บทที่3 หญิงสาวจากประเทศไทย และเจ้าบุญช่วย 3
อีกไม่นานเธอจะได้ไปชมสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ ที่ยังหลงเหลือให้ชนรุ่นหลังได้ชม เพียงแค่คิดน้ำตาก็เหมือนจะซึมออกมาที่หัวตา อลิชาเอาฝักบัวราดตั้งแต่ศีรษะอย่างระงับอารมณ์ บ้าชะมัด นี่เธอจะอ่อนไหวเกินไปหน่อยแล้ว ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงพาลอยากจะร้องไห้ได้นะ
ตั้งแต่ตอนเล็กๆ หลังจากที่เธอได้มาเที่ยวที่อียิปต์กับพ่อการุณ เธอก็ฝังใจอยู่แต่ที่อียิปต์ ถึงแม้ว่าเธอจะต้องกลับไปอยู่ที่เมืองไทย แต่เพราะหลงเสน่ห์แผ่นดินทะเลทรายทำให้เธอมักจะไปค้นคว้าหาหนังสือที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับอียิปต์มาอ่านอยู่อย่างสม่ำเสมอ แม้แต่ในห้องสมุดที่โรงเรียน เธอก็จะเลือกหาอ่านแต่หนังสือที่เกี่ยวข้องกับประเทศนี้ จนมินนี่ที่เคยเรียนชั้นมัธยมมากับเธอ ถึงกับออกปากแซวว่า
'ทำไมแกไม่ขยันอ่านหนังสือเรียนเหมือนที่ขยันอ่านหนังสืออียิปต์บ้างวะ'
และอลิชาก็มักจะตอบเพื่อนไปว่า
'ก็หนังสือเรียนมันอ่านแล้วไม่สนุกเหมือนหนังสืออียิปต์นี่นา' ใช่แล้ว หญิงสาวรู้สึกว่า...ประเทศอียิปต์เป็นประเทศที่น่าหลงใหล น่าค้นหา ดูลึกลับและมีมนต์ขลัง ยิ่งอ่านก็ยิ่งเพลิดเพลิน เมื่อได้รับรู้อารยธรรมต่างๆของอียิปต์ผ่านตัวอักษรในหนังสือ มันทำให้เธอรู้สึกทึ่งในความชาญฉลาดของคนสมัยก่อน
อลิชาจำได้ว่าเธอเคยดูในสารคดีและได้รับรู้มาว่าอียิปต์มีวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า เมื่อสมัยห้าพันปีก่อนก็มีการผ่าตัดเกิดขึ้นแล้ว และเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้แพทย์สมัยใหม่นำมาประยุกต์ใช้ ทำให้เธอรู้สึกอยากเจาะลึกเข้าไปให้มากกว่านี้ จึงได้ไปเสาะหาตำราที่รวมเรื่องการแพทย์สมัยอียิปต์ยุคโบราณมาอ่าน
แต่ในบางครั้งสิ่งที่เราทำก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ชอบเสมอไป เพราะถึงเธอจะชอบประวัติศาสตร์มาก แต่พ่อการุณกลับให้เธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยคณะบริหาร
และเพราะความที่ไม่อยากขัดใจพ่อบุญธรรมและสำนึกในบุญคุณอยู่เสมอว่าเงินที่เธอนำมาศึกษาเล่าเรียนนั้นก็เป็นเงินที่เอามาจากกระเป๋าของการุณ ทำให้เธอต้องเรียนในสาขาที่ตัวเองไม่ได้รัก แต่ถึงอย่างไร...เธอก็ยังคอยหาข้อมูลเรื่องโบราณมาอ่านมาดูอยู่เสมอ
ความคิดคำนึงของอลิชาหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงของใครคนหนึ่ง
“อาลิชซา...กลับมาหาข้า กลับสู่ดินแดนแห่งเรา” เสียงแว่วๆแต่หนักแน่นของผู้ชายคนหนึ่งดังสะท้อนในหัว
“ฉันจะกลับบ้าน” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งที่ฟังดูคุ้นหูเหลือเกินโต้ตอบ
“อะไรกันเจ้าอาลิชซา เจ้าลองมองไปรอบๆสิ ...เจ้าเห็นอะไรไหมเจ้ายอดหทัย ที่นี่มีแต่ผืนทราย ข้าอยากให้เจ้ารับรู้ว่าที่ใดมีทรายที่นั่นคือบ้านของเจ้า”
