ตอนที่ 3 ฆ่านางซะ
ภายในหอผดุงคุณธรรม
"คารวะเจ้าสำนัก"
หยงอี๋เอ่ยขึ้นเมื่อชายหนุ่มเดินเข้า หนิงเฟิ่งเองก็ทำความเคารพตอบเช่นกัน เพราะหยงอี๋อายุมากกว่าตนถึง 10 ปี หนิงเฟิ่งอายุเพียง 30 ปีก็ได้เป็นเจ้าสำนัก ส่วนหยงอี๋มีอายุ 40 กว่าปีแล้ว แต่อายุก็ไม่ได้ทำให้เขาดูแก่เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังดูมีเสน่ห์ด้วยบุคลิกของเขาที่ดูอบอุ่นและเป็นผู้ใหญ่ นั่นก็ทำให้เขาเป็นที่หมายปองของหญิงงามทั่วทั้งเมืองไม่แพ้กัน
“นางยินดีเช่นนั้นหรือ”
หนิงเฟิ่งเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อที่เขาได้ยิน
“ขอรับ นางไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่ขอเวลาอีกสักระยะ”
“หวังว่านี่คงไม่ใช่แผนการของนางอีก”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น หลายครั้งแค่พูดเรื่องนี้กับนาง นางก็จะบ่ายเบี่ยงไม่พูดถึงมัน ครั้งนี้ไม่เพียงนางรับปากแต่โดยดีและยังไม่โมโหร้ายอีกด้วย"
หยงอี๋เอ่ยอย่างใช้ความคิด เรื่องแต่งงานไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยพูดกับนาง ครั้งนี้พวกเขาแค่หวังว่านางจะไม่มีแผนการอะไรขึ้นมาอีก หนิงเฟิ่งเพียงแค่คิดตามแต่ไม่ได้เอ่ยอันใด ในใจของเขามีแม่นางที่ชมชอบอยู่แล้ว ถึงเขาจะไม่ได้ชอบฟางเหนียงแต่เขาสัญญากับบิดาที่ล่วงลับไปแล้วว่าจะดูแลนางอย่างดี ฉะนั้นบุรุษที่มาตกแต่งกับนางก็ควรมีฐานะไม่ต่างจากเขามากนัก หรือหากมีชายใดที่นางชอบที่ไม่ใช่เขา เขาก็เต็มใจที่จะให้นางแต่ง
.
ทางด้านฟางเหนียง หญิงสาวเดินกลับห้องพักตนเองแต่ใช้เวลากว่า 2 เค่อกลับยังไม่ถึงเสียที
"จำได้ว่าตอนเดินตามรองเจ้าสำนักก็มาทางนี้ไม่ใช่หรือ เหตุใดเดินมากว่า 2 เค่อแล้วยังไม่ถึงสักที"
หญิงสาวบ่นให้ตัวเองที่เพียงเวลาผ่านไปไม่นานก็ลืมไปเสียแล้ว แต่แล้วท่ามกลางความเงียบบริเวณที่นางอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
"ช่วยด้วย..."
เสียงคล้ายผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือดังออกมาบริเวณที่นางยืนอยู่ ฟางเหนียงขนลุกซู่เพราะเสียงที่ตนได้ยินนั้นมันเบาและน่ากลัวนางคิดว่าตนคงเจอดีเสียแล้ว เสียงร้องขอให้ช่วยแบบนี้คงไม่พ้น....แต่ขณะที่นางกำลังจะก้าวเพื่อวิ่งหนีไปกลับก้าวไม่ออก เพราะที่คอนางตอนนี้รู้สึกได้ว่ามีของมีคมจี้อยู่ที่คอ ความมันวาวและคมกริบสะท้อนกับแสงแดดในตอนกลางวัน
"ทำตามที่ข้าบอกซะ"
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นด้านหลังหญิงสาว เดาได้ไม่ยากว่าคนที่อยู่หลังนางต้องเป็นผู้ชายแน่ 'เอาแล้วไงผู้หญิงบอบบาง แถมหน้าตาสะสวยแบบข้าทำไมถึงได้โชคร้ายขนาดนี้กันนะ' หญิงสาวกล่าวกับตนเองในใจ และเดินไปตามทางที่ถูกบังคับเป็นมุมอับบริเวณกำแพงของสำนัก ทันทีที่หญิงสาวมาถึงก็รู้ได้ทันที เสียงผู้หญิงที่ร้องขอให้นางช่วยเมื่อสักครู่ไม่ใช่ผีที่ไหน แต่เป็นหญิงสาวที่ถูกจับมาเหมือนนางนี่เอง แต่หากให้พูดตามตรงคงเป็นข้าที่เดินมาผิดทางจนทำให้ตัวเองเดือดร้อนเช่นนี้
"พวกเจ้าเป็นใคร สำนักเพลิงวิหคของเราไม่มีผู้ที่มีพลังวิญญาณเช่นพวกเจ้า"
หญิงสาวที่ถูกจับมาก่อนเอ่ยขึ้น ทำให้ฟางเหนียงรู้สึกตัวและหันหลังไปมองคนที่จับตัวนางมาเมื่อสักครู่ ทันทีที่หญิงสาวเห็นถึงกับแทบจะเป็นลม เพราะของมีคมที่จ่อตรงคอนางเมื่อสักครู่นั้น กลับไม่ใช่มีดหรือดาบอย่างที่นางเข้าใจ แต่มันคือกรงเล็บแหลมคม อีกทั้งที่ด้านหลังของชายคนนั้นยังมีสัตว์รูปร่างคล้ายเหยี่ยวตัวสูงใหญ่กว่าที่นางเคยเห็นในโลกเก่าเป็น 10 เท่า หรือประมาณ 3 เมตร
"นี่มันอะไรกันเนี่ย"
หญิงสาวเผลอพูดออกมาด้วยความตกใจ เพราะนี่มันไม่ใช่คนแล้วมันเหมือนสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
"เงียบปากของเจ้าซะ"
ชาย 1 ในนั้นตะคอกใส่นางเสียงดัง และสัตว์วิญญาณที่นางเห็นของทั้งคู่ก็มีท่าทีดุร้ายขึ้น แต่เมื่อชายคนนั้นหลับตาดูเหมือนรวบรวมพลัง เหยี่ยวตัวมหึมาตัวนั้นก็หายไป เหมือนกลับเข้าไปในร่างชายคนนั้นอย่างไรอย่างนั้น ฟางเหนียงถึงกับขยี้ตาตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้นางอยากจะเป็นลมล้มไปกับพื้นเหลือเกิน แต่กลัวว่าจะถูกจับกินเสียก่อน โลกนี้มันช่างพิลึกเกินไปแล้ว
"ทำเช่นไรกับแม่นาง 2 คนนี้ดี"
"ฆ่าทิ้งซะ"
สิ้นเสียงชายทั้ง 2 คน ก็ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา หนึ่งคนคือพญาเหยี่ยว อีกคนเป็นอีแร้ง ดวงตาของเขาแดงก่ำ เหมือนกับคนทั้งคนกลายร่างเป็นสัตว์อย่างไรอย่างนั้น แต่ก่อนที่พลังของทั้งคู่จะถึงตัวหญิงสาว กลับมีเส้นแสงสีเขียวมาสกัดกั้นไว้ พลังนี้ถูกส่งมาