บทที่ 6 แสดงดีๆ หน่อย...พี่ใจจะวายแล้ว!
จ้าวเหม่ยอิงเดินเข้าไปในห้องบรรทมของผู้เป็นน้องอย่างเร่งรีบ
เมื่อเห็นพี่สาวกลับมาอย่างปลอดภัย จึงทำให้จ้าวลี่อินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“พี่เหม่ยเป็นอย่างไรบ้างเพคะ ได้พบเสด็จย่าหรือไม่”
หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ลี่เอ๋อร์พวกเรารีบไปตำหนักโซ่วอันกันเถอะ แล้วเจ้าจำเป็นต้องสลับตัวกับข้า”
เมื่อได้ยินดังนั้นจ้าวลี่อินถึงกับมีสีหน้าเคร่งเครียด “สลับตัวกันหรือเพคะ! หากว่าถูกจับได้ขึ้นมาจะมิกลายเป็นเรื่องใหญ่หรือเพคะ”
หญิงสาวถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ “เรื่องที่ข้าหายดีเสด็จย่ายังมิทรงทราบ เมื่อครู่หากข้าไม่แสดงออกไปอย่างใหญ่โต เสด็จย่าอาจยังลังเลที่จะช่วยเหลือพวกเราอยู่ เฮ้อ~ เพียงมองสีพระพักตร์ของพระองค์ ข้าก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเสด็จย่ามิทรงสนใจเรื่องราวในวังหลังแห่งนี้อีกแล้ว”
จ้าวลี่อินมองสำรวจไปทั่วร่างพี่สาว ก่อนจะตกใจกับรอยแดงปื้นใหญ่บนหน้าผากนาง
“สะ เสด็จพี่…” มือเล็กข้างหนึ่งยกขึ้นลูบหน้าผากหญิงสาวอย่างระวัง ส่วนอีกข้างยกขึ้นปิดปากตนเองด้วยแววตาไหวระริก
ท่าทางพร้อมร้องไห้ออกมาของผู้เป็นน้อง ทำให้ผู้เป็นพี่แทบอยากจะยกมือขึ้นกุมขมับ นางต้องรีบเอ่ยวาจาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของแม่มัจฉาจมวารีผู้นี้
“ข้าไม่เป็นไร พวกเรารีบไปหาเสด็จย่ากันเถอะ จำไว้ว่าเจ้าต้องแสดงเป็นคนปัญญาอ่อน หากไม่รู้ต้องทำอย่างไร เช่นนั้นแค่เพียงยกยิ้มให้ตลอด ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอันใด ที่เหลือข้าจะจัดการเอง”
เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ก่อนจะพาพี่สาวไปเปลี่ยนเป็นอาภรณ์ของตน
“ชิงถง เจ้าไปบอกเรื่องนี้ให้เซียงเซียงกับซินซินรู้เถอะ พวกนางจะได้เตรียมรับมือ” จ้าวเหม่ยอิงไม่ลืมที่จะเอ่ยสั่งอย่างรอบคอบ
“เพคะ” ชิงถงรับคำก่อนจะรีบออกจากห้องไปทันที
เมื่อทุกคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว จึงออกมาหาหลีมามาที่รออยู่ด้านนอกตำหนัก จ้าวเหม่ยอิงให้ผู้เป็นน้องสาวเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ของตนเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
นางกำนัลอาวุโสมององค์หญิงสามผู้ถูกเรียกว่าองค์หญิงปัญญาอ่อนอย่างพิจารณา
ท่าทางก้มหน้าก้มตาและดูขลาดกลัวเล็กน้อยขององค์หญิง ทำให้หลีมามาต้องถอนหายใจออกมาอย่างนึกเสียดาย
หากว่าองค์หญิงสามมิทรงพระสติฟั่นเฟือน เช่นนั้นทั้งองค์หญิงสามและองค์หญิงสี่จะต้องเป็นคู่หญิงงามที่ทั่วทั้งแผ่นดินมิมีผู้ใดเทียบเทียมเป็นแน่
คนทั้งหมดเดินออกจากตำหนักเก่าไปได้เพียงครึ่งทาง กลับพบเหล่าขันทีจำนวนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางพวกนางอย่างขึงขัง
และเมื่อเห็นองค์หญิงฝาแฝดทั้งสอง เหล่าขันทีจึงรีบตรงเข้ามาขวางพวกนางไว้ทันที
“ทูลองค์หญิงฮุ่ยเจิน พระสนมถงหวงกุ้ยเฟยทรงมีรับสั่งเรียกพบองค์หญิงฮุ่ยหมิ่นพะยะค่ะ” น้ำเสียงมึนตึง อย่างไร้ความเกรงกลัวและท่าทางถวายบังคมแบบส่งๆ ทำให้หลีมามาเริ่มมีสีหน้าขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด
“บังอาจ! เจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกันถึงกล้าทำกิริยาเช่นนี้ใส่พวกข้า” จ้าวเหม่ยอิงตวาดใส่ขันทีผู้นั้นอย่างกรุ่นโกรธ ทั้งแสดงท่าทีวางอำนาจออกมาอย่างเย่อหยิ่ง
หลีมามามีสีหน้าผ่อนคลายลง อย่างน้อยองค์หญิงสี่ยังทรงรู้ว่าควรวางพระองค์เช่นไรในสถานการณ์นี้
ผิดกับผู้เป็นน้องสาวที่มีสีหน้าหวาดหวั่น เพราะนางมิเคยแสดงท่าทางวางอำนาจเช่นนี้ต่อเหล่าข้ารับใช้มาก่อน จึงกลัวว่าความจะแตกเอาได้
ขันทีผู้นั้นถึงกับผงะถอยหลังไปเล็กน้อย กับเสียงตวาดขององค์หญิงที่ตนคิดว่าอย่างไรก็คงจะหมดอำนาจไปแล้วเป็นแน่
แต่เขาก็สามารถปรับอารมณ์ตนเองได้อย่างรวดเร็ว และยังคงแสดงท่าทีแข็งกร้าวออกมาเช่นเดิม
“กระหม่อมเป็นคนของพระสนมถงหวงกุ้ยเฟย พระสนมมีรับสั่งให้นำตัวองค์หญิงฮุ่ยหมิ่นไปรับโทษยังตำหนักเฉิงเฉียนพะยะค่ะ ขอองค์หญิงสี่อย่าได้ทรงขัดขวางเป็นอันขาด!”
ว่าแล้วเขาก็หันไปพยักหน้าให้กับเหล่าขันทีอีกสามคนที่ตามหลังมา
จ้าวเหม่ยอิงรีบขยับตัวเข้าปกป้องน้องสาวในทันใด ก่อนจะตวาดใส่ขันทีร่างบางเหล่านั้นอีกครั้ง
“บังอาจ! หากมันผู้ใดกล้าแตะต้องเสด็จพี่หญิงสาม ข้าจะสั่งโบยมันผู้นั้นให้ตาย!!”
ท่าทางดุร้ายทรงอำนาจขององค์หญิงสี่ ทำให้เหล่าขันทีมิกล้าเข้าไปจับตัวคน
จ้าวลี่อินที่เห็นท่าไม่ดีจึงคิดอยากจะช่วยพี่สาวเช่นกัน นางนึกถึงช่วงกลางวันที่ผู้เป็นพี่ใช้กระทะไล่ตีคนแล้ว จึงตั้งใจมองหาอาวุธให้ตนเองในทันที
‘ต้องแสดงให้เหมือนพี่เหม่ย!’
ด้วยเพราะบริเวณนี้เป็นพื้นที่รกร้าง จึงมีพวกเศษกิ่งไม้ท่อนไม้ที่หักโค่นลงมาอยู่มาก และมิได้มีผู้ใดมาทำการเก็บกวาด
สายตาเด็กสาวกวาดไปเจอไม้ท่อนหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นักอยู่ตรงข้างเท้าของหลีมามา
นางจึงทำท่าทางยิ้มร่า ก่อนจะกระโดดโลดเต้นไปข้างกายหลีมามา และก้มลงหยิบไม้ท่อนนั้นขึ้นมาจากนั้นลองจับด้วยสองมือไว้มั่น
‘ไม่หนักเท่าไหร่ เช่นนี้คงใช้ได้’
เมื่อเด็กสาวได้อาวุธที่เหมาะมือ จึงรีบวิ่งโร่เข้าไปตรงหน้าพี่สาวตนเอง และหวดไม้ไปทางขันทีเหล่านั้นอย่างสุดแรง
“ไปไป! เจ้าพวกยักษ์มุขี! ไปไป!”
“โอ๊ย!”
ท่อนไม้กระแทกถูกไหล่บอบบางของขันทีผู้นำหน้าสุดเข้าอย่างจัง ตัวคนถึงกับล้มลงนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นเพราะถูกตีอย่างกะทันหัน
การกระทำอันไม่คาดคิดของผู้เป็นน้อง ทำให้แม้แต่ผู้เป็นพี่ยังถึงกับผงะถอยหลัง
‘ละ ลี่เอ๋อร์! นี่ตั้งใจจะเลียนแบบฉันก็ให้มันเนียนๆ หน่อยได้มั้ย พี่หัวใจจะวาย!’
ท่อนไม้ในมือเด็กสาวยังคงหวดสะเปะสะปะไปทั่ว จนทำให้เหล่าขันทีอีกสามคนที่เหลือต้องรีบหลบซ้ายหลบขวากันอย่างจ้าละหวั่น
เมื่อไล่คนจนกระเจิดกระเจิงไปได้แล้ว จ้าวลี่อินจึงกลับมาจัดการกับขันทีปากดีที่ยังคงนั่งลูบสะโพกลูบไหล่ตนเองอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง
นางย่างสามขุมเข้าไปใกล้ก่อนจะก้มลงหวดท่อนไม้ลงไปบนร่างบอบบางของขันทีผู้เคราะห์ร้ายอีกหลายครั้ง
“โอ๊ย! โอ๊ย! อะ องค์หญิงสามหยุดเถิดพะยะค่ะ โอ๊ย!” ขันทีผู้นำที่เดิมเคยวางท่าอวดเบ่งใส่จ้าวเหม่ยอิง บัดนี้กลับนอนคุดคู้อยู่บนพื้นดินอย่างอเนจอนาถ
ส่วนจ้าวลี่อินยังคงหวดไม้ในมือต่อไปไม่ยั้ง ปากก็ร้องออกมาด้วยเสียงดังกังวานใสเช่นเดิม
“ตีให้ตาย! เจ้ายักษ์มุขี! ต้องตีให้ตาย!!”
หลีมามาที่เพิ่งจะตั้งสติได้ ค่อยๆ หันมาทูลถามองค์หญิงสี่ที่อยู่ไม่ไกลกันช้าๆ ด้วยสีหน้างุนงง
“องค์หญิงสี่เพคะ ยักษ์มุขีหน้าตาเป็นอย่างไรหรือเพคะ”
คนถูกถามได้แต่กุมขมับอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า
“เอ่อ… ข้าเองก็มิเคยเห็นเช่นกัน แต่คิดว่าคงจะน่าเกลียดน่ากลัวมากทีเดียวกระมัง”
‘ลี่เอ๋อร์ ช่วยแสดงดีๆ หน่อย พี่ใจจะวายแล้ว!!’