ตอนที่ 6 ข้าทำให้ท่านขายหน้าหรือเจ้าคะ
“คารวะเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นพร้อมทำท่าคารวะ มีเพียงหยงอี๋ที่พยักหน้าและยิ้มให้นาง แต่หนิงเฟิ่งกลับไม่ได้สนใจเขาใช้หางตาเหลือบดูเล็กน้อย และเดินเลยนางออกไปจากตำหนัก
“ตกลงเจ้ามีอันใด”
“ข้าจะมาขออนุญาตออกนอกสำนักเจ้าค่ะ”
“ออกไปที่ใดหรือ”
“ไปตลาดเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้น เจ้าไปรับป้ายกับเชียวรุ่ยที่หอผดุงคุณธรรมบอกว่าข้าอนุญาตแล้ว”
หยงอี๋เอ่ยอนุญาตอย่างง่ายดาย เพราะหญิงสาวมักออกไปตลาดเช่นนี้บ่อยอยู่แล้ว
ฟางเหนียงจ้างรถมาให้มาส่งที่ตลาด ใช้เวลาเพียง 2 เค่อก็ถึง สำนักเพลิงวิหคอยู่บนเขาส่วนตลาดอยู่ที่ตีนเขา หญิงสาวลงจากรถม้าก็ต้องตกตะลึง นางอยากจะกรี๊ดให้เสียงแหบ นี่มันสวยและครึกครื้นเกินไปแล้วเดิมทีคิดว่าตลาดสมัยก่อนจะต้องดูสกปรกเหมือนที่เคยเห็นในทีวี แต่นี่ทั้งดูสะอาดและของที่ขายก็ดูงดงามและน่าทานไปหมด เสียงของพ่อค้าแม่ขายต่างส่งเสียงเรียกลูกค้าไม่หยุด หญิงสาวหยุดร้านนั้นทีร้านนี้ทีอย่างเพลิดเพลิน นางถามค่าเงินมาจากเชียวรุ่ยผู้ช่วยคนสนิทของรองเจ้าสำนักเรียบร้อยแล้ว โดยให้เหตุผลว่าแต่ก่อนนางมีคนรับใช้คอยดูแลจึงทำให้ไม่รู้ ถึงเหตุผลมันจะดูโง่งมไปหน่อย แต่เพื่อความอยู่รอดก็ต้องยอมให้คนอื่นดูแคลน เดิมทีก็ไม่ได้ดูดีในสายตาของคนในสำนักอยู่แล้วแค่นี้ก็คงไม่เป็นอันใด
1 เหรียญทอง เท่ากับ 10 เหรียญเงิน 1 เหรียญเงิน เท่ากับ 10 เหรียญทองแดง คราแรกนางคิดว่ามันเยอะแต่เมื่อมาใช้จ่ายจริงๆ กลับรู้ว่ามันก็ไม่ได้เยอะ เพราะของส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถูก แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกกังวลเพราะเช่นไรก็สามารถขายเครื่องประดับของตนได้ เหรียญที่มีตอนนี้เริ่มลดไปมากแล้วกับการซื้อของกิน หญิงสาวจึงมองหาร้านเครื่องประดับเพื่อจะแลกมันเป็นเหรียญเงินเพราะที่นี่ร้านรับซื้อและขายเป็นร้านเดียวกัน และก็มีมากมายหลายร้านเต็มไปหมด
“ร้านนี้แล้วกัน”
หญิงสาวเอ่ยกับตนเองก่อนที่จะเดินเข้าร้านไป ร้านนี้ดูไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปอีกทั้งยังมีผู้คนเข้าออกตลอด น่าจะให้ราคาดี
“ไอ้หยา คุณหนูฟางเหนียง ข้าไม่เห็นท่านมาเป็นแรมเดือนยังคิดว่าท่านเปลี่ยนจากร้านข้าไปซื้อร้านอื่นเสียแล้ว”
เถ้าแก่ออกมาต้อนรับหญิงสาวอย่างดี ฟางเหนียงทำตัวไม่ถูก เพราะตนนั้นไม่เคยรู้จักมาก่อนมีเพียงเจ้าของร่างนี้เท่านั้นที่รู้จัก
“วันนี้ท่านมาคนเดียวหรือขอรับ”
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยรับอย่างง่ายดาย ปกติหากนางออกมาข้างนอกจะมีคนรับใช้ข้างกาย และองครักษ์อีก 1 แต่คนเหล่านั้นกลับถูกไล่ออกไปแล้ว เนื่องจากมีโทษที่ไม่ห้ามหญิงสาวทำตัวไม่ดี อีกทั้งยังเห็นด้วย จึงทำให้นางโดดเดี่ยวเช่นนี้
ฟางเหนียงเอ่ยคุยกับเจ้าของร้านด้านหน้า โดยที่ไม่รู้เลยว่าในร้านตอนนี้หนิงเฟิ่งเจ้าสำนักเพลิงวิหคเองก็อยู่ในร้านด้วยเช่นกัน เขาตั้งใจมาเลือกซื้อเครื่องประดับเพื่อให้หญิงสาวที่เขาชมชอบ และกำลังยืนฟังทั้งคู่คุยกัน
“ไม่เป็นไรๆ วันนี้มีเครื่องประดับเข้ามาใหม่ทั้งนั้นเลย ท่านจะดูสิ่งไหนขอรับ”
“เอ่อ….คือว่า…วันนี้ข้ามิได้มาซื้อแต่มาขาย”
หญิงสาวเอ่ยออกไปในที่สุด นางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ดูจากท่าทางของเถ้าแก่ร้านแล้วร่างนี้คงเป็นลูกค้าประจำที่สร้างเงินให้ร้านนี้ไม่น้อยเป็นแน่ แต่วันนี้กลับนำมาขายเหมือนคนไม่มีอันจะกินเสียอย่างนั้น แล้วจะให้ทำเช่นไรก็นางไม่มีเงินหนิ เถ้าแก่ที่ยิ้มกว้างเมื่อสักครู่ ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหญิงสาวถึงกับต้องหุบยิ้มลง
“ขะ…ขายเช่นนั้นหรือ”
“ใช่ข้ามาขาย ท่านช่วยดูให้ข้าทีว่าชิ้นนี้พอขายได้กี่เหรียญ”
หญิงสาวเอ่ยพลางยื่นปิ่นทองไปให้เถ้าแก่ร้าน เถ้าแก่ร้านถึงกับเหงื่อตก หนิงเฟิ่งที่แอบฟังอยู่ถึงกับกำหมัดแน่นและเดินออกมาทางหญิงสาวทันที เขาคว้าข้อมือหญิงสาวและไม่ลืมที่จะนำปิ่นชิ้นนั้นกลับมาด้วย จากนั้นลากนางออกจากร้านในทันที
“ท่านเจ้าสำนัก”
ฟางเหนียงเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ และพยายามแกะมือเขา ชายหนุ่มไม่เพียงไม่ปล่อยแต่บีบมือหญิงสาวแน่นกว่าเดิมด้วยความโมโห
“ท่านเจ้าสำนักข้าเจ็บ ปล่อยข้านะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นเสียงสั่น แต่นั่นก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มปล่อยจนถึงบริเวณที่ปลอดผู้คนจึงยอมปล่อยแต่โดยดี
“ท่านเป็นบ้าหรืออย่างไร”
หญิงสาวเอ่ยอย่างเหลืออดเมื่อเขาปล่อยมือ ทำให้ปรากฏรอยช้ำสีแดงเป็นรอยนิ้วชายหนุ่มที่ข้อมือ
“เจ้าสิบ้า สำนักข้าเลี้ยงดูเจ้าไม่ดีหรืออย่างไรถึงขนาดต้องนำมาขายเช่นนี้”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงดังใส่หญิงสาว
“เงินที่เจ้าใช้ในแต่ละเดือนมากเสียกว่าเงินของศิษย์ในสำนักรวมกัน 10 คนเสียอีก”
“ข้าทำให้ท่านขายหน้าหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามเสียงเบา นางมีน้ำตาคลอเล็กน้อยที่ชายหนุ่มตะคอกนาง ใครจะรู้ว่าห้ามนำของมีค่ามาขายเช่นนี้กัน
“มันไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าข้าขายหน้าหรือไม่ แต่เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดสร้างปัญหาเสียที หญิงที่ไร้ประโยชน์เช่นเจ้าเหตุใดถึงสร้างปัญหาไม่รู้จบเสียที ต่อไปนี้หากเจ้าใช้เงินในแต่ละเดือนหมดก็ห้ามออกนอกสำนักหรือแม้แต่นำของออกมาขายอีก”
ชายหนุ่มตะคอกเสียงดังใส่หน้าหญิงสาว จากนั้นเดินขึ้นรถม้าไป ฟางเหนียงยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ความรู้สึกน้อยใจพรั่งพรูออกมาเป็นหยดน้ำตาที่พยายามกลั้นไม่ให้ร้องให้ต่อหน้าเขา
“แล้วข้าจะรู้ได้เช่นไร ว่าห้ามนำของมีค่ามาขายถึงแม้ว่ามันจะคือของของข้าก็ตาม”
หญิงสาวเอ่ยอย่างตัดพ้อก่อนที่จะยกมือของตนปาดน้ำตาลวกๆ
