บทที่ 4 นางยักษ์ขมูขี…ต้องตีให้ตาย!!
เสียงฝีเท้าของคนหลายคนที่ได้ยินไกลๆ ทำให้จ้าวเหม่ยอิงต้องหันไปมอง
ภาพสตรีกลุ่มใหญ่กำลังย่างสามขุมตรงมาทางตำหนักเก่าโทรม ทำให้หญิงสาวอดถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายมิได้
‘ท่าทางโมโหจนไฟลุกท่วมแบบนั้น คงไม่ได้มาดีแน่ๆ’
นางสะกิดน้องสาวก่อนจะบุ้ยใบ้ไปทางผู้มาเยือนและเอ่ยถามเสียงเบา
“นั่นใครหรือ ท่าทางไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย”
จ้าวลี่อินมองตามสายตาพี่สาวไปก่อนจะขมวดคิ้วมุ้นอย่างเคร่งเครียด
“น้องหญิงหกเพคะ คนที่ผลักพระองค์ตกน้ำ”
ได้ยินดังนั้นจ้าวเหม่ยอิงเพียงพยักหน้ารับเบาๆ และเริ่มแสดงท่าทางเป็นคนปัญญาอ่อนขึ้นมาในทันที
นางเริ่มจากการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับทุกสิ่งรอบด้าน ส่วนสายตากลับสอดส่ายหาอาวุธที่ดูแล้วน่าจะเหมาะมือ
เครื่องครัวหลายชิ้นยังคงตั้งเรียงกันอยู่ตรงจุดที่ทำอาหาร นางทำท่าทางสนอกสนใจ ก่อนจะกระโดดโลดเต้นและหัวเราะอย่างเริงร่าไปยังสิ่งของเหล่านั้น
กระทะ ตะหลิว ทัพพี จวัก มีดทำครัว ถูกหญิงสาวหยิบขึ้นมาฟาดซ้ายฟาดขวากลางอากาศทีละชิ้น เพื่อทดสอบความถนัดมือ
ส่วนภาพที่ทุกคนเห็นมีเพียงเด็กสาวสะคราญโฉมนางหนึ่งหยิบของทำครัวทีละอย่างขึ้นมาเหวี่ยงเล่นและหัวเราะคนเดียวราวกับคนสติไม่ดี
เมื่อคนกลุ่มใหญ่มาถึงหน้าโต๊ะหินอ่อนเก่าโทรม ซึ่งจ้าวลี่อินนั่งอยู่อย่างสงบนิ่ง เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
องค์หญิงหกที่มีท่าทางกรุ่นโกรธชี้นิ้วสั่งข้ารับใช้ร่างใหญ่ให้จับตัวองค์หญิงปัญญาอ่อนมารับโทษตรงหน้านาง
“ไปจับตัวมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“หลิงหลงเจ้าคิดจะทำอะไร! นี่พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” จ้าวลี่อินลุกพรวดขึ้นยืนทันที ก่อนจะตะโกนออกไปด้วยความตกใจ
เหล่าข้ารับใช้ต่างมีท่าทางลังเล เพราะไม่ว่าอย่างไรทั้งสองก็มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง หากพวกนางล่วงเกินผู้ใดผู้หนึ่งไป อาจทำให้ชะตาขาดได้
แม้จ้าวลี่อินจะถูกส่งมาที่ตำหนักเก่า แต่ด้วยเพราะเป็นพระธิดาซึ่งประสูติจากฮองเฮา ทำให้เหล่าข้ารับใช้ยังคงเกรงกลัวนางอยู่ไม่น้อย
แต่กับจ้าวเหม่ยอิงนั้นกลับแตกต่างออกไป เพราะนางเป็นคนปัญญาอ่อน ไม่ว่าจะทำร้ายนางอย่างไร เจ้าตัวก็มิสามารถไปร้องทุกข์กับผู้ใดได้ จึงทำให้เหล่าข้ารับใช้มิได้เกรงกลัวแม้เพียงนิด
“เสด็จพี่หญิงสี่ เรื่องนี้มิเกี่ยวกับพระองค์ หม่อมฉันถูกเสด็จพี่หญิงสามทำลายข้าวของ ไม่ว่าอย่างไรจะต้องนำตัวไปรับโทษกับพระมารดาให้ได้!”
“แล้วที่เจ้าทำร้ายเสด็จพี่หญิงสามเล่า! เรื่องที่เจ้าผลักพระองค์ตกน้ำ ข้าก็จะเอาผิดเจ้าเช่นกัน!!”
ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทำให้เหล่าข้ารับใช้ต่างมิกล้าขยับตัว
จ้าวเหม่ยอิงที่เลือกอาวุธได้แล้ว ถือกระทะใบหนึ่งวิ่งโร่เข้ามาตรงคนกลุ่มใหญ่ นางไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ฟาดก้นกระทะใส่องค์หญิงเซิ่งอีเต็มแรง
เด็กสาวในชุดงดงามสูงศักดิ์ถูกก้นกระทะใบใหญ่กระแทกหน้าอกเข้าอย่างจังจนล้มกลิ้งไปด้านหลัง
ผู้คนทั้งหมดต่างตกตะลึงชะงักค้าง ก่อนที่เสียงโวยวายของสตรีผู้ถือกระทะจะดังขึ้น
“ตีให้ตาย! ต้องตีให้ตาย! เจ้านางยักษ์ขมูขี ต้องตีให้ตาย!!”
เอ่ยจบจ้าวเหม่ยอิงยกกระทะตรงเข้าไปฟาดใส่องค์หญิงหกอีกครั้งราวกับคนคลุ้มคลั่ง
“กรี๊ด! ช่วยด้วย! โอ๊ย! โอ๊ย! ข้าเจ็บนะ! เจ้าพวกขี้ข้ามาเอานังบ้านี่ออกไปที!!”
“ตีให้ตาย! นางยักษ์ขมูขี! ต้องตีให้ตาย! ต้องตีให้ตาย!”
เสียงร้องโหยหวนขององค์หญิงผู้สูงศักดิ์ดังสลับกับเสียงตะโกนของผู้ประทุษร้าย
เหล่าข้ารับใช้ที่เพิ่งได้สติรีบเข้าไปช่วยเหลือผู้เป็นนายอย่างร้อนรน แต่เมื่อตั้งใจจะจับตัวองค์หญิงปัญญาอ่อน นางกลับกระโดดหลบไปอีกด้านและลงมือทุบตีข้ารับใช้ที่เข้ามาจับตนด้วยเช่นกัน
“โอ๊ย! โอ๊ย! หม่อมฉันเจ็บเพคะ โอ๊ย! องค์หญิงหยุดตีก่อนเพคะ!”
“ตีให้ตาย! เจ้าพวกยักษ์ขมูขี! ข้าจะตีพวกเจ้าให้ตาย!”
จากเหล่าข้ารับใช้ที่ต้องการเข้าไปจับตัวคน กลับกลายเป็นต้องวิ่งหนีแตกฮือกันอย่างจ้าละหวั่น
เหล่านางในทั้งหลายเคยพบเจอผู้สูงศักดิ์กระทำการรุนแรงเช่นนี้เสียที่ใด พวกนางต่างวิ่งแตกกระเจิงกันไปคนละทิศละทางด้วยความหวาดกลัว
และทิ้งให้เจ้านายในอาภรณ์หรูต้องพบเจอชะตากรรมอันโหดร้ายแต่เพียงลำพัง
เมื่อไม่มีพรรคพวก และศัตรูกำลังถืออาวุธย่างสามขุมเข้ามาใกล้ องค์หญิงเซิ่งอีทรงตกพระทัยกลัวจนกันแสงโฮออกมาเสียงดังลั่น
ทำให้ผู้เป็นพี่สาวต่างมารดาอย่างจ้าวลี่อินกลั้นขำไม่ไหวอีกต่อไป นางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนท้องคัดท้องแข็ง ไม่คิดว่าผู้เป็นพี่สาวฝาแฝดจะร้ายกาจได้ถึงเพียงนี่
เสียงร้องไห้โหยหวนและเสียงหัวเราะกังวานใสดังสอดประสานกันไปทั่วทั้งบริเวณ จนผู้คนที่ได้ยินต่างขนลุกซู่ไปตามๆ กัน
“นางยักษ์ร้องแล้ว! นางยักษ์ร้องแล้ว! หน้าตาน่าเกลียด! หน้าตาน่าเกลียด! ไปไป! ไปไป!”
จ้าวเหม่ยอิงถือกระทะชี้หน้าคนบนพื้นพลางตะโกนออกมาราวกับเป็นผู้ชนะ และส่งเสียงขับไล่พร้อมทั้งทำท่าจะฟาดกระทะลงไปบนตัวคนอีกครั้ง
องค์หญิงหก จ้าวหลิงหลง รีบคลานหนีหัวซุกหัวซุน ทั้งยังไม่ลืมตวาดคาดโทษปนเสียงสะอื้นใส่ศัตรูร้ายกาจนางนั้น
“ฮือๆ ข้าจะฟ้องพระมารดา… ฮือๆ เจ้าต้องไม่ตายดีแน่! ฮือๆ”
จ้าวเหม่ยอิงฟาดกระทะใส่หลังคนไปอีกหนึ่งครั้งอย่างหมั่นไส้ แพ้แล้วยังไม่รู้จักแพ้ สมควรตีให้ตายจริงๆ!
นางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงเซิ่งอีรีบเข้ามาพยุงเจ้านายตนเองด้วยอาการสั่นเทา เพราะหวาดกลัวไปเสียหมด
เมื่อครู่แม้อยากจะเข้าไปช่วยเหลือผู้เป็นนาย แต่นางกลับกลัวจะถูกลูกหลง จึงทำได้เพียงยืนหลบอยู่ด้านหลังนางกำนัลร่างใหญ่เท่านั้น
แต่หลังจากที่หลบภัยแตกฮือหนีกระเจิงกันไปหมดแล้ว ทำให้นางต้องรวบรวมความกล้าเข้ามาช่วยเหลือเจ้านายเสียเอง
หนึ่งเจ้านายหนึ่งข้ารับใช้ต่างพยุงซึ่งกันและกันหนีเตลิดไปอย่างทุลักทุเล
“นี่เรียกว่า มาอย่างเสือไปอย่างสุนัข! หากกล้าทำร้ายคนก็ต้องเตรียมใจถูกคนทำร้ายคืนด้วย จำเอาไว้!!”
จ้าวเหม่ยอิงยืนกอดอกยิ้มร่าอย่างพึงพอใจในผลงานของตน ส่วนผู้เป็นน้องสาวหลังจากได้หัวเราะออกมาจนพอใจแล้ว จึงเพิ่งนึกกังวลถึงผลที่จะตามมาในภายหลังขึ้นได้
สีหน้าของเด็กสาวเริ่มสลดลงอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยเตือนผู้เป็นพี่อย่างกังวล “พี่เหม่ยเพคะ หากเรื่องนี่รู้ไปถึงถงหวงกุ้ยเฟย เช่นนั้นคงมิจบง่ายๆ เป็นแน่เพคะ”
“ข้ารู้ เพราะฉะนั้นพวกเราจึงต้องรีบไปหาคนช่วยเหลืออย่างไรเล่า!”