2.ภาคอดีตรักตราตรึง 2
อิ้งเยว่มุ่งหน้าไปคฤหาสน์ที่อยู่ใจกลางทางด้านทิศใต้ของเมือง ทุกอย่างเป็นดังที่ชายสามคนกล่าวอ้าง นางตะลึงอยู่เล็กน้อย อีกทั้งเสียงสวดมนต์และกลิ่นกำยานประหลาดๆ ชวนให้สำรอก
ในยามที่ใช้ร่างจำแลงนี้นางต้องพยายามควบคุมอารมณ์และการแสดงออกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ กระนั้นก็ดูเหมือนนางยังทำได้ไม่ดีพอ จนถูกเด็กชายจ้ำม่ำคนหนึ่งมองอย่างสงสัย
“พี่สาว ท่านมีหางยาว!”
นางแมวตกใจ และรีบใช้พลังเวทของตนหดหางที่โผล่ออกมาทันที “เจ้าตาฝาด คนงามเลอโฉมเช่นนี้จะมีหางได้เยี่ยงไร”
“ใช่ พี่สาวไม่มีหางยาวๆ แต่ตอนนี้หูท่าน!”
อิ้งเยว่อยากหวีดร้องเสียงสูงเมื่อยกสองมือกุมหูของตน มันกลายเป็นหูแมวตั้งชัน มีขนปุกปุยปกคลุม และที่เป็นเช่นนี้คงเพราะเสียงสวดในทำนองชวนเขย่าขวัญ และกลิ่นกำยานที่ลอยอบอวลอยู่ในบริเวณนี้
“บอกข้า ทะ ท่านเป็นปีศาจใช่หรือไม่”
นางแมวไม่ตอบ ก่อนก้มหน้าลงแล้วแลบลิ้นยาว ก่อนตวัดเลียหน้ากลมแป้นของเด็กชาย จากนั้นก็วิ่งหนีไปด้วยความเร็ว
อิ้งเยว่หลบอยู่ในมุมกำแพงสูง หายใจแรงจนร่างจำแลงหอบโยน
“ท่านพ่อ กลับไปข้าสัญญาว่าจะเรียนรู้วิชาจากท่าน” นางกล่าวจบก็กวาดสายตาไปทั่ว แต่แรกตั้งใจบุกเข้าไปจัดการมือปราบอเวจี หากนางสะดุดตากับร่างสูงเพรียวของชายหนุ่มผู้หนึ่งเข้าเสียก่อน
ชายขาเป๋ผู้นั้นท่าทางอิดโรย และเหมือนกำลังหิวโหยอย่างที่สุด กระนั้นก็ดูเหมือนคนอวดดีเย่อหยิ่งอยู่สักหน่อย เขานั่งขายตำราแพทย์ประจำบ้าน พร้อมป้ายแจ้งว่ารับตรวจโรคทั่วไปอยู่หน้าตรอกเล็กๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจสักเท่าใด
“ท่านเป็นหมอเยี่ยงนั้นหรือ” นางเดินเข้าไปถาม แม้ยังไม่ถูกเชิญให้นั่งบนเก้าอี้ แต่นางแมวก็หย่อนก้นลงพร้อมมองเขาอย่างจับพิรุธ
“ใช่แล้ว แม่นางน้อย เจ้าต้องการให้ข้าดูแลสิ่งใดบ้าง”
อิ้งเยว่เคยเห็นบุรุษมาก็มาก แต่ชายคนนี้นับว่าหน้าตาไม่เลว อีกทั้งดวงตาเขาคล้ายมีบางอย่างเชื่อมถึงหัวใจนาง พออ่านป้ายที่เขาเขียนไว้ก็รู้ว่า บุรุษผู้นี้แซ่ไป๋ นามว่า ถงฉี
“ข้าเพียงแค่อยากให้ท่านตรวจดูเรื่องทั่วๆ ไป”
“เช่นนั้นรบกวนขอมือแม่นางด้วย”
อิ้งเยว่วางมือบนโต๊ะ เขาเปิดกระเป๋าที่ทำจากหนังสัตว์ออก ด้านในมีเข็มหลากหลายขนาด
“ชายหญิงมิควรสัมผัสร่างกายกัน”
“แล้วเช่นนั้นท่านจะล่วงรู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าป่วยไข้อันใด”
