3.ภาคอดีตรักตราตรึง 3
อิ้งเยว่ใช้ร่างแมวแอบเข้ามาในคุกที่หมอหนุ่มถูกคุมขังไว้ นางกวาดสายตาสำรวจพื้นที่โดยรอบ จึงเห็นว่านอกจากถงฉีแล้วยังมีหมอตำแยหญิง และหมอชายอีกหลายคนถูกขังอยู่ในห้องต่างๆ แยกกันไป และมีอีกหลายชีวิตที่ถูกทรมานอยู่ในคุกมืด
สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นคำสั่งของมือปราบอเวจี เพราะฝ่ายนั้นอยากกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในการรักษาผู้คน และเรื่องนี้ใหญ่โตเกินกว่านางจะรับมือได้เพียงผู้เดียว
นางแมวเดินสำรวจไปเรื่อยๆ กระทั่งพบถงฉีอยู่ในห้องขังสุดท้าย
ดวงตาที่มีแสงเรื่อเรืองมองเขาอยู่นอกกรงขัง เห็นว่าอีกฝ่ายนั่งนิ่งๆ แต่ก็เหมือนคนใกล้หมดแรง เขาได้รับบาดเจ็บที่หน้าผาก และมือข้างหนึ่งถูกตีจนบวม
นางแมวนั่งอยู่ด้านหน้ากรงขัง คอยสังเกตการณ์เงียบๆ กระทั่งมีคนเอาอาหารมาวางให้แก่หมอหนุ่ม มันเป็นเพียงโจ๊กเหลวๆ กับหมั่นโถวเย็นชืดหนึ่งลูก
“อย่างน้อยอยู่ในนี้ท่านก็ไม่อดตาย” นางเอ่ยขึ้นลอยๆ และเป็นตอนนั้นที่ดวงตาสานสบกับเขาเข้าพอดี
“หิวหรือเปล่า”
คำถามนั้นดังขึ้น พร้อมการกวักมือเรียกนางให้เข้าไปหา
“เอาตัวเองให้รอดเสียก่อนเถอะ ท่านหมอ!” นางเอ่ยออกไป แต่เขาย่อมไม่เข้าใจ ด้วยได้ยินเพียงเสียงร้องเหมียวๆ
ชายหนุ่มจัดแจงอาหารตรงหน้า ซึ่งไม่ใช่เพื่อกินเอง แต่แบ่งให้นางแมวน้อย
“ไม่ต้องมาหวังดี ข้าจับจิ้งจกหรืองูกินยังน่าอร่อยกว่าอาหารของท่านตั้งเยอะ ถึงพวกมันจะเป็นสัตว์เลือดเย็นแต่รสชาตินับว่าไม่เลว”
นางว่าไปอย่างนั้น แต่กลับก้าวเข้าไปอยู่ใกล้ๆ ถงฉี พอเขายื่นมือข้างที่ไม่เจ็บมาลูบหัวนางก็ใจอ่อน ซึ่งกว่าจะรู้ตัวนางก็นอนกลิ้งไปมาอยู่บนตักของเขาเสียแล้ว
“เจ้าเป็นนางแมวพเนจรหรอกหรือ”
นางมองหน้าหมอหนุ่ม ยิ่งมองยิ่งเห็นว่าเขาช่างเป็นชายจิตใจดีและหล่อเหลา ดังนั้นนางจึงตัดสินใจอยู่เล่นกับเขาหลายวัน จนล่วงรู้ว่าถงฉีเป็นเด็กชายที่ถูกมารดานำมาทิ้งไว้ที่ศาลเจ้าแห่งโชคชะตา และวางเขาไว้ที่ใต้ฐานวิหคดารา ซึ่งคนที่พบเขาก็คือฮูหยินผู้เฒ่าไป๋
จากนั้นเขาจึงได้รับการดูแลอย่างดี ด้วยความเป็นคนหัวไว ถงฉีจึงศึกษาทั้งสมุนไพรและตำราจนแตกฉาน เขาเป็นเด็กเฉลียวฉลาดเกินหน้าบุตรชายของท่านเจ้าบ้านไป๋ กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าไป๋สิ้นชีพ เขาถูกลอบทำร้ายจนขาหักเกือบต้องตัดทิ้ง แล้วขับให้ออกจากสำนัก
กระนั้นด้วยพอมีความรู้ติดตัว เขาจึงเขียนตำราขาย และตั้งโต๊ะรักษาคนทั่วไปเพื่อหารายได้พอให้ตนเองอยู่รอดไปวันๆ
หลายคืนที่ผ่านมาอิ้งเยว่นอนเล่นอยู่ไม่ห่างจากเขา คอยฟังเรื่องเล่าต่างๆ ที่ถงฉีสรรหามาพูดคุยพร้อมคอยเกาพุง และเล่นเย้าหยอกกับนางราวกับเป็นคนรัก!
