต่จะสร้างเรื่องให้เสด็จพ่อเคืองพระทัยเสียเปล่าๆ”
คำตรัสตักเตือนด้วยความหวังดีของผู้เป็นพระมารดา กลับทำให้ผู้เป็นพระธิดายิ่งทรงกันแสงโฮออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ฮือๆ เหตุใด… พระมารดา… มิเข้าข้างลูก… เล่าเพคะ… ฮือๆ ตลอดมา… ลูก… อึก ต้องถูก… นำไปเปรียบเทียบ… ซืด~ …กับนังสองคนนั่น! อึก …ยิ่ง …กับนังหญิงบ้า… อึก …เช่นนั้น… ยังถูกมอง… ว่างามกว่าลูก! ฮือๆ ซืด~ เช่นนี้แล้ว… อึก …จะมิให้ลูก… ซืด~ แค้นใจได้อย่างไรเพคะ! ฮือๆ”
ถงหวงกุ้ยเฟยถอนพระปัสสาสะออกมาอย่างเหนื่อยพระทัย เหตุใดธิดาที่ทรงประสูติออกมาถึงได้มีสติปัญญาน้อยนิดเพียงนี้ ช่างแตกต่างกับโอรสของพระองค์ยิ่งนัก
นับว่าสวรรค์ยังเมตตาพระนางอยู่บ้าง ที่ให้มีเพียงพระธิดาเท่านั้นที่โง่เขลาเช่นนี้!
บัดนี้องค์ชายแปด จ้าวคังยี่ โอรสของพระนางสามารถยึดแคว้นเหลียงได้เป็นที่เรียบร้อย และกำลังเดินทางกลับมายังเมืองหลวงแคว้นจ้าว
ความดีความชอบในครั้งนี้จะทำให้เจ๋อหยวนฮ่องเต้ทรงทนต่อไปไม่ไหว ต้องรีบสร้างเรื่องปลดรัชทายาทจิ้นผิงออกจากตำแหน่งแน่นอน!
ส่วนจี้ฮองเฮานั้น…
‘หึ! อีกไม่นานทุกอย่างจะต้องอยู่ในกำมือข้าอย่างสมบูรณ์!’
ถงหวงกุ้ยเฟยค่อยๆ ลุกจากตั๋งนุ่มช้าๆ ก่อนจะเรียกนางกำนัลเข้ามาช่วยผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์
“พระมารดา… จะเสด็จไปที่ใดหรือ… เพคะ” จ้าวหลิงหลงเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอู้อี้ บัดนี้นางมิหลงเหลือน้ำตาให้ร้องไห้ออกมาอีกแล้ว
“เจ้าต้องการจะสั่งสอนผู้ใด มารดาก็จะไปช่วยจัดการสะสางให้อย่างไรเล่า” สุรเสียงกระจ่างใสของผู้เป็นพระมารดา ทำให้สีพระพักตร์ของพระธิดาเบิกบานขึ้นในทันที
“เช่นนั้นหม่อมฉันขอตามเสด็จไปด้วยนะเพคะ” ท่าทางร่าเริงสดใสขององค์หญิงหกช่างแตกต่างจากเมื่อครู่มากมายนัก
“ตามใจเจ้าเถอะ” ตรัสจบถงหวงกุ้ยเฟยจึงเสด็จออกจากตำหนักเฉิงเฉียนอย่างไม่รีบร้อน ท่าทางของพระนางดูสูงส่งเหมาะกับการเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในวังหลังอย่างยิ่ง
เมื่อสองพี่น้องมาถึงตำหนักโซ่วอัน หลีมามารีบพาคนไปพบไทเฮาในทันที ท่าทางเร่งร้อนของข้ารับใช้คนสนิท ทำให้ไทเฮาอดขมวดพระขนงมิได้
“เกิดเรื่องใดขึ้นรึ” สุรเสียงสงบนิ่งตรัสขึ้นกับนางกำนัลคนสนิท
“ทูลไทเฮา ระหว่างทางพบขันทีของพระสนมถงเพคะ พวกเขาตั้งใจจะจับองค์หญิงสามไปรับโทษ แต่ถูกองค์หญิงตีด้วยท่อนไม้ ทำให้หนีเตลิดกลับไปเพคะ หม่อมฉันเกรงว่าเรื่องนี้คงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ จึงรีบนำทั้งสองพระองค์มาที่ตำหนักโซ่วอันโดยเร็วเพคะ”
“อืม เจ้าทำถูกต้องแล้ว ส่งคนไปเฝ้าที่ตำหนักของพวกนาง หากพบคนของตำหนักเฉิงเฉียนอีกก็ให้แจ้งพวกเขาว่าข้าต้องการพบสนมถง” สุรเสียงสงบนิ่งของไทเฮา ทำให้หลีมามาต้องเอ่ยออกมาอย่างอดมิได้
“ทูลไทเฮา องค์หญิงทั้งสองถูกพระสนมถงย้ายที่ประทับไปยังตำหนักเก่าใกล้ตำหนักเย็นเพคะ”
สิ้นคำรายงานไม้เท้าหัวมังกรในพระหัตถ์ไทเฮากระแทกลงพื้นเสียงดัง
ตึง!
“มันจะมากไปแล้ว! ส่งคนไปเรียกตัวสนมถงมาพบข้าเดี๋ยวนี้! ข้าจะดูสิว่าอำนาจที่เจ้าลูกเนรคุณนั่นมอบให้นาง จะเหยียบศีรษะข้าด้วยหรือไม่!”
“เพคะ” หลีมามารับคำก่อนจะถวายบังคมและถอยออกจากโถงกว้างในตำหนักไป
ไทเฮาทรงทอดพระเนตรหลานสาวที่พระองค์ทรงโปรดปรานด้วยแววพระเนตรไหวระริก
จ้าวลี่อินเอาแต่ยืนหลบหลังพี่สาวเป็นพัลวัน ด้วยกลัวจะถูกผู้เป็นย่าจับได้ จนสุดท้ายผู้เป็นพี่สาวทนไม่ไหวต้องเอ่ยบางอย่างขึ้นมา
“เสด็จพี่เหม่ยอิง อย่าตื่นกลัวไปเลยเพคะ เสด็จย่าทรงเมตตาพวกเรายิ่ง”
จากนั้นจึงแอบกระซิบเสียงแผ่วเบา “ลี่เอ๋อร์… ทำตัวให้เป็นธรรมชาติหน่อย ฝีมือการแสดงของเจ้าย่ำแย่มากรู้หรือไม่”
ผู้เป็นน้องเพียงพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะค่อยๆ เดินออกมาจากด้านหลังพี่สาว
“ฮุ่ยเจินพาเหม่ยอิงมาหาย่าใกล้ๆ เถอะ” สุรเสียงเมตตาของไทเฮา ทำให้จ้าวเหม่ยอิงรู้สึกประทับใจเสด็จย่าผู้นี้มากยิ่งขึ้น
‘ต่อไปฉันจะเอาใจใส่ท่านย่าให้มากๆ’ นางคิดพลางประคองผู้เป็นน้องสาวเข้าไปหาไทเฮา
สายพระเนตรที่ทอดมองหลานสาวอย่างละเอียดมีทั้งความชื่นชมและความเสียดาย
เด็กสาวสะคราญโฉมตรงหน้าแม้จะอยู่ในชุดกลางเก่ากลางใหม่ แต่กลับมิได้ลดทอนความงดงามของนางลงไปแม้แต่น้อย น่าเสียดายเหลือเกินที่นางกลับมีสติไม่สมประกอบ
หญิงชราผู้สูงศักดิ์ถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก อนิจจังเรื่องใดๆ ในชีวิตล้วนไม่เที่ยงแท้ แม้แต่สตรีงดงามเพียงนี้กลับยังคงมีจุดด่างพร้อย
และเมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรไปทางหลานสาวอีกคน จึงค่อยรู้สึกเบาพระทัยขึ้นมาได้บ้าง
‘ยังดีที่ฮุ่ยเจินเป็นเด็กรู้ความ มิได้ทอดทิ้งพี่สาวตนเอง แม้นางจะอ่อนแอไปบ้าง แต่ความจริงใจที่แสดงออกมาในวันนี้ ยังนับว่าสั่งสอนได้’
เพียงไม่นานถงหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิงเซิ่งอีก็เสด็จมาถึงตำหนักโซ่วอัน ใบหน้าของผู้เป็นพระมารดามีเพียงความเรียบเฉย แตกต่างจากพระธิดาที่ดูจะหงุดหงิดมากเป็นพิเศษ
“ถวายบังคมไทเฮา ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันๆ ปีเพคะ” สุรเสียงของสองแม่ลูกดังก้องไปทั่วทั้งโถงของตำหนักโซ่วอัน
