ตอนที่ 10 พลังวิญญาณของสัตว์ระดับสูง
“ข้าแค่อยากให้เจ้าร่วมมือกับข้าหน่อย”
หยงอี๋เอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น และก็มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เป็นชายชราอายุมากแล้ว ทั้งหนวดยาวและผมขาวไปจนแล้ว ที่หน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มอย่างผู้มีเมตตา
“ท่านผู้นี้คือผู้เฒ่าเซียวเซ่อ เจ้าคงเคยได้พบเจอท่านแล้ว”
ฟางเหนียงที่ได้ยินกลับมีท่าทางสงสัยอย่างเห็นได้ชัดจนผู้เฒ่าเซียวเช่อเองก็สังเกตได้ นางคงจำข้าไม่ได้กระมัง
“ข้าคือผู้ที่ช่วยตรวจสอบและปลุกพลังวิญญาณให้เจ้าเมื่อ 10 ปีก่อน นานขนาดนี้เจ้าจะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก”
“คารวะเจ้าค่ะท่านผู้เฒ่าเซียวเซ่อ”
“แล้วครั้งนี้…..”
“อ่อ ท่านเจ้าสำนักอยากให้ตรวจสอบพลังวิญญาณของเจ้าอีกครั้ง”
เป็นหยงอี๋ที่อธิบายให้นางเข้าใจ ฟางเหนียงมองไปทางหนิงเฟิ่งที่กำลังนั่งดื่มชาด้วยท่าทางสงบนิ่ง กลิ่นอายของความสุขุมและเย็นชาที่มีต่อนางส่งมาทางหญิงสาวจนสัมผัสได้
“เช่นนั้นข้าต้องทำเช่นไรเจ้าคะ”
ผู้เฒ่ายิ้มออกมา จากนั้นถ่ายทอดพลังเป็นแสงสีทองกระจายรอบตัว หิ่งห้อยนับร้อยบินวนรอบตัวเขาเหมือนมันคือพลังวิญญาณของท่านผู้เฒ่าเซียวเซ่อ แสงของมันระยิบระยับ ภาพตรงหน้างดงามจนนางอดที่จะยิ้มออกมากับภาพที่เห็นไม่ได้
“พลังวิญญาณของข้าคือหิ่งห้อยศักดิ์สิทธิ์ เอาล่ะต่อไปข้าจะเริ่มปลุกพลังวิญญาณในตัวเจ้า”
ชายชราวาดแขนรวบรวมพลัง หิ่งห้อยตัวหนึ่งบินมาเกาะที่นิ้วของชายชรา มันค่อยๆ บินช้าๆ มาทางฟางเหนียง แสงสีทองลอยออกมาจากตัวมันจากนั้นบินไปเกาะที่ระหว่างคิ้วของหญิงสาว ความอบอุ่นของแสงเหล่านั้นทำให้ฟางเหนียงจิตใจสงบ ทันทีที่หิ่งห้อยบินมาเกาะหญิงสาวจึงหลับตาลงจากนั้นหิ่งห้อยตัวนั้นค่อยๆ สลายตัวกลายเป็นสัญลักษณ์รูปเพชรสีขาว แสงสีขาวสว่างออกมาจากระหว่างคิ้ว พร้อมกับร่างของหญิงสาวที่ค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือพื้น ทุกคนที่ได้เห็นต่างตกตะลึงมองนางด้วยใบหน้ายินดี แสงสีขาวเป็นแสงของพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง ครานี้ก็เหลือเพียงว่าสัตว์วิญญาณของนางจะเป็นสัตว์ชนิดใดและใช่สัตว์ที่พวกเขาคาดการณ์ไว้หรือไม่
แสงสีขาวเป็นคลื่นดั่งสายน้ำล่องลอยจากตัวหญิงสาวไปที่เหนือศีรษะของนาง จากนั้นรวมกันเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ตัวสีขาวรูปร่างสูงราว 3 เมตร
ฟรี๊ก~~~~
นกตัวสีขาวทั้งตัวกางปีกกว้าง พร้อมทั้งส่งเสียงร้องออกมาอย่างประกาศความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม ปีกของมันทั้งกว้างและใหญ่จนทำเอาของตกแต่งภายในห้องแตกกระจายไปทั่วทั้งห้อง ทุกครั้งที่กระพือปีกพัดเอาความเย็นจนของบริเวณกลายเป็นน้ำแข็ง ปีกสวยพลิ้วไสวส่งกลิ่นหอมสะอาดแต่กลับเย็นสดชื่นออกมา ที่ร่างกายฟางเหนียงตอนนี้มีบางอย่างเปลี่ยนแปลง ดวงตางามเปลี่ยนเป็นสีฟ้าคราม ผมยาวมีแสงสีฟ้าเหมือนเป็นหยดน้ำกระจายไปทั่วทุกบริเวณ
“นี่มัน….นี่มันฟินิกซ์ขาววิหคเหิน”
ผู้เฒ่าเซียวเซ่อเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ ทั้งชีวิตที่เขาปลุกพลังวิญญาณ เพียงเคยพบผู้ที่มีพลังวิญญาณของสัตว์ระดับสูงเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น ฟินิกซ์ขาววิหคเหิน เขาเองก็ยังไม่เคยได้พบเจอเพียงเคยได้ยินท่านอาจารย์ที่ล่วงลับของตนเอ่ยเท่านั้น วันนี้เขามีเกียรติได้เป็นผู้ปลุกมันขึ้นมาเองนับว่าทั้งชีวิตของเขาคุ้มค่าแล้ว
แต่ขณะนั้นจู่ๆ ฟางเหนียงที่ลอยอยู่เหนือพื้นก็กระอักเลือดออกมาคำโต โลหิตสีแดงหยดลงบนพื้นด้านล่างขณะที่ร่างของนางเองก็กำลังร่วงลงมาที่พื้น หนิงเฟิ่งเหลือบไปเห็นเศษไม้ที่แหลมคมจากการปล่อยพลังวิญญาณจนข้าวของเสียหาย ด้วยความเร็วของเขาจึงพุ่งออกไปรับร่างของนางได้ทันท่วงที กลิ่นหอมสะอาดจากตัวชายหนุ่มทำให้ฟางเหนียงรู้สึกประหม่า หัวใจของนางเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้ แต่เพราะตอนนี้ร่างกายไม่อาจฝืนต่อไปได้แล้ว เปลือกตาบางค่อยๆ หลับลงก่อนที่จะสลบไปอีกครั้ง
“พลังที่นางปล่อยออกมามีมากจนเกินไป อีกทั้งร่างกายของนางยังล้มป่วยมันเกินขีดจำกัดของนาง เช่นนั้นวันนี้ก็พอเท่านี้เถอะ”
หนิงเฟิ่งเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาที่นี่ ขณะที่มือก็ยังคงส่งพลังภายในไปที่ตัวหญิงสาวเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณ
“ที่นี่พังจนหมดแล้ว พานางไปพักที่เรือนข้าก็ได้ขอรับ”
หยงอี๋เอ่ยอย่างแสดงความคิดเห็น หนิงเฟิ่งพยักหน้าเห็นด้วย และอุ้มนางออกจากเรือนไป
ระหว่างทางไปเรือนมณีเมฆา
“นั้นเจ้าสำนักนิ่ เหตุใดถึงได้อุ้มแม่นางฟางเหนียงเช่นนั้น”
เสียงศิษย์ในสำนักเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเจ้าสำนักของตนอุ้มหญิงสาวออกมา
“นางอาจจะเรียกร้องความสนใจอะไรก็ได้ เจ้าไม่เห็นหรือไม่ได้มีเพียงเจ้าสำนัก แต่ยังมีรองเจ้าสำนักที่เดินตามหลังอยู่ด้วย”
ศิษย์อีกคนเอ่ยเสริม แต่ขณะนั้นเองเป็นจังหวะที่หญิงสาวหน้าตางดงาม รูปร่างบอบบางออกไปทางน่ารักน่าทะนุถนอม สวมชุดสีชมพูดูสดใส วางท่าทีสง่างาม มองตามแผ่นหลังกว้างของชายที่ตนเองรักกำลังอุ้มหญิงสาวที่ตนเกลียด มือบางกำเข้าหากันแน่นแต่ใบหน้ากลับเปื้อนรอยยิ้ม เหมือนกับว่าตนไม่ได้รู้สึกอันใดกับภาพตรงหน้า
“คารวะแม่นางเหลียนฮวา ท่านมาพบเจ้าสำนักหรือขอรับ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้หญิงสาวรู้สึกตัว ก่อนที่จะหันหน้าไปทางต้นเสียง หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร เพราะผู้นี้คืออาเหยาที่นางรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาคือผู้ช่วยของเจ้าสำนักหนิงเฟิ่งชายที่ตนเองรักนั่นเอง
“เจ้าค่ะ ข้ามิได้นัดไว้ล่วงหน้ามิรู้ว่าเจ้าสำนักยุ่งอยู่หรือไม่”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“หากเป็นท่าน เจ้าสำนักยินดีอยู่แล้วขอรับ เช่นนั้นแม่นางไปรอที่ตำหนักหลิวรุ่ยก่อน ตอนนี้เจ้าสำนักกำลังติดธุระเพียงครู่”
หญิงสาวยิ้มกว้างเหมือนว่าตนไม่ได้เห็นอันใดเมื่อสักครู่ และเดินตามอาเหยาไป ตลอดทางศิษย์คนอื่นต่างมาดูแม่นางเหลียนฮวาที่งดงาม เสียงเอ่ยชมมีให้ได้ยินไม่หยุด หญิงสาวยิ้มให้ทุกคนอย่างพอใจถึงอย่างไรสำนักแห่งนี้ต้องมีเพียงตนเท่านั้นที่ได้เป็นนายหญิงใหญ่
