EP 1 [1-1]
ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...
“ไอแกรม! ตื่นนนน”
ฉันยืนเคาะประตูอยู่หน้าห้องเพื่อนสนิทจำเป็น ทำไมถึงจำเป็นน่ะเหรอ เพราะว่าฉันไม่เคยอยากจะสนิทกับมันเลยจริงๆ น่ะสิ
แล้วนี่ดูสิมันนัดฉันไว้เก้าโมงตอนนี้เก้าโมงสิบห้าแล้วมันก็ยังไม่ตื่น
ติ๊ด!
สุดท้ายฉันก็เลือกที่จะหยิบคีย์การ์ดสำรองในกระเป๋าเพื่อที่จะเปิดประตูเข้าไป คีย์การ์ดสำรองอันนี้มันทำไว้ให้ฉันเพื่อใช้มาปลุกมันโดยเฉพาะ
“ไอเชี่ยแกรม!”
ทันทีที่ฉันเปิดประตูห้องนอนเข้าไปก็เจอร่างหนาที่ใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวนอนคว่ำหลับสนิทยิ่งกว่าซ้อมตาย
ปั่ก!
“ตื่น! เดี๋ยว! นี้!”
“อ๊ะ! ไอทรายกูจะนอน”
เจ้าตัวสะดุ้งขึ้นทันทีที่ฉันใช้หมอนข้างตีเข้าที่หลังของเขา แต่เขาก็แค่ตื่นมามองหน้าฉันก่อนจะบ่นงุบงิบแล้วหลับลงเหมือนเดิม
“ถ้ามึงไม่ตื่น กูไปนะ”
“ห้านาทีๆ”
“ไม่รอโว้ยยย!”
“โอ้ยยย! หูกูดับแล้วมั่งเนี้ย” แกรมพูดพร้อมกับลุกขึ้นนั่งพลางใช้นิ้วมือเขี่ยหูไปมาในข้างที่ฉันเพิ่งตะโกนใส่เขาไป หลังจากนั้นเขาก็ลงจากเตียงนอนเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ
ฉันกับแกรมเราอยู่คอนโดที่เดียวกันแต่คนละตึก ซึ่งแน่นอนว่าห้องของฉันเล็กกว่าของแกรมเป็นเท่าตัว
ห้องพักของฉันเป็นห้องสตูดิโอขนาดสี่สิบตารางเมตร ถัดจากโถงหน้าประตูเป็นพื้นที่ส่วนครัวและมีห้องนอนที่ใช้เป็นห้องนั่งเล่นไปด้วยอยู่ลึกเข้าไป รวมทั้งมีห้องน้ำเล็กๆ พอเหมาะในตัว
แต่ห้องนอนของแกรมเป็นห้องแบบ One Bedroomหรือคอนโดแบบหนึ่งห้องนอนขนาดแปดสิบตารางเมตร เปิดประตูห้องเข้ามาก็จะเจอกับห้องนั่งเล่นสีโมโนโทนกลางห้องมีโต๊ะใสกับโซฟา โดยฝั่งตรงข้ามเป็นโทรทัศน์จอแบน ถัดจากห้องนั่งเล่นจะเป็นบริเวณทำครัวซึ่งมีประตูบานเลื่อนกั้นแบ่งโซนไว้ ส่วนห้องนอนแยกออกมาทางด้านซ้ายมือ สิ่งเดียวที่เป็นจุดเด่นของห้องคอนโดสูงลิบนี้คือทิวทัศน์ยามราตรีของแสงไฟระยิบระยับที่มองจากหน้าต่างห้องนั่งเล่น
ฉันเลือกมาอยู่ที่คอนโดนี้เพราะมันอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย แถมคอนโดนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งร้านซักผ้า ร้านอาหาร ร้านทำเล็บ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องโยคะและที่สำคัญที่สุดคือระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ดีเยี่ยมมากๆ
ฉันย้ายเข้ามาเช่าที่คอนโดนี้ตอนปีสองแล้วล่ะ แรกๆ แม่ก็ไม่ยอมหรอกแต่จะให้ฉันขับรถไปกลับจากบ้านฉันที่ปริมณฑลเข้ามาในมหาวิทยาลัยทุกวันก็คงไม่ไหว แม่ก็เลยจำใจให้ฉันมาเช่าคอนโดแทน
“เสร็จล่ะ”
“อาบน้ำหรือวิ่งผ่านน้ำวะ”
“กูคนสะอาด ไม่ต้องอาบเยอะ”
“แหวะ”
หลังจากนั้นเราก็ลงไปชั้นล่างสุดของคอนโด ซึ่งเป็นที่จอดของรถเฟอร์รารี เอสเอฟเก้าสิบ สไปเดอร์สีเหลือง บอกตามตรงครั้งแรกที่เห็นฉันแทบไม่กล้าเข้าไปนั่งในรถคันนี้เลยด้วยซ้ำ แถมยังคิดว่าบ้านแกรมมันต้องทำธุรกิจผิดกฎหมายอะไรแน่ๆ มันถึงได้รวยขนาดนี้
“มึงจะแวะกินอะไรก่อนป่ะ”
“ไปกินที่มอเหอะ ไอโพดโทรตามหยิกๆ แล้วเนี้ย”
“มันจะรีบไปไหนวะ ก็แค่เปิดเทอมปีสี่วันแรก”
“เพราะวันแรกไงกูเลยไม่อยากไปสาย”
“มึงก็ไปมาสามปีแล้วไม่เบื่อบ้างหรือไง”
“มึงเบื่อมากก็ไปลาออกสิ”
ฉันพูดพร้อมกับหันหน้าออกไปมองวิวนอกหน้าต่างแทน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกันมาได้ยังไงตั้งเกือบสี่ปี ทั้งๆ ที่เราแทบจะไม่เคยพูดดีๆ กันได้เกินห้านาทีเลย
มหาวิทยาลัย
“กว่าจะมานะพวกมึง” โบ้ทเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นว่าเราสองคนเดินเข้าไปที่โต๊ะนั่งประจำกลุ่มใต้ต้นมะขาม
“ให้กูทายมั้ยว่าทำไม” ตามมาด้วยรามที่พูดพร้อมยักคิ้วให้แกรม
“ไม่ต้องทายอะไรทั้งนั้นแหละ กูเพิ่งตื่นโอเคไหม”
คราวนี้เป็นแกรมที่ตอบกลับไป ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างๆ ราม ส่วนฉันก็เดินไปนั่งข้างข้าวโพดและพิเพอร์
“โพด! ผอมลงเหรอวะ” ฉันเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเธอดูเรียวเล็กลงแถมยังดูมีเอวขึ้นด้วย
“เฮ้ย! ทรายดูออกด้วยอ่า นี่เราน้ำหนักลงตั้งห้ากิโล” ข้าวโพดตอบกลับมาพร้อมกับลุกขึ้นหมุนให้เพื่อนๆ ในกลุ่มดู
“อื้อหื้อ หมุนเป็นซินเดอเรลล่าเลยนะไอต้าวอ้วน”
“ไอ้โบ้ทปากเสีย!” พิเพอร์พูดพร้อมกับใช้ม้วนกระดาษในมือยกขึ้นตีหัวโบ้ทเต็มๆ
“ไม่เป็นไร เขาบอกว่าผู้ชายด่าแปลว่าผู้ชายรัก”
“หา! มึงไปเอาความเชื่อผิดๆ แบบนี้มาจากไหน”
“ไอ้โบ้ท” ข้าวโพดพูดพร้อมกับวิ่งเข้าไปตีโบ้ทแต่โบ้ทกลับเลือกที่จะดึงรามออกมาบังตัวเข้าเอาไว้แทน
“พอแล้ว พวกมึงนี่ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ เลย”
“ชิ!” ข้าวโพดทำท่าสะบัดบ๊อบใส่รามก่อนจะเดินกลับมานั่งที่ของตัวเอง
“นี่เขาจะเริ่มกิจกรรมรับน้องกี่โมงวะ” แกรมพูดโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองใคร สายตาของเขายังคงจดจ่ออยู่กับเกมในโทรศัพท์
“น่าจะรวมตัวกันแล้วมั่ง มึงจะไปเลือกดาวเดือนคณะใช่ป่ะ”
พิเพอร์ชะเง้อหน้าไปมองทางลานกิจกรรมของคณะก่อนจะตอบกลับมา
“เปล่า กูหิว!” แกรมตอบก่อนจะเก็บโทรศัพท์ของเขาลงในกระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นมาจับแขนฉัน
“ไปกินข้าว”
“อะไรวะ ชวนไอทรายคนเดียว”
“พวกมึงกินแล้วไม่ใช่หรือไง”
ทุกคนเลือกที่จะพยักหน้าตอบก่อนจะก้มลงเล่นโทรศัพท์ของตัวเองกันหมด
“ลุกสิ! กูหิวข้าว”
“เออๆ”
ฉันลุกขึ้นเดินตามแกรมเข้าไปที่โรงอาหารของคณะที่ตอนนี้ไม่ได้มีนักศึกษามากนักเพราะน่าจะเข้าคาบเรียนแล้ว ส่วนนักศึกษาปีสี่อย่างฉันวันนี้ไม่มีเรียนเราแค่ต้องมาเข้าร่วมกิจกรรมนิดหน่อย
“เอาไร” แกรมถามขึ้นในขณะที่เราสองคนกำลังมองร้านอาหารสลับไปมาเพราะไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี
“เอาข้าวไก่...”
“ไก่เทอริยากิ ข้าวน้อย ไม่ผัก”
ฉันพูดยังไม่ทันจบประโยคแกรมก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“แสนรู้มากเพื่อน เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำให้” ฉันตบไหล่แกรมเบาๆ ก่อนจะเดินแยกออกมาที่ร้านขายน้ำ
“ว่าไงน้องทราย ปิดเทอมเป็นไงบ้าง”
พี่ตุ้มเจ้าของร้านขายน้ำถามขึ้น เราสนิทกันเพราะว่าฉันมาซื้อน้ำที่ร้านของแกทุกครั้งที่เข้ามากินข้าวในโรงอาหารตั้งแต่ปีหนึ่ง
“ปิดเทอมนี้ไม่ได้ไปไหนเลยพี่ แม่ให้ช่วยเก็บค่าเช่าที่แผงทุกวัน”
แม่ฉันเป็นเจ้าของตลาด เปิดให้เช่าแผงในตลาดแล้วก็ยังมีพวกบ้านเช่า อาคารพาณิชย์ปล่อยเช่าก็มี
“ดีแล้ว เดี๋ยวเรียนจบไปก็เป็นของเรา”
“ไม่รู้แม่จะยกให้หนูหรือเปล่า ขู่จะตัดหนูออกจากกองมรดกทุกวัน นี่สามสิบบาทค่ะ” ฉันพูดพร้อมกับยื่นเงินสามสิบบาทให้พี่ตุ้ม
“ฮ่าๆ ขอบใจจ๊ะ”
เดินกลับมาที่โต๊ะก็เจอแกรมนั่งรออยู่แล้ว
“เม้ากับพี่ตุ้มอยู่อ่าดิ”
“เออ นิดนึงพี่ตุ้มเจอหน้ากูก็ชวนคุยตลอด”
แกรมไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่พยักหน้าตอบรับก่อนจะก้มลงกินข้าวในจานของตัวเอง
“แล้วนี่มึงคิดยังว่าปีนี้มึงจะฝึกงานที่ไหน”
ฉันเงยหน้าขึ้นมามองหน้าแกรมที่พูดถึงเรื่องที่ฝึกงานขึ้นมา
“เออวะ กูยังไม่ได้คิดเอาไว้เลย”
“บริษัทพี่กูไหมล่ะ”