บทที่ 6 พี่ชายผู้ช่วยชีวิต
บทที่ 6
พี่ชายผู้ช่วยชีวิต
พวกโจรป่าพากันตระหนกเมื่อมีลูกธนูพุ่งเข้ามาปักร่างที่หน้าผากของหัวหน้าจนขาดใจตาย ในตอนที่พวกมันกำลังจะหันกลับไปมอง พลันมีลูกธนูพุ่งมาปักร่างของพวกมันทีละคนทีละคน ไม่มีแม้แต่เวลาได้เหลียวมองว่าผู้ใดเป็นคนทำ กลับต้องมาทิ้งร่างไร้ลมหายใจไปเสียแล้ว
แม้ลูกธนูจะพุ่งมาทางด้านนี้ราวกับห่าฝน แต่น่าแปลกที่ไม่มีลูกธนูดอกไหนที่พุ่งเข้ามาที่ร่างของสองพี่น้องเลย ราวกับผู้ยิงจะต้องการปลิดชีวิตของพวกโจรป่าเท่านั้น เมื่อทุกอย่างสงบลง จึงได้ยินเสียงฝีเท้าม้ามุ่งตรงมาทางด้านนี้
“เป็นอะไรหรือไม่”
เด็กหนุ่มในวัย 15 หนาวที่ขี่หลังบนอาชาสีดำกระโดดลงมาบนพื้นด้านล่าง เขารีบเดินเข้าไปประคองร่างของเด็กหญิงที่สั่นเทาราวกับลูกนกให้ลุกขึ้นยืน ช่างน่าสงสารนักอายุเพียงแค่นี้แต่ต้องมาประสบกับเรื่องที่น่าหวาดกลัว จิตใจของเด็กหญิงคงเกินจะรับไหว
เด็กชายครุ่นคิดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดที่มีตัวอักษร 凰 (หวง/huáng) ปักไว้ด้วยด้ายสีแดงตรงมุมซ้ายของผ้าเช็ดหน้า เด็กชายหยิบกระบอกน้ำแล้วนำมาเทที่ผ้าเช็ดหน้า ยื่นส่งไปหาร่างของเด็กหญิงที่กำลังก้มหน้าพลางร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร
“ไม่เป็นไรแล้ว เช็ดหน้าเช็ดตาของเจ้าเสียหน่อย พี่ชายจะพาเจ้าไปส่งเอง”
อาหลิงเงยหน้าขึ้นมามองเด็กหนุ่มตรงหน้า เขาช่าง…งดงามยิ่งนัก นัยน์ตาคมเรียว ขนตางอนยาว รับกับคิ้วกระบี่ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากที่กำลังคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน เด็กหนุ่มผู้ช่วยชีวิตนางช่างดูงดงามสูงค่าราวกับเทพเซียนมาโปรด
“ขอบ…ขอบคุณพี่ชายเจ้าค่ะ” ริมฝีปากเล็กคลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบหันมองผู้เป็นพี่ชาย “ท่านพี่ ท่านพี่” สายตาพลันมองไปเห็นว่าพี่ชายของนางกำลังได้รับการช่วยเหลือ จากบุรุษในชุดสีดำ
อาหลิงพลันได้สติรีบลุกขึ้นไปหาพี่ชายของนางทันที
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่…เจ็บมากหรือไม่ ฮือๆ”
อาหลิงพยายามแทรกตัวเข้าไปหาอาหมิงแต่ติดที่ชายชุดดำไม่ให้นางเข้าไปถึงตัวพี่ชาย
“เด็กน้อย เจ้ายืนรออยู่ตรงนี้ก่อน พวกข้ากำลังช่วยพี่ชายของเจ้า” ชายชุดดำหันมายิ้มให้กับเด็กหญิงด้วยความอาทร
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่จะไม่ตายใช่หรือไม่เจ้าคะ” เสียงเล็กพรั่งพรูออกมาด้วยความทุกข์ใจ หากว่า…หากพี่ใหญ่ต้องตายตามท่านพ่อท่านแม่ไปอีกคน นางจะอยู่ได้อย่างไรกัน
“อย่าได้เป็นห่วง พี่ชายมีหมอฝีมือดี พี่ใหญ่ของเจ้าจะไม่ต้องเป็นอะไร” เด็กหนุ่มเดินมายืนที่ด้านหลังของอาหลิง เสียงแตกหนุ่มกระซิบที่ข้างใบหูเล็ก เพื่อให้เด็กหญิงคลายใจมากขึ้น
“ข้าเชื่อพี่ชายเจ้าค่ะ” อาหลิงหันกลับมาบอกพี่ชายผู้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ นางเชื่อใจว่าเขาจะต้องไม่โกหกนางเป็นแน่ สัญชาตญาณของนางบอกเช่นนั้น
“เสร็จแล้วขอรับนายน้อย”
ชายชุดดำที่ทำแผลและตรวจดูอาการให้กับอาหมิงเข้ามารายงาน เมื่อครู่เด็กหนุ่มผู้นั้นสลบไป คงเพราะสะเทือนใจหรืออาจจะเจ็บบาดแผล ภายในของเขาช้ำในไม่น้อย เจ้าโจรป่าพวกนั้นช่างสารเลว แม้แต่เด็กยังกล้าทำร้ายได้ลงคอ และคำพูดที่สะอิดสะเอียนนั้นที่กล้าพูดกับเด็กหญิงผู้นั้นอีก
ช่างต่ำตมยิ่งนัก…
นายน้อยของเขาจึงทนไม่ได้รีบคว้าธนูยิงพวกมันทันที โชคดีที่พวกเขาเดินทางผ่านมาทางนี้ จึงสามารถช่วยเหลือสองคนพี่น้องได้ มิเช่นนั้นชีวิตของพวกเขาคงจะเหมือนตกนรกทั้งเป็น
คนพี่ถูกฆ่าตายไร้ผู้ใดเหลียวแล
คนน้องถูกพรากความบริสุทธิ์ กลายเป็นของเล่นที่มีชีวิตให้กับพวกมัน
สมควรแล้วที่พวกมันได้ตายไปเช่นนี้ จะได้ไม่ต้องไปก่อกรรมกับผู้ใดได้อีก…
เมื่อโจรป่าถูกสังหารจนสิ้น กลุ่มชายชุดดำจึงได้ลากศพของพวกมันมารวมกองไว้ แล้วจุดไฟเผาทำลายซากศพทันที เด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกขานว่านายน้อย ได้สั่งให้คนเฝ้าดูศพของพวกมันไว้ ต้องให้แน่ใจว่าไฟจะไม่ลุกลามไปติดกับใบไม้ใบหญ้าข้างทางจนทำให้เกิดไฟไหม้ ส่วนคนที่เหลือก็ได้เดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองสุย กว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นพระอาทิตย์ก็ได้คล้อยลงต่ำเสียแล้ว เสียงแมลงและนกน้อยดังขึ้นทั่วทั้งป่า ฟังดูคล้ายดนตรีที่กำลังคอยขับกล่อมบทเพลงให้กับพงไพรอย่างไรอย่างนั้น
อาหมิงช้ำไปทั้งตัว จึงถูกพาไปพักที่ด้านในรถม้า เช่นเดียวกับอาหลิงที่นั่งเฝ้าพี่ชายไม่ห่าง ใบหน้าเล็กเริ่มผลิยิ้มออกมาได้ นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เมื่อคิดว่าทุกการเดินทางจะอยู่ภายใต้การนำของพี่ชาย ผู้ที่ได้ช่วยชีวิตพวกนางสองพี่น้องเอาไว้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจดวงน้อยๆ จนร่างเล็กผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
วันนี้นางผจญกับเรื่องไม่คาดฝันมามากมายเหลือเกิน…
กลุ่มของนายน้อยเร่งเดินทางเพื่อเข้าสู่เมืองสุย เพียงครึ่งชั่วยามทั้งหมดก็ได้มาถึงยังหน้าประตูเมืองสุย ทหารยามที่คอยเฝ้ารักษาประตูเมืองกำลังเร่งประตูเมือง เมื่อได้เวลาแล้ว แต่เมื่อเห็นขบวนของกลุ่มชายชุดดำกว่า 20 คนมุ่งหน้ามาทางนี้ ต่างรีบลงมาตรวจสอบ ด้วยเกรงว่าอาจจะเป็นโจรป่าหรือสายสืบก็เป็นได้
“หยุด!! พวกเจ้ามาทำอะไรที่เมืองสุย” นายทหารที่คอยตรวจคนเข้ามาไต่ถาม พลางลอบสังเกตกลุ่มคนชุดดำด้วยความหวาดระแวง
นายน้อยไม่เอ่ยคำใด เพียงโยนตราประจำตัวส่งให้นายทหารผู้นั้นตรวจสอบ
“นี่เจ้า!!” นายทหารเฝ้าประตูอุทานด้วยความตกใจ แต่ก็รีบรับตราสีนิลได้อย่างทันท่วงที
เมื่อพินิจดูตราประทับพยัคฆ์สีนิลที่มีอักษรหวง เหงื่อกาฬพลันผุดพรายขึ้นมา มือหยาบกร้านที่จับแต่ดาบสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อต้องมาจับตราพยัคฆ์สีนิล
“เชิญ…เชิญขอรับ” เสียงเข้มห้าวเอ่ยสั่นตะกุกตะกักด้วยความขลาดกลัว รีบสั่งให้นายทหารด้วยกันเองรีบเปิดประตูออกโดยเร็วพลัน ทั้งยังรีบส่งคนไปแจ้งให้กับท่านเจ้าเมืองทราบอย่างเร่งด่วน
“ขออภัยที่ข้าน้อยหยาบคายขอรับ” ศีรษะใหญ่โค้งต่ำอย่างขออภัย
“มิเป็นไร อ้อ…ก่อนมาข้าเพิ่งสังหารพวกโจรป่าไป ไม่รู้ว่าพวกโจรป่ามันเหิมเกริม หรือเพราะมีผู้ให้ท้าย ถึงกล้าดักปล้นชาวบ้านใกล้ประตูเมืองเช่นนี้ได้ ช่างน่าตลกยิ่งนัก" นัยน์ตาคมดุตวัดมองทหารยาม กลิ่นอายสูงศักดิ์แผ่กระจายไปทั่วบริเวณ จนทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้พลันรู้สึกอึดอัดไปตามๆ กัน
“เรื่องนี้…ข้า…ข้าน้อยจะรีบแจ้งให้ท่านเจ้าเมืองทราบขอรับ”
“ดี” เอ่ยจบนายน้อยก็บังคับม้าขี่นำเข้าไปยังประตูเมืองสุย เพื่อมุ่งตรงไปพักยังโรงเตี๊ยม แม้จะมีคนของเจ้าเมืองขอให้เขาไปพักที่จวนเจ้าเมือง แต่เขาก็ได้เอ่ยปากปฏิเสธไปอย่างไร้เยื่อใย
ช่างน่ารำคาญ!!
เหตุการณ์ในวันนี้สร้างความสับสนให้กับนายทหารชั้นผู้น้อย รวมถึงกลุ่มชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด พวกเขาอยากจะรู้ว่าเพราะเหตุใดทหารเฝ้าประตูจึงได้ดูอ่อนน้อยต่อเด็กหนุ่มผู้นั้นนัก ช่างน่าแปลกประหลาดเสียจริง
“นี่ คนพวกนั้นเป็นผู้ใดหรือ” นายทหารที่เฝ้าเวรอยู่ด้วยอดจะถามขึ้นมาไม่ได้
“รู้เพียงว่าอย่าได้ทำให้นายน้อยมีโทสะ ถ้าพวกเจ้ายังไม่อยากตาย” ทหารเฝ้าประตูเอ่ยเสียงลอดไรฟัน แล้วเร่งไปทำงานของตนเองต่อ ด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัว มือของเขายังคงไม่หยุดสั่นเลยแม้แต่น้อย
วันนี้เขาช่างดวงซวยยิ่งนัก