ตอนที่ 9 ฟินิกซ์ขาววิหคเหิน
ตำหนักหลิวรุ่ย
ณ บริเวณหลังตำหนัก บรรยากาศในช่วงเช้าดูเงียบเหงาแต่ก็เหมาะสำหรับการพักผ่อน และการฝึกสมาธิรวบรวมพลังวิญญาณ หมอกหนาลอยล่องไปทั่วบริเวณถึงแม้แสงอาทิตย์ในช่วงเช้าจะเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว เสียงนกน้อยที่หากินตอนเช้าส่งเสียงร้องเจี๊ยวจ๊าวเป็นพักๆ แต่นั่นกลับช่วยสร้างบรรยากาศให้ที่นี่ไม่เงียบเหงาจนดูน่าวังเวง มันส่งเสียงแข่งกับเสียงน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูง อากาศไม่หนาวมากนักอีกทั้งยังสดชื่นเช่นนี้ ทำให้บริเวณโดยรอบมีพืชหรือดอกไม้ สมุนไพรหายากที่ชอบน้ำอุดมสมบูรณ์ สัตว์ตัวเล็กๆ จำพวกกระต่ายหรือกระรอกมีให้เห็นจนชินตา แต่มันกลับไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับเจ้าของตำหนักเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงในชุดสีดำสนิททั้งตัวตัดกับสีผิวขาวผมดำยาวทำให้เขาดูสง่างามอย่างลงตัว หากผู้ใดผ่านไปมาแล้วพึ่งเคยเห็นเขาเพียงครั้งแรกคงคิดว่าเขาคือเทพเซียนเป็นแน่
มือหนาเรียวยาว ข้อมือที่พ้นชายเสื้อออกมามีสร้อยข้อมือหยกสีดำ มีจี้สีขาวรูปใบชาเล็กๆ อยู่ เอื้อมมือไปเปิดฝากาน้ำชาอย่างใจเย็น ไอจากความร้อนล่องลอยออกมาจากกาน้ำชา พัดเอาความหอมมาด้วย เพียงได้กลิ่นหอมนั้นก็รับรู้ได้ทันทีว่านี่คือชาชั้นดี มือหนารินชาใส่ถ้วยสำหรับ 2 คนก่อนที่จะยกชาขึ้นด้วยท่าทีนิ่งสงบ
"ฟินิกซ์ขาววิหคเหิน เช่นนั้นหรือขอรับ"
หยงอี๋เอ่ยขึ้นอย่างตกใจที่ได้ยิน ทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบของเมื่อสักครู่ หลังได้ยินเรื่องที่หนิงเฟิ่งเล่าให้ฟัง
"ฟินิกซ์ขาววิหคเหิน เป็นสัตว์วิญญาณชั้นสูงและเป็น 1 ใน 5 ของสัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่เหลือคือ พยัคฆ์ดำ ฟินิกซ์เพลิงวิหค คชสารเพชร และแมงมุมหมื่นพิษ"
หนิงเฟิ่งเอ่ยอย่างอธิบาย เขาเองก็มีสัตว์วิญญาณคือฟินิกซ์เพลิงวิหค 1 ในสัตว์ดึกดำบรรพ์ และนี่เองทำให้เขาเป็นที่ยอมรับถึงแม้จะขึ้นเป็นเจ้าสำนักตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากมีสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งแล้ว ความสามารถเขายังถือว่าไม่เป็นรองใคร
"เป็นไปได้เช่นไร การทดสอบพลังวิญญาณของนางครานั้นยังพบว่าสัตว์ที่เป็นเพียงนกพิราบขาว อีกทั้งเป็นนกพิราบที่ไม่มีพลังวิญญาณ แค่ปลุกพลังวิญญาณยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ"
"จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า เป็นเพราะฟินิกซ์ขาววิหคเหินตัวนี้ เมื่อครั้งตอนตรวจสอบพลังวิญญาณตอนที่มันยังเล็กจะมีลักษณะเหมือนอย่างนกพิราบ"
หนิงเฟิ่งเอ่ยอย่างใช้ความคิด
"นั่นก็มีทางเป็นไปได้"
"เจ้าไปเชิญท่านผู้เฒ่าเซียวเซ่อ ผู้ที่ปลุกพลังวิญญาณของนางครานั้นมาพบข้าที"
"ขอรับ"
หยงอี๋รับคำสั่งและเดินออกไปในทันที หนิงเฟิ่งรินชาและยกมันขึ้นดื่มอีกครั้ง พร้อมมองทัศนียภาพด้านหน้า 'หากนางมีพลังวิญญาณชั้นสูงจริง เหตุใดไม่เอ่ยปากบอกผู้ใดแต่กลับเก็บงำมาได้จนถึงเพียงนี้ ยอมให้ผู้คนหัวเราะเยาะว่าเป็นคนไร้ค่า หรือแท้จริงแล้วพลังวิญญาณนี้พึ่งปรากฏขึ้น' ชายหนุ่มเอ่ยกับตนเองในใจ จากนั้นส่ายหัวไล่ความคิดและเดินเข้าตำหนักของตนเองไป
.
