บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5 สหายคนแรก

ภายในอ่างน้ำที่ทำจากไม้ขนาดใหญ่ อากาศเย็นในช่วงปลายฤดูสารท เมื่อสัมผัสกับน้ำอุ่นๆ ในอ่างไม้ทำให้มีควันล่องลอยอบอวลไปทั่วทั้งห้องอาบน้ำ หญิงสาวรูปร่างบอบบาง ผิวขาวเนียนกำลังมีสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วผูกเป็นปม ในมือถือสมุดที่ดูเก่าเป็นอย่างมาก เหมือนผ่านการใช้งานนับไม่ถ้วน

"โถ่ววว ร่างนี้ทำตัวโง่เง่าขนาดนี้ไปได้อย่างไร ขืนให้ข้าอยู่ในร่างนี้ต่อไปหากต้องไปเจอผู้คนด้านนอก คงต้องหาอะไรมาคลุมหัวเป็นแน่ ข้าอายในความโง่จริงๆ"

ฟางเหนียงอุทานออกมาอย่างเหลืออด จากนั้นปิดสมุดบันทึกและหลับตาลงแช่น้ำอุ่นอย่างสบายใจ หนังสือเล่มนี้นางเก็บได้เมื่อวันก่อนตอนเดินสำรวจห้องนี้ มันคือสมุดบันทึกของสาวใช้ที่เคยดูแลฟางเหนียงก่อนที่นางจะเข้ามาในร่างนี้ ทั้งนิสัยและเรื่องราวต่างๆ ที่เคยทำ ไม่ว่าจะเป็นวางแผนทำให้เจ้าสำนักสนใจ อย่างเช่นเรื่องเรียกร้องความสนใจโดยการถูกทำร้าย ทำขนมไปให้ตามเอาใจเขาแต่กลับถูกไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมา หรือคอยรังควานหญิงสาวที่มาเข้าใกล้ชายหนุ่ม นางก็จะคอยดักทำร้าย การกระทำต่างๆ ไม่มีชั้นเชิงสักนิด มองจากดาวอังคารก็รู้ว่านางโง่เง่ามากแค่ไหน

"ฟางเหนียงนะฟางเหนียง ความสามารถก็ไม่มีจนผู้คนเรียกว่าตัวไร้ค่า แต่กลับมั่นใจว่าตนเองอยู่เหนือผู้อื่นเช่นนี้หากไม่เรียกว่าเจ้าไม่มีสมองก็คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วล่ะ"

ในบันทึกยังเล่าถึงเรื่องราวในโลกนี้อีกด้วย สิ่งนี้ยังพอมีประโยชน์กับนางในอนาคต นั่นก็คือโลกนี้ผู้คนที่นี่เรียกว่าโลกของพลังวิญญาณ ถูกปกครองเป็นเมืองๆ ไป โดยมีทั้งหมด 5 เมืองทั่วทั้งแผ่นดิน สำนักเพลิงวิหคแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองหนานซาง ผู้คนส่วนใหญ่ก็ทำอาชีพเหมือนอย่างคนทั่วไปในยุคอดีต และโลกของพลังวิญญาณนี้เองทำให้คนส่วนหนึ่งของที่นี่มีพลังวิญญาณของสัตว์อย่างที่นางเคยเจอเมื่อหลายวันก่อน กล่าวคือเมื่ออายุถึงเกณฑ์เด็กทุกคนจะถูกปลุกพลังโดยคนที่มีความสามารถ ทุกคนเรียกเขาว่าผู้ทำพิธีปลุกพลังวิญญาณ ผู้ใดที่ถูกปลุกแล้วมีพลังวิญญาณก็จะกลายเป็นผู้ที่มีความสามารถเหนือคน คนที่มีพลังวิญญาณไม่ได้มีทุกคน มีเพียง 4 ใน 10 ส่วนของผู้คนทั่วทั้งโลกแห่งนี้เท่านั้นที่มีพลังวิญญาณ

พลังวิญญาณอยู่ในรูปของสัตว์แต่ละชนิด แต่ละคนจะไม่เหมือนกันตามการสืบทอดทางสายเลือดของแต่ละคนจากบิดาหรือมารดา แต่ก็มีในบางคนที่บิดามารดาไม่ได้ถ่ายทอดมาถึงลูกจนมีพลังวิญญาณได้ กล่าวคือพลังวิญญาณนั้นขึ้นอยู่กับตัวคนนั่นเอง พลังวิญญาณขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแต่สัตว์ชนิดนั้นๆ และความสามารถก็ยังแตกต่างกันด้วย มีทั้งด้านพละกำลัง ว่องไว โจมตี ป้องกัน หรือในบางตัวก็มีครบทุกด้าน แต่ทุกคนล้วนต้องได้รับการชี้แนะและฝึกตน จึงเป็นที่มาของการตั้งสำนักต่างๆ

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้องของหญิงสาว ปลุกให้ฟางเหนียงที่กำลังนั่งหลับตาอย่างใช้ความคิดในอ่างน้ำอุ่นลืมตาขึ้น จากนั้นลุกขึ้นสวมชุดอย่างเร่งรีบ ก่อนที่จะรีบเดินไปเปิดประตูโดยที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไม่มีอะไรแต่งแต้มทั้งนั้น เผยให้เห็นใบหน้าของนางที่อ่อนเยาว์

"เจ้า...."

หญิงสาวที่มาเคาะประตูคือคนที่ช่วยนางเมื่อหลายวันก่อน ที่มีคนร้ายลักลอบเข้ามาในสำนัก หญิงสาวดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มหน้าตาอีกทั้งยังไม่มีเครื่องประดับ

"เจ้านั้นเอง เข้ามาก่อนสิ"

ฟางเหนียงเอ่ยด้วยความเป็นมิตร นางเห็นสีหน้าของหญิงสาวก็รู้ได้ทันทีว่าตกใจเรื่องอันใด ก็ในบันทึกนั้นมีบอกว่าแต่ก่อนฟางเหนียงชอบแต่งหน้าหนา อีกทั้งยังดูตลกใครจะห้ามก็ไม่ฟัง ตอนนี้หน้านางไม่ได้แต่งแต้มสิ่งใดจึงเผยให้เห็นผิวที่ดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดี

"ข้าเข้าไปได้หรือ"

หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ เพราะนิสัยเช่นนี้ของฟางเหนียงนางเองก็ไม่เคยเห็น ฟางเหนียงยิ้มให้และพยักหน้าเดินเข้าไปก่อน

"ที่ข้ามาวันนี้เพราะข้าได้ยินมาว่าวันนั้นเป็นเจ้าที่เอาตัวบังข้าตอนที่ข้าสลบไปแล้วจนได้รับบาดเจ็บที่แขน"

"เจ้าอย่าได้คิดมากไป เป็นเจ้าต่างหากที่ช่วยและปกป้องข้าจนสลบไป ไม่เช่นนั้นข้าอาจจะตายไปก่อนเจ้าแล้วก็ได้"

"แต่นั่นเป็นเพราะข้ามีพลังวิญญาณ แต่เจ้ากลับไม่มีอะไรเลย"

หญิงสาวเอ่ยออกไปตามตรง ในฐานะที่นางมีพลังวิญญาณเรื่องเช่นนี้สมควรแล้ว แต่ฟางเหนียงนั้นไม่เหมือนกันที่ไม่มีพลังวิญญาณพอที่จะช่วยตนเองหรือนางเลยด้วยซ้ำ ฟางเหนียงมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างใช้ความคิด นางพูดเช่นนี้แสดงว่ายังไม่รู้ว่าข้ามีพลังวิญญาณสินะ หญิงสาวคิดไปถึงเหตุการณ์ตอนนั้น และในที่สุดก็นึกได้ว่านางสลบไปก่อน 'ค่อยยังชั่วที่นางไม่เห็น' หญิงเอ่ยกับตนเองในใจ

"เรื่องมันผ่านไปแล้ว เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย ว่าแต่เจ้ามีนามว่าอันใดหรือ ข้ายังไม่รู้จักเจ้าเลย"

ฟางเหนียงเอ่ยถามไปตามตรงเพราะบอกตรงๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่นางไม่รู้จักใครเลย มันโดดเดี่ยวเกินไปแล้วและอีกอย่างร่างนี้ก็ไม่มีครอบครัวหรือพี่น้องเลย มันช่างเหมือนในโลกเก่าของนาง โดดเดี่ยวอย่างไรก็อย่างนั้นแต่ในตอนนี้นางกลับไม่อยากจบชีวิตเหมือนโลกก่อน นึกเสียว่าสวรรค์ส่งนางให้มาเที่ยวเล่นในโลกที่คนอื่นไม่เคยได้สัมผัสมันแล้วกัน

"ข้ามีนามว่าจ้าวเย่ว"

"ยินดีที่ได้รู้จัก ส่วนชื่อข้าเจ้าน่าจะรู้แล้วล่ะ"

“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

จ้าวเย่วเอ่ยพร้อมเดินออกไปจากห้อง ฟางเหนียงไม่ได้ห้ามหญิงสาวไว้แต่อย่างไร เพราะสภาพตนเองตอนนี้ก็ไม่พร้อมที่จะรับแขกมากเท่าไหร่ เมื่อจ้าวเย่วไปแล้วหญิงสาวก็รีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ และแต่งหน้าอย่างบางเบา วันนี้นางอยากออกไปตลาด ในบันทึกบอกว่าที่นี่มีตลาดขนาดใหญ่ นางอยากที่จะซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ เพราะชุดที่มีมันฉูดฉาดเกินไป นางไม่กล้าสวมใส่มันจริงๆ ทั้งสีเอยอะไรเอย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็เตรียมตัวที่จะเดินออกไป