กระทั่งคืนที่ห้าของการถูกกักขัง ก็เกิดเหตุร้ายเมื่อกลุ่มมือปราบอเวจีต้องการกำจัดทุกคนที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับสมุนไพร และผู้ที่ศึกษาตำราแพทย์
กลางดึกคืนนั้นมีข่าวว่าสำนักหมอยาหลายแห่ง รวมถึงร้านขายยาถูกเผาจนเสียหายไปตามๆ กัน หมอหนุ่มผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ได้ยินเสียงร้องโวยวายดังไปทั่ว เขาตกใจมากพลางร้องถามคนอื่นว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
นางแมวขนปุยที่นอนคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ ดีดตัวลุกขึ้นแล้วออกไปดูสถานการณ์ด้านนอก จึงเห็นว่าทั้งเมืองกำลังลุกเป็นไฟ ส่วนในคุกที่มีทั้งหมอยาและหมอตำแย ทุกคนต่างดิ้นทุรนทุรายด้วยยาพิษที่ผสมมาในอาหาร
“หนี! พวกมือปราบอเวจีกำลังมา” นางแมวต้องจำใจงแปลงร่างเป็นเด็กสาวในชุดเหลืองเพื่อช่วยเหลือถงฉี
ชายหนุ่มมองสตรีน้อยที่คล่องแคล่วไปเสียทุกอย่าง และยังมีกุญแจไขกรงขังของเขาด้วย
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร สตรีน้อยชุดเหลือง”
“ข้า...” อิ้งเยว่ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร จึงกล่าวว่า “พาท่านหนีอย่างไรเล่า ขืนอยู่ในนี้ต่อไปท่านได้ไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้แน่นอน”
“แล้วเหตุใดต้องหนี หากเราทำเรื่องที่ถูกต้อง”
“เฮ้อ ท่านไม่รักชีวิตของตนหรืออย่างไร” นางว่าจบจึงไขประตูกรงขังเรียบร้อย
“แต่ข้าเกิดมาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น” ถงฉียืนยันด้วยน้ำเสียงเข้ม
“เฮอะ หากสิ้นลมหายใจ ท่านยังจะช่วยผู้ใดได้”
นางกล่าวจบก็จับจูงมือเขาให้ก้าวออกจากห้องขัง ในขณะที่สืบเท้าผ่านห้องอื่นๆ ถงฉีก็ใจคอไม่สู้ดี เพราะมีหมอทั้งชายหญิงหลายคนที่อยู่ตามห้องต่างๆ คนเหล่านั้นกำลังถูกพิษร้ายเล่นงาน
“ข้าควรช่วยเหลือพวกเขา”
อี้เยว่หันมาตวาดใส่ถงฉีด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดทันที
“รักษาตัวท่านเองก่อนเถิดหมอยา เท่าที่ข้าเห็น คนพวกนี้เกินเยียวยาแล้ว!” นางเอ่ยจบก็สกัดจุดไม่ให้เขาพูด แล้วลากให้ออกวิ่งตาม
กระทั่งทั้งคู่อยู่ในจุดปลอดภัยห่างจากกลุ่มคนร้าย และข้างหน้าเป็นศาลเจ้าแห่งโชคชะตา ถงฉีก็ทรุดฮวบลงราวกับสิ้นเรี่ยวแรง
“ท่านหมอ เข้มแข็งเข้าไว้ อีกอึดใจเดียวท่านก็จะไปถึงศาลเจ้าแล้ว!”
อิ้งเยว่เรียกเขา แต่ยามนั้นใบหน้าชายหนุ่มซีดเผือดราวกับซากศพ อีกทั้งเมื่อแตะต้องเนื้อตัวเขาก็พบว่าเย็นจัดจนน่าวิตก อาการเช่นนี้เป็นเพราะเขาได้รับพิษไม่ต่างจากผู้อื่น เพียงแต่มันเพิ่งออกฤทธิ์
ถงฉีส่งเสียงอู้อี้เนื่องจากถูกสกัดจุดห้ามไม่ให้พูดเอาไว้ เมื่อนางแมวคลายจุดให้ เสียงเข้มๆ ก็ดังขึ้น
“จะ เจ้าเป็นมารร้าย เหตุใดถึงบังคับขู่เข็ญข้าเช่นนี้”
“เฮ้อ ข้าหวังดีแท้ๆ แต่ท่านกลับมาต่อว่าสตรีผู้เลอโฉม ท่านนี่หาใช่สุภาพบุรุษ”