แสงอาทิตย์ในยามสาย สอดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท ทำให้หญิงสาวที่นอนหลับมายาวนานถึง 2 วันตื่นขึ้น ใบหน้าขาวเนียนแต่กลับดูซีดจนน่าสงสาร ขนตางอนยาวค่อยๆ กะพริบช้าๆ เพื่อปรับสายตา ภาพห้องที่คุ้นเคยทำให้ฟางเหนียงถึงกับถอนหายใจ มาโลกนี้เพียงไม่กี่วันแต่เกือบรักษาชีวิตไม่รอดถึง 2 รอบ หญิงสาวพยายามจะขยับร่างกายลุกขึ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรงและรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว ดวงตางามมองดูสภาพร่างกายที่พันไปด้วยผ้าพันแผลก็ไม่แปลกใจที่ตนรู้สึกระบมไปมากขนาดนี้
แต่การนอนเฉยๆ บนเตียงมานานถึง 2 วัน ทำให้นางคอแห้งและรู้สึกกระหายน้ำ ร่างกายที่ไม่มีแรงขยับจึงทำได้เพียงเอื้อมมือไปหยิบกาน้ำชาที่วางบนโต๊ะข้างเตียง
เพล้ง!
เสียงถ้วยชาที่หญิงสาวพยายามเอื้อมหยิบมันตกแตกลงพื้น ทำให้หญิงสาวอีกคนที่อยู่หน้าห้องวิ่งเขามาอย่างรวดเร็ว
"เจ้าเป็นอันใดหรือไม่"
"จ้าวเย่ว เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่"
ฟางเหนียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางคิดว่านางอยู่คนเดียวเสียอีก
"ท่านรองเจ้าสำนักให้ข้ามาดูแลเจ้าตอนที่เจ้าไม่ได้สติ ขณะที่รอรับสมัครคนรับใช้ใหม่ให้เจ้า"
"เป็นเช่นนั้น"
"เจ้าฟื้นก็ดีแล้ว เมื่อสักครู่เจ้าจะกินน้ำใช่หรือไม่"
จ้าวเย่วเอ่ยขึ้นพลางเดินมารินน้ำให้นาง ฟางเหนียงรับมาดื่มถึง 2 รอบ ก่อนที่จะลงไปนอนเช่นเดิม
"ข้าสลบไปนานหรือไม่"
" 2 วัน"
"นานขนาดนั้น หลายวันมานี้รบกวนเจ้าแล้วที่ดูแล"
ฟางเหนียงเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ วันนี้นางก็อยากที่จะทำความรู้จักกับจ้าวเย่วให้มากขึ้น วันนั้นนางเองก็ไม่มีเวลา วันนี้คงต้องหาทางหว่านล้อม การมีสหายก็นับว่าดีกว่าอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว
"รอสักครู่เดี๋ยวข้าไปนำยาที่ต้มมาให้"
จ้าวเย่วเอ่ยจบก็เดินออกไป ทำให้ฟางเหนียงมีเวลานึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 2 วันก่อน เมื่อครั้งที่โดนเสือตัวนั้นกัดตัวนางสิ้นหวังเป็นอย่างมาก คิดว่าเช่นไรก็ไม่มีทางรอด แต่จู่ๆ ตอนที่ท่านเจ้าสำนักหนิงเฟิ่งมาช่วยไว้ได้ทันเวลา ความรู้สึกตอนนั้นทั้งดีใจและมีหวังทำให้นางอดที่จะรู้สึกดีไม่ได้จริงๆ แต่ก่อนที่นางจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ จ้าวเย่วก็นำยาเข้ามาก่อน
"เจ้าแน่ใจหรือว่านี่คือยาที่ช่วยให้ข้าหายดีไม่ใช่ยาพิษ"
ฟางเหนียงเอ่ยขึ้นขณะที่ชี้ไปที่ถ้วยยาที่เป็นยาต้มน้ำสีดำ กลิ่นที่โชยออกมาก็รับรู้ได้ถึงความขม หากนางดื่มเข้าไปคงต้องขมจนต้องตายอีกรอบเป็นแน่
"ข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าเด็กน้อยไม่โตเช่นเจ้าต้องร้องไม่กินยาเป็นแน่"
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นที่หน้าประตู และตามมาด้วยร่างของชาย 2 คน
"คารวะท่านเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก"
จ้าวเย่วเอ่ยขึ้นพร้อมทำท่าคารวะคนทั้ง 2 ทันที ส่วนฟางเหนียงเพียงเอ่ยขึ้นแต่ไม่ได้ทำท่าคารวะเป็นเพราะนางยังบาดเจ็บอยู่ หยงอี๋ยิ้มให้คนทั้งคู่และรับถ้วยยามาจากจ้าวเย่ว
"เจ้าไปพักเถอะ"
จ้าวเย่วที่ได้ยินเช่นนั้นจึงทำความเคารพก่อนที่จะเดินออกไป ส่วนหนิงเฟิ่งเองก็ยืนห่างออกไปด้วยใบหน้าเรียบนิ่งไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ฟางเหนียงเหลือบตามองเขาเล็กน้อย 'หนอยแน่เมื่อสักครู่ข้าอุตส่าห์แอบชมที่ท่านมาช่วยไว้ได้ทัน ดูจากท่านตอนนี้เหมือนโดนบังคับให้มาอย่างไรอย่างนั้น' หญิงสาวเอ่ยกับตนเองในใจก่อนที่จะไม่ได้สนใจเขาอีก หยงอี๋นั่งลงที่เตียงและหยิบผลไม้เชื่อมออกมาตรงหน้า
"มีสิ่งนี้แล้ว เจ้าจะดื่มยาได้หรือยัง"
หยงอี๋เอ่ยอย่างด้วยเสียงอบอุ่น ฟางเหนียงยิ้มกว้างให้กับเขา หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นราวกับว่าเขาคือพ่อของนาง 'แต่ท่านกลับหล่อเกินไปที่จะเป็นพ่อข้านะเจ้าคะ'
"ข้าโตแล้วนะเจ้าคะ ยาเพียงแค่นี้เหตุใดข้าถึงจะไม่กล้ากินมัน"
ฟางเหนียงยกยาขึ้นดื่ม แต่ทันทีที่ยาจรดริมฝีปากความใจสู้เมื่อสักครู่กลับหายไปทันที ใบหน้าของนางยับยู่ยี่อยากที่จะอาเจียนเต็มทน แต่เรื่องของศักดิ์ศรียอมกันไม่ได้ อุตส่าห์พูดไปขนาดนั้นแล้วก็จำใจต้องกลืนมันลงในที่สุด และรีบหยิบพุทราเชื่อมเข้าปากอย่างรวดเร็ว
“ว่าแต่ท่านมาหาข้าถึงที่นี่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
ฟางเหนียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะขนาดครั้งก่อนนางจมน้ำจนรักษาชีวิตแทบไม่รอดและสลบไปหลายวัน ไม่เพียงไม่มาเยี่ยมยังไล่คนรับใช้ออกจนหมด ครั้งนี้ไม่เพียงรองเจ้าสำนักที่มาแต่เจ้าสำนักยังมาอีกด้วย
“ข้าแค่อยากให้เจ้าร่วมมือกับข้าหน่อย”
