บทที่ 3 ตัวประกอบครึ่งบรรทัด
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นได้ อย่างการทะลุมิติเองก็เช่นเดียวกัน หากไม่เจอกับตัวคงไม่กล้ามั่นใจถึงเพียงนี้
หลี่เหมยลี่ ได้กลายเป็นพี่สาวนางเอก ตัวประกอบที่โผล่มาเพียงแค่ครึ่งบรรทัดและไม่มีแม้กระทั่งชื่อในนิยาย!
เช่นนี้นางควรจะดีใจหรือน้อยใจดีเล่า
‘คนเขียนน่าจะปูรายละเอียดฝั่งบ้านนางเอกให้อ่านสักหน่อยก็ยังดี ฉันจะได้คลำทางถูก นี่กลายเป็นว่ามีแต่ข้อมูลฝั่งแคว้นเว่ยเต็มไปหมด แต่ดันไม่มีข้อมูลฝั่งบ้านตัวเอง เฮ้อ~ ยังดีนะที่เพิ่มสกิลพิเศษมาให้ ไม่งั้นฉันจะสาปแช่งคนเขียนซะเลย!’
ท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านใจของผู้เป็นพี่สาว ทำให้จ้าวลี่อินต้องเอ่ยปลอบนางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอีกครั้ง
“พี่เหม่ยอย่าทรงกังวลเลยเพคะ พระองค์มีหม่อมฉันอยู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หม่อมฉันจะปกป้องพระองค์เองเพคะ”
หลี่เหมยลี่ หรือบัดนี้คือ องค์หญิงฮุ่ยหมิ่น จ้าวเหม่ยอิงได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก
‘เอาเถอะ ตอนนี้คงทำได้แค่เดินทีละก้าว แล้วค่อยว่ากันไปตามแต่ละก้าวแล้วกัน
บางที… การเป็นแค่ตัวประกอบครึ่งบรรทัดแบบนี้ อาจจะดีกว่าการเป็นตัวเอกที่ต้องไปล้มลุกคลุกคลานในเนื้อเรื่องก็ได้!’
แต่จากสถานการณ์ที่พบเจอในภายหลังนั้น กลับทำให้หญิงสาวต้องยอมรับอย่างกล้ำกลืนฝืนทนว่านางคิดง่ายเกินไป!
“สาบานเถอะว่านี่คือสำรับจากห้องเครื่องหลวง!?” จ้าวเหม่ยอิงอดที่จะโอดครวญออกมามิได้
อาหารจานผักเย็นชืดสามจาน กับน้ำแกงที่หากมองเพียงผ่านๆ แทบไม่ต่างจากน้ำเปล่าเสียด้วยซ้ำ แล้วยังมีข้าวแข็งๆ ที่เกาะกันเป็นก้อนนั่นอีก
“องค์หญิงเพคะ หม่อมฉันจะไปนำเครื่องเสวยใหม่มาถวายนะเพคะ” เซียงเซียง หนึ่งในนางกำนัลคนสนิทเอ่ยขึ้นอย่างพยายามข่มกลั้นอารมณ์สะเทือนใจ
ทั้งที่ผู้เป็นนายเพิ่งหายจากพระอาการประชวรแท้ๆ แต่กลับต้องมาถูกเหล่าข้ารับใช้ชั้นต่ำคอยกลั่นแกล้งเช่นนี้
จ้าวเหม่ยอิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกลับส่ายศีรษะไปมาก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ต้องไปนำสำรับใหม่มา ไปหาของเหล่านี้มาให้ข้าดีกว่า”
ในโลกก่อนงานอดิเรกของนางนั้นมีมากมาย สมัยเรียนยังเป็นเด็กกิจกรรม ทำให้นางพอจะมีความสามารถหลายๆ อย่างติดตัวมาบ้าง
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือการทำอาหาร!
หญิงสาวเอ่ยสิ่งที่ต้องการออกมา ก่อนจะให้นางกำนัลคนสนิททั้งสองไปรวบรวมเท่าที่จะหาได้มาให้
ทั้งเซียงเซียง และซินซินต่างรีบออกไปจัดการตามหาของให้ผู้เป็นนายทันที
เพียงไม่นานลานรกร้างหน้าตำหนักเก่าโทรม กลับมีกองไฟขนาดย่อมสามกองถูกก่อขึ้น และทั้งหม้อ กระทะ ตะหลิว รวมถึงข้าวของเครื่องครัวต่างๆ ถูกวางเรียงให้หยิบจับใช้งานได้ง่ายและเป็นระเบียบ
หนึ่งองค์หญิงกับสองนางกำนัลต่างทำอาหารด้วยกันอย่างขะมักเขม้น
ท่าทางคล่องแคล่วและฝีมือใช้มีดอันเชี่ยวชาญของจ้าวเหม่ยอิง ทำให้ข้ารับใช้ทั้งสองต่างจ้องมองด้วยความตกตะลึง
กลิ่นหอมของผัดเห็ดสามสหาย และไข่พะโล้ ลอยฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ ข้าวสวยที่หุงจนสุกขึ้นหม้อถูกตักใส่ถ้วยสำรับทั้งหมดหกที่
“พี่เหม่ยกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือเพคะ” เสียงกังวานใสของน้องสาวดังขึ้นจากหน้าตำหนัก
“ลี่เอ๋อร์รีบมาเร็วเข้า อาหารเพิ่งเสร็จพอดี พวกเรามาทานด้วยกันเถอะ” หญิงสาวตะโกนเรียกคนเสียงดังอย่างเริงร่า
ท่าทางสนุกสนานและมีความสุขของผู้เป็นพี่ ทำให้จ้าวลี่อินถึงกับน้ำตาเอ่อคลอด้วยความปีติยินดี
ต่อจากนี้ไปนางจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายพี่สาวตนเองได้อีก เสด็จพี่ของนางจะต้องได้ใช้ชีวิตสงบสุขและร่าเริงเช่นนี้ตลอดไป!
สองพี่น้องนั่งรับประทานอาหารร่วมกันอย่างมีความสุข ส่วนเหล่านางกำนัลทั้งสี่ต่างยกสำรับของตนไปล้อมวงรับประทานด้วยกันอีกด้านตามคำสั่งของเจ้านายทั้งสอง
จ้าวลี่อินมิได้พบเจอความผ่อนคลายและความสงบสุขเช่นนี้มาพักใหญ่แล้ว ตั้งแต่จี้ฮองเฮาล้มป่วย และถงหวงกุ้ยเฟยกลายเป็นผู้ดูแลวังหลัง
นางบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่สมัยเด็กที่ทั้งสองชอบวิ่งเล่นด้วยกัน และมีพี่ชายคอยวิ่งตามด้วยความเป็นห่วงพวกนาง
รวมถึงสาเหตุที่ทำให้จ้าวเหม่ยอิงกลายเป็นองค์หญิงปัญญาอ่อน
ในตอนที่ทั้งสองอายุได้เจ็ดขวบ ต้นไม้ใหญ่ในอุทยานหลวงเกิดหักโค่นล้มใส่เด็กทั้งคู่ ผู้เป็นพี่ผลักน้องสาวออก ก่อนจะถูกไม้ใหญ่ล้มทับใส่ทั้งตัว
เหล่าข้ารับใช้ต่างคิดว่าองค์หญิงฮุ่ยหมิ่นต้องสิ้นพระชนม์แน่แล้ว แต่พระองค์กลับเพียงแค่สลบไสลไปสามวันสามคืนเท่านั้น จี้ฮองเฮาถึงกับกินเจสวดมนต์เพื่อขอบคุณเหล่าเทวดาฟ้าดินเป็นการใหญ่
แต่เมื่อองค์หญิงฮุ่ยหมิ่นฟื้นขึ้นมา กลับมีพระอาการฟั่นเฟือน แม้แต่หมอหลวงยังมิสามารถรักษาให้หายได้ คงทำได้เพียงใช้ยาลูกกลอนสยบอารมณ์ เพื่อประคับประคองพระอาการไปเรื่อยๆ เท่านั้น
เมื่อได้รับฟังเรื่องราวต่างๆ ทำให้หญิงสาวพอจะสรุปได้ว่า หากต้องการจะหลุดพ้นจากความลำบากที่พบเจออยู่ในขณะนี้ ขั้นแรกต้องทำให้จี้ฮองเฮาฟื้นขึ้นมาเสียก่อน
นางจึงลองสอบถามอาการเบื้องต้นดู แต่น้องสาวกลับตอบอะไรได้ไม่มากนัก เพราะตั้งแต่เสด็จแม่ล้มป่วยพวกนางสองคนก็ถูกส่งตัวมาที่นี่แทบจะในทันที
และถูกขัดขวางมิให้เข้าไปใกล้เขตพระตำหนักคุนหนิง หรือแม้แต่หมู่เขตพระตำหนักตะวันออกและตะวันตก
เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว จ้าวเหม่ยอิงตัดสินใจว่าจะต้องหาทางลอบเข้าไปตรวจดูพระอาการของจี้ฮองเฮาให้จงได้
“ลี่เอ๋อร์เรื่องที่ข้าหายดีแล้วห้ามเอ่ยกับผู้ใดเป็นอันขาด เจ้าเตือนชิงถงกับชิงฮวาเรื่องนี้ด้วย” หญิงสาวเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เพคะพี่เหม่ย หม่อมฉันเองก็คิดเช่นนั้น”
บัดนี้พวกนางกำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ขนาดเป็นองค์หญิงปัญญาอ่อนยังมีคนคิดจะกำจัด
หากให้ผู้อื่นรู้ว่านางหายดีแล้ว เช่นนั้นจะยิ่งเพิ่มอันตรายให้กับคนทั้งสองมากขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงต้องปิดเป็นความลับไปก่อน
‘ดูเหมือนฉันจะต้องรีบอัพสกิลวรยุทธ์ซะแล้ว ไม่งั้นตอนถูกรังแกแล้วไม่ได้เอาคืนคงเจ็บใจแย่!’
เพิ่งจะคิดเรื่องถูกกลั่นแกล้งได้ไม่นาน จู่ๆ กลับมีนางกำนัลร่างใหญ่สี่คน และนางกำนัลร่างเล็กอีกหนึ่งคน ติดตามสตรีอาภรณ์หรูหราผู้หนึ่งตรงมายังตำหนักเก่าของสองพี่น้อง
ภาพความสงบสุขปรองดองของพี่สาวต่างมารดาทั้งสอง ทำให้องค์หญิงเซิ่งอี จ้าวหลิงหลง พระธิดาองค์ที่หกในเจ๋อหยวนฮ่องเต้กับพระสนมถงหวงกุ้ยเฟยมิพอพระทัยเป็นอันมาก
นางตั้งใจมาที่นี่เพื่อสมน้ำหน้าเสด็จพี่หญิงสี่ที่ต้องสูญเสียพี่สาวแท้ๆ ไป แต่กลายเป็นว่าคนที่ควรจะตายไปแล้วกลับยังมีชีวิตอยู่!
‘หึ! ชะตาแข็งนักนะ คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการกับพวกเจ้าอย่างไร!!’