“ด้วยการฝังเข็ม ซึ่งแค่มองดูข้าก็พอแจ้งใจ สำนักหมอยาตระกูลไป๋สืบทอดความรู้มายาวนาน ข้าเป็นลูกหลานของคนตระกูลนี้ ย่อมมีวิชาติดตัว”
“สำนักหมอยาตระกูลไป๋?” นางกล่าวจบแล้วก็ยักไหล่น้อยๆ และมองเขาอย่างพินิจ สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่แผ่ออกมา เขานับว่าเป็นคนใช้ได้ ดูไม่เหมือนพวกหากินกับเรื่องเจ็บไข้ของผู้อื่น
“แม่นางน้อย สุขภาพนับว่าดี ผิดแต่ยามกลางคืนอาจหายใจติดขัดอยู่สักหน่อย เจ้าต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น และควรกินของร้อนมากกว่าอาหารที่จืดชืดหรือพวกสัตว์เลือดเย็น!”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นอิ้งเยว่จึงถลึงตาใส่เขา นางไม่ชอบกินผลไม้อย่างที่บิดาแนะนำ แต่มักไปจับพวกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยมาเป็นอาหาร ทั้งกบ อึ่งอ่าง แม้แต่จิ้งเหลน ซึ่งสร้างความปวดหัวให้บิดาอยู่เสมอ
“อย่ามาสั่งสอนข้า”
“หามิได้แม่นางน้อย ข้าเพียงแต่กล่าวตามสิ่งที่เล่าเรียนมา”
“ฮึ ข้ายากจะเชื่อถือท่าน อีกอย่างตั้งโต๊ะหากินเช่นนี้ ดูเหมือนกำลังผิดกฎหมายบ้านเมือง” อิ้งเยว่โวยวายเสียงดัง
“ตะ แต่ข้ามีใบรับรองจากสำนักหมอยาตระกูลไป๋”
เขากล่าวและกำลังพยายามหาใบรับรองของตน แต่เป็นตอนนั้นที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน
“จับตัวชายผู้นี้ไว้!”
ทหารตัวใหญ่สามคนกระชากหมอยาให้ลุกยืน และเตรียมคุมตัวเขาไปยังศาล
“ช้าก่อนพี่ทหารรูปหล่อ เหตุใดถึงรังแกท่านหมอตัวผอมไร้เรี่ยวแรงท่านนี้”
“เจ้าอย่ายุ่งเลย ตอนนี้ทั้งเมืองห้ามไม่ให้มีหมอยา หรือสำนักการแพทย์ใดๆ หากเจ็บป่วยจงไปที่คฤหาสน์รับรองทางทิศใต้ ท่านมือปราบอเวจีจะคอยดูแลเรื่องนี้ให้ทุกคนปลอดภัย”
เมื่ออิ้งเยว่ได้ยินอย่างนั้นนางก็โกรธจัด “พวกท่านเป็นผู้รักษาความถูกต้อง เหตุใดถึงได้เชื่อเรื่องงมงาย หากเจ็บไข้จะให้พวกมือปราบใช้ไสยเวทรักษาคนได้หรือ อีกอย่างปล่อยตัวเขาได้แล้ว”
“แม่นางท่านนี้โปรดหลีกไปให้พ้นทางเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นแล้วจะมีความผิดไปอีกคน” เมื่อทหารที่เป็นหัวหน้ากล่าวจบ เขาก็ลากคอเสื้อของหมอยาให้ก้าวตาม
อิ้งเยว่มองตามชายผู้นั้น เขาไม่ได้มีท่าทีหวั่นกลัวสักนิด นางเห็นแล้วก็นึกสงสารจับใจ จึงคิดว่าตนต้องหาทางช่วยเหลือถงฉีให้พ้นภัยในครั้งนี้