ไทเฮาเพียงปรายพระเนตรมองคนทั้งสองบนพื้น แต่กลับมิได้ตรัสสิ่งใดออกมาเป็นนานสองนาน
สิ่งนี้ทำให้จ้าวเหม่ยอิงมองด้วยความสนอกสนใจ
‘นี่สินะที่เรียกว่าการใช้อำนาจกลั่นแกล้งภายในวังหลัง ให้คุกเข่าบนพื้นเย็นๆ มาตั้งสิบห้านาทีแล้ว สองแม่ลูกนี่จะต้องขาชาจนปวดไปหมดแล้วแน่ๆ’
ส่วนนางกับน้องสาวกลับนั่งอยู่บนแท่นสูงข้างกายไทเฮาอย่างสง่างาม
ในตอนแรกจ้าวเหม่ยอิงเพียงต้องการให้ไทเฮามาคานอำนาจกับถงหวงกุ้ยเฟยเท่านั้น เพื่อให้นางและน้องสาวสามารถรอดพ้นจากสถานการณ์คับขันไปได้
แต่มาบัดนี้ดูเหมือนจะดีกว่าที่นางคาดการณ์ไว้มากโขทีเดียว
“ได้ยินว่าเจ้าให้ฮุ่ยหมิ่นและฮุ่ยเจินย้ายไปตำหนักเก่าใกล้ตำหนักเย็นเช่นนั้นรึ” สุรเสียงทรงอำนาจแตกต่างจากยามปกติของไทเฮา ทำให้จ้าวเหม่ยอิงต้องพยักหน้าอย่างชอบใจ
‘หึ! ในเมื่อองค์หญิงหกมีแม่หนุนหลังได้ แล้วทำไมฉันจะมีย่าหนุนหลังบ้างไม่ได้! เหอะ! ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร! ถ้ายังจะกล้ามารังแกกันอีกล่ะก็ คอยดูเถอะว่าฉันจะเอาคืนยังไง!!’
ถงหวงกุ้ยเฟยเม้มริมฝีปากแน่น เพื่อข่มอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน ก่อนจะตรัสออกมาอย่างสงบนิ่ง
“ทูลไทเฮา ในใจหม่อมฉันมิได้ต้องการทำเช่นนั้นเลยเพคะ แต่เพราะองค์หญิงสามมีพระอาการคลุ้มคลั่งทำร้ายผู้คนจนบาดเจ็บสาหัส หม่อมฉันจึงมิมีทางเลือกเพคะ”
ท่าทางเจ็บปวดรวดร้าวเพราะถูกบีบคั้นให้ทำในสิ่งที่มิอยากกระทำของพระสนมถง ทำให้จ้าวเหม่ยอิงแทบอยากจะส่งชื่อนางไปเข้าชิงรางวัลสุพรรณหงส์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
“ลี่เอ๋อร์เจ้าดูไว้เป็นตัวอย่างนะ ต่อไปต้องทำให้ได้แบบนี้รู้หรือไม่” นางแอบหันไปกระซิบกระซาบเสียงเบากับผู้เป็นน้อง
ซึ่งเด็กสาวด้านข้างเองก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย นางตั้งใจดูสีหน้าท่าทางของพระสนมถงอย่างจริงจัง ทำให้ผู้เป็นพี่อดยกยิ้มขึ้นมาด้วยความพึงพอใจมิได้
ท่าทางของจ้าวเหม่ยอิงตกอยู่ในสายตาของจ้าวหลิงหลงตลอดเวลา นางอยากจะขึ้นไปข่วนหน้างามๆ ที่กำลังยิ้มเยาะตนกับพระมารดาอยู่บนแท่นสูงนั่นจนแทบทนไม่ไหว
‘ฮึ่ม~ อดทนไว้ พวกมันมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานหรอก!’