“ฉันคิดถึงครอบครัวของฉัน” เสียงผู้หญิงคนนั้นดูจะสั่นเครือราวกับกำลังกลั้นก้อนสะอื้นของตัวเอง
“ข้ารักเจ้า...เจ้ายอดหทัย ถึงข้าอาจจะดูเป็นคนเห็นแก่ตัวในความคิดของเจ้า...แต่อิสตรีเมื่อเติบโตเป็นสาวก็ต้องออกเรือนแต่งงาน ข้าคิดว่าบิดาของเจ้าต้องเข้าใจ เพราะต่อแต่นี้ไปข้านี่แหละที่จะเป็นครอบครัวของเจ้า…” เสียงผู้ชายคนนั้นฟังดูจะเจ็บปวดไม่แพ้ฝ่ายหญิง
“กรี๊ดด” อลิชากรีดร้องออกมา มือบางเลื่อนมาขยุ้มศีรษะตัวเองอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาเริ่มไหลออกมาโดยไม่มีสาเหตุ ร่างเปลือยเปล่าทรุดลงนั่งบนพื้นห้องน้ำที่ชื้นแฉะ
“ข้ารักเจ้า”
“ที่ไหนมีเม็ดทรายที่นั่นคือบ้านของเจ้า”
“กลับมาหาข้า...อาลิชซา...กลับมา”
ประโยคเหล่านั้นดูจะผุดขึ้นมาในหัวของอลิชา และที่แย่กว่านั้นคือความเจ็บปวดที่บีบคั้นในหัวใจอย่างแรงจนเธอไม่อาจห้ามน้ำตาได้
ใคร....ใครกันที่พูดอยู่ข้างหูฉัน เขาเป็นใคร แล้วพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ...อลิชาหลับตาแน่น ความโหยหาราวกับกำลังรอใครบางคนผุดขึ้นแน่นในอกจนแทบจะระเบิด
“กลับมาหาข้า”
ประโยคนั้นยังคงดังก้องในหัวเธอไม่มีหยุด
“ฉันไปไม่ได้” อลิชาเผลอพูดรำพึงออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะเบิกตากว้าง เมื่อเพิ่งนึกออกว่าเสียงผู้หญิงที่โต้ตอบกับผู้ชายคนนั้นที่ดังก้องในหัวเธอก่อนหน้านี้...แท้จริงแล้วเป็นเสียงของเธอนั่นเอง
“เจ้าต้องกลับมาหาข้า อาลิชซา...ข้าจะรอเจ้า...เจ้ายอดหทัย”
ประโยคนั้นดังขึ้นมาอีกเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็เงียบหายไป...รวมทั้งอาการเจ็บปวดที่ใจก็ดูจะหดหายไปด้วยเหลือเพียงแค่อาการเศร้าซึมที่ยังหลงเหลืออยู่
หญิงสาวฝืนหยัดกายลุกขึ้นมาชำระล้างร่างกายจนสะอาด แล้วดึงผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาพันไว้รอบกายปกปิดตั้งแต่ช่วงเนินอกจนถึงขาอ่อน เธอเดินซึมจ๋อยออกมาจากห้องน้ำ แล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าบานกระจก สมองดูจะเลื่อนลอยไปกับเสียงประหลาดที่ดังขึ้นมาในหัว ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเจ็บปวดถึงเพียงนั้น พลันความรู้สึกฮึกเหิมก็ผุดขึ้นมาในจิตสำนึก....ที่ผืนทรายนั่นจะต้องมีที่ใดที่หนึ่งแน่นอนที่มีร่างของใครบางคนที่เธอโหยหานอนอยู่ อลิชากัดริมฝีปากตัวเองแน่น ทำไมเธอถึงรู้สึกมั่นใจนักนะว่าจะต้องมีมัมมี่ฟาโรห์ที่ยังไม่มีใครพบเห็นนอนรออยู่...อย่างเดียวดาย !!!
“แต่งตัวแค่นี้นานเป็นชาติเลยนะยัยอลิช” เสียงมินนี่ที่เดินบ่นเธอตั้งแต่ตอนเริ่มเข้าลิฟต์จนลงมาชั้นล่างของโรงแรมจนตอนนี้เกือบจะถึงรถที่จอดรออยู่หน้าโรงแรมอยู่แล้ว ยัยเพื่อนแสนดีก็ยังคงบ่นไม่หยุด
“อะไร ฉันบ่นแค่นี้ทำเป็นเงียบหรือไง”