“หึๆ หากต้องรับการช่วยเหลือจากเจ้า ข้ายอมตายเสียยังดีกว่า” เขาเอ่ยแล้วก็คล้ายคนใกล้สิ้นลมหายใจ ด้วยลงไปนอนราบกับพื้นทันที ร่างกายเริ่มชาทีละส่วน
“นี่ท่านจะตายอยู่ตรงนี้จริงๆ น่ะหรือ”
ชายหนุ่มมองไปยังศาลเจ้าแห่งโชคชะตา เขาได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าไป๋เล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าตนเป็นเด็กกำพร้า ถูกมารดานำมาทิ้งไว้ใต้ฐานรูปปั้นวิหคดารา และยามที่ทุกข์ใจเขาก็มักจะมาที่นี่เพี่อขอพร อีกทั้งเพื่อรำลึกถึงฮูหยินผู้เฒ่าไป๋และมารดาที่เขาไม่เคยพบหน้า
“แม่นาง...โปรดฝังเข็มให้ข้าที”
อิ้งเยว่ทำท่ากลัวเมื่อได้รับการขอร้องจากถงฉี
“เมื่อครู่ยังอวดเก่งไม่กลัวตาย ไฉนตอนนี้ถึงได้ขอร้องข้า”
ถงฉีพยายามรวบรวมพลังกายเฮือกสุดท้าย และเอ่ยเสียงขาดห้วงว่า
“อย่างที่แม่นางน้อยกล่าว หากข้ามีชีวิตอยู่ย่อมปกป้องคนที่ข้ารักได้”
“อมิตาภพุทธ! ท่านช่างเป็นคนน่านับถือ เช่นนี้ควรเป็นเทพเซียนบนสวรรค์มากกว่าเกิดมาเป็นชายขาเป๋และยังจนแสนจนเยี่ยงนี้”
ถงฉีไม่ได้ต่อปากต่อคำกับหญิงสาว เขาเพียงแต่ล้วงเข้าไปในย่ามที่ถือติดตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วหยิบเอากระเป๋าหนังซึ่งด้านในมีเข็มเงินสำหรับใช้รักษาโรคออกมา การเคลื่อนไหวของเขาดูลำบาก เพราะร่างกายใกล้จะไร้การตอบสนอง
“ข้าอยากให้เจ้าช่วยปรับลมปราณภายในแก่ข้า เพียงแค่ฝังตามจุดต่างๆ เจ็ดที่ มันจะช่วยให้ข้ากลับมาเคลื่อนไหวได้ดังเดิม และพิษจะถูกขับออกทางรูขุมขน”
หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนจะรู้สึกว่าตนหน้าแดงจัด กายสาวร้อนผะผ่าว เมื่อถงฉีเปลื้องเสื้อของตนออก เขาแจ้งว่านางต้องปักเข็มเงินในจุดสำคัญบริเวณใดบ้าง
“ละ แล้วหากข้าทำท่าน ตะ ตาย”
ถงฉียิ้มจางๆ ให้อิ้งเยว่ และตอบว่า “อย่างน้อย เจ้าก็จะเป็นหนี้บุญคุณข้า หากชาติหน้ามีจริง ข้าจะมาตามคิดบัญชีก็ยังไม่สาย”
ดวงตากลมโตมองร่างชายหนุ่มเบื้องหน้า จริงอยู่นางเคยเห็นมนุษย์ผู้ชายมาก็มาก แต่คนผู้นี้กลับมีเสน่ห์ดึงดูดทำให้อิ้งเยว่มือสั่นและเหงื่อแตกท่วมกาย
นางค่อยๆ ปักเข็มเงินไปทีละจุด กระนั้นมือก็สั่นจนแทบทำเข็มเงินหล่นมือ
“เหลือเข็มที่แปด เจ้าพร้อมหรือไม่...”
“เอ ท่านบอกเจ็ดจุดมิใช่หรือ ยังมีจุดใดอีก”
“แม่นางน้อย ยังมีจุดสำคัญที่สุด ซึ่งข้าต้องให้เจ้าช่วยเหลือ”
เมื่อเอ่ยจบชายหนุ่มก็กัดฟันเพื่อถอดสายรัดเอวของตนออก จากนั้นกางเกงเขาก็เลื่อนลงเผยให้เห็นเรือนกายชวนสยิว
หน้าท้องชายหนุ่มแบนราบ สะดือเป็นหลุมลึกสวย และแพขนนิ่มๆ ก็เรียงตัวไปจนถึงฐานของแก่นกายที่นอนสงบอยู่
“ทะ ท่านเป็นหมอยาจริงหรือไม่ เหตุใดถึงได้กระทำการชวนให้ขายหน้าเยี่ยงนี้”
“ดะ ได้โปรดออกแรงอีกสักนิด มันคือจุดสุดท้าย และจะช่วยให้ข้ารอดพ้นจากอันตรายครั้งนี้”
อิ้งเยว่ละล้าละลังอยู่เกือบอึดใจ แต่เพื่อยื้อชีวิตถงฉี นางจึงจำใจปักเข็มลงไปบริเวณท้องน้อยของเขาซึ่งอยู่เหนือแก่นกายเพียงเล็กน้อย และเป็นตอนนั้นมังกรที่เห็นว่าหลับใหลอยู่เมื่อครู่ค่อยๆ ตื่นตัว