ตอนที่ 11 ขอร่ำเรียนและฝึกฝนพลังวิญญาณ
ณ เรือนมณีเมฆา
หนิงเฟิ่งวางหญิงสาวให้นอนราบไปกับเตียงนุ่ม และจัดแจงท่าทางให้นางอย่างเบามือ มือหนาล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมา จากนั้นเช็ดคราบเลือดที่ริมฝีปากให้นาง ดวงตาเข้มมองใบหน้าที่ขาวซีดไร้เลือดฝาดของนาง จู่ๆ ก็ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตตอนที่ทั้งคู่พึ่งได้รู้จักกัน
.
เมื่อ 15 ปีที่แล้ว
"ท่านพี่หนิงเฟิ่ง รอฟางเหนียงด้วยเจ้าค่ะ"
เสียงเล็กเอ่ยร้องพร้อมทั้งพยายามปีนโขดหินขนาดใหญ่ เพื่อไปให้ทันเด็กชายที่ตนเองเรียก
"ฟางเหนียงเจ้าไม่ต้องตามข้ามา ข้าบอกเจ้าแล้วว่ามิชอบคนโง่เง่าเช่นเจ้า ไปให้พ้นหน้าข้าซะ"
เสียงของเด็กชายเอ่ยออกมาด้วยท่าทางไม่พอใจ เขาโกรธที่นางนำเรื่องที่ตนทำผิดไปบอกเจ้าสำนักบิดาของตน ทุกครั้งที่บิดาของนางมาหาบิดาของเขา นางก็จะมาด้วยเสมอและยังตามติดเขาเป็นหมีหิวน้ำผึ้งเช่นนี้ คราใดที่นางอยู่ใกล้เขาก็มักจะทำให้เขาโชคไม่ดีครานั้น หากยิงนกก็จะยิงไม่โดน หากตกปลาก็จะไม่มีปลากินเบ็ด ตอนนั้นเขาถึงขนาดที่ตั้งฉายาให้นางคือตัวอับโชค
.
ปัจจุบัน
ดวงตาคมเก็บผ้าที่เช็ดเลือดนาง และมองใบหน้านางที่ยังคงไม่ได้สติ ตัวอับโชคในครานั้นกลับกลายมาเป็นคนที่เขาเกลียดและไม่อยากที่จะอยู่ใกล้นางแม้เพียงก้าว แต่กลับต้องดูแลนางเหมือนอย่างคนในครอบครัวคนหนึ่ง
หนิงเฟิ่งนั่งลงที่ข้างเตียงหญิงสาวจากนั้นถ่ายทอดพลังวิญญาณของตนเอง โดยการวางมือไว้ที่หลังของนาง เกิดแสงสีขาวเข้าไปที่ตัวของฟางเหนียง ทางด้านหยงอี๋ตอนนี้เม็ดเหงื่อก่อตัวที่หน้าผากของเขา จนแทบจะไม่สามารถทนต่อไปได้ พลังของเขาไม่ใช่พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด ฉะนั้นเวลาถ่ายทอดพลังให้ผู้ที่มีพลังของสัตว์วิญญาณมากกว่าตนจะทำให้พลังของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว
"เจ้าพักเถอะ"
หนิงเฟิ่งหันมาเอ่ยกับหยงอี๋ ส่วนตนเองนั้นยังคงส่งพลังไปให้หญิงสาวต่อ เขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ฟางเหนียงตอนนี้ใบหน้าที่ซีดเซียว ผ่านชั่วครู่เริ่มมีเลือดฝาดปรากฏให้เห็น เปลือกตาบางค่อยๆ ขยับอีกครั้งจึงทำให้ชายหนุ่มทั้งสองที่อยู่ในห้องมีสีหน้าที่ดีขึ้น
"เจ้าสำนัก"
เสียงแหบเอ่ยเรียกชายหนุ่มทันทีที่ลืมตาขึ้น หนิงเฟิ่งไม่ได้เอ่ยอันใดเพียงแค่พยักหน้าให้นางเท่านั้น 'ทำไมเขามีท่าทางแปลกไป' หญิงสาวเอ่ยกับตนเองในใจ กลิ่นหอมสะอาดของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
เมื่อเห็นว่านางไม่ได้เป็นอะไรแล้ว เขาจึงลุกยืนออกห่างจากนางพอสมควรและตีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม หยงอี๋ที่เห็นสถานการณ์เงียบไป จึงเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่เตียงนอนของตน แต่ตอนนี้กลับมีหญิงสาวยึดครองไว้แล้ว
"เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ก่อนหน้านี้เจ้าระเบิดพลังวิญญาณออกมามากจนเกินไปทำให้ร่างกายเจ้าแบกรับมันไม่ไหว"
"ขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยข้าไว้"
หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและโค้งตัวเล็กน้อย แต่ขณะนั้นเองกลับได้ยินเสียงของผู้มาใหม่เดินเข้ามาขัดจังหวะทุกคน
"มีอะไร"
หนิงเฟิ่งเอ่ยถามเสียงเข้ม เมื่อเห็นว่าลูกน้องของตนไม่ได้เอ่ยขออนุญาตก่อนที่จะเข้ามา
"ขออภัยเจ้าสำนัก ข้ารีบจนลืมตัว"
อาเหยาเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
"อืม"
"เรียนเจ้าสำนัก แม่นางเหลียนฮวามาพบท่านที่ตำหนักหลิวรุ่ยขอรับ"
ทันทีที่ได้ยินหนิงเฟิ่งมีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย และใช้หางตามองมาทางหญิงสาวก่อนทีจะสะบัดแขนเสื้อและเดินออกไปจากเรือน ฟางเหนียงเบ้ปากเล็กน้อยอย่างมั่นไส้ 'มองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น กลัวว่าข้าจะไปทำร้ายนางอีกหรือไง ชิ!!' หญิงสาวได้แต่เอ่ยเหน็บแนมเขาตามหลังในใจ
"ข้ามีเรื่องอยากที่จะคุยกับท่านเจ้าค่ะ"
ฟางเหนียงเอ่ยออกไปด้วยความประหม่าเล็กน้อย เมื่ออยู่ด้วยกันเพียงสองคน
"เรื่องเหรียญเงิน หรือคนรับใช้ล่ะเจ้าพูดมาเถอะ"
หยงอี๋เอ่ยขึ้นพลางลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ จากนั้นรินชาขึ้นดื่มเพราะเมื่อสักครู่เขาใช้พลังวิญญาณไปมากเช่นกัน ทุกครั้งที่นางเอ่ยปากเช่นนี้คงไม่พ้น 2 เรื่องนี้ทำให้เขาคาดเดาได้ไม่ยาก
"ไม่ใช่ทั้ง 2 เรื่องเจ้าค่ะ"
"หื้อ?"
หยงอี๋รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยิน
"ท่านก็รู้ว่าตอนนี้ข้ามีพลังวิญญาณ อีกทั้งเป็นสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งสูงสุด จากที่ข้าฟังพวกท่านพูดเกรงว่าคงจะมีเพียงไม่กี่คนบนแผ่นดิน ท่านจะยอมให้สัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ได้รับการฝึกฝนหรือถูกเก็บงำเอาไว้หรือเจ้าคะ"
ฟางเหนียงอธิบายอย่างหว่านล้อมให้รองเจ้าสำนักหยงอี๋คิดตาม
"เช่นนั้นเจ้าหมายถึง เจ้าจะขอร่ำเรียนและฝึกฝนพลังวิญญาณหรือ"
"เจ้าค่ะๆ จะมีทางเป็นไปได้หรือไม่เจ้าคะ"
ฟางเหนียงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบตอบอย่างรวดเร็ว พร้อมทำตาโตอย่างเด็กน้อยที่เห็นของที่ชอบ
"เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่ข้าตัดสินใจได้"
"ท่านรองเจ้าสำนัก...."
หญิงสาวเอ่ยพร้อมทำท่าทางออดอ้อน
"เฮ้อ~~~ เช่นนั้นข้าจะลองหารือกับเจ้าสำนักให้เจ้าก็แล้วกัน"
"ขอบคุณรองเจ้าสำนักเจ้าค่ะ"
"เอาเถอะ เจ้าพักผ่อนที่นี่ก่อน หากเรือนเจ้าซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยย้ายไป"
"ขอบคุณท่านอีกครั้งเจ้าค่ะ"
หยงอี๋เพียงพยักหน้าและเดินออกไป