“เงินล่ะ”

หญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างนึกได้ ที่นี่ใช้เหรียญเงินเป็นการแลกเปลี่ยน เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เปิดลิ้นชักออกมา แต่พบว่ามันมีเพียงเหรียญทองอยู่เหรียญเดียว

“มีแค่นี้แล้วข้าจะซื้ออะไรได้บ้างเนี่ย แล้วมันมีค่าเท่าไหร่กัน”

หญิงสาวเอ่ยพลางพลิกมันไปมา เฮ้อแค่ค่าของเงินข้ายังไม่รู้เลยหรือเนี่ย แล้วอย่างนี้จะไปซื้อของอย่างไรกัน หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบเครื่องประดับของตนที่มีอยู่ติดมือไป 2-3 ชิ้น เผื่อไม่พอที่จะจ่ายค่าของจึงจะใช้แลกเปลี่ยนมันเป็นเหรียญเงินซะ

“ของจริงป่ะเนี่ย”

หญิงสาวไม่พูดเปล่าแต่ใช้ปากกัดมันอย่างพิสูจน์ แต่เมื่อคิดว่าอย่างไรเจ้าสำนักหน้าดุผู้นั้นก็คงไม่ปล่อยให้คุณหนูของสำนักต้องใช้ของปลอมเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงเดินออกจากเรือนพักของตนเองไป หญิงสาวตรงไปที่ตำหนักหลิวรุ่ย ที่เรียกว่าตำหนักเพราะที่นี่ใหญ่เกินกว่าที่จะเรียกเรือน ซึ่งเป็นเรือนที่เจ้าสำนักพักอยู่ที่นี่ ถูกแยกออกมาจากสำนักเพราะต้องการความเงียบสงบ ที่ด้านหลังตำหนักมีน้ำตกดูเงียบสงบ ที่ฟางเหนียงมาที่นี่เป็นเพราะรองเจ้าสำนักอยู่ที่นี่ หลายวันมานี้นางพยายามศึกษาแผนที่และเรือนต่างๆ ของสำนักจนจำได้แม่นจะได้ไม่หลง

“เจ้ามีอันใดถึงได้มาที่นี่ เจ้าสำนักสั่งห้ามว่าไม่ให้เจ้าเข้าตำหนัก”

องครักษ์หน้าตำหนักเข้ามาขวาง

“ข้ามิได้มาหาเจ้าสำนัก เพียงมารอพบท่านรองเจ้าสำนัก เชียวรุ่ยบอกว่าท่านรองเจ้าสำนักมาพบเจ้าสำนักที่นี่”

หญิงสาวเอ่ยออกไปตามตรง เพราะก่อนจะออกไปนอกสำนักได้ทุกคนต้องมาขออนุญาตรองเจ้าสำนักก่อนเสมอ

“เช่นนั้นรอสักครู่ แต่ห้ามเจ้าเข้าไปเด็ดขาดรอได้เพียงตรงนี้ด้านนอก”

“รับทราบเจ้าค่ะ”

หญิงสาวล้อเลียนองครักษ์ที่ยืนเฝ้าหน้าตำหนัก ดูจากการแต่งกายคงไม่ได้เป็นแค่องครักษ์ธรรมดาเป็นแน่ และก็เป็นอย่างที่คาดผ่านไปเพียงชั่วครู่ ก็มีองครักษ์อีกคนรีบวิ่งเข้ามา

“ขอบคุณท่านอาเหยาที่ช่วยขอรับ” ทหารนายนั้นเดินมาแทนที่องครักษ์ที่ชื่ออาเหยา จึงทำให้หญิงสาวรู้ได้ทันทีว่านี่คงต้องเป็นอาเหยาที่เป็นผู้ช่วยเจ้าสำนัก ซึ่งมันมีอยู่ในสมุดบันทึก เพราะเมื่อก่อนร่างนี้เคยมีเรื่องกับอาเหยาไว้เยอะ หรือเรียกว่าอาเหยาเป็นคนคอยกันหญิงสาวไม่ให้เข้าใกล้เจ้าสำนัก มันก็ไม่แปลกที่ชายหนุ่มจะเอ่ยกับนางอย่างไม่เป็นมิตรนัก

“อาเหยาบอกว่าเจ้ามีเรื่องจะคุยกับข้าเช่นนั้นหรือ เหตุใดไม่เข้าไป”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นด้านหลังหญิงสาว ฟางเหนียงรีบหันไปตามเสียงเรียกทันทีพบว่าคือหยงอี๋รองเจ้าสำนัก แต่ตอนนี้กลับไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียว แต่ด้านข้างมีเจ้าสำนักมาด้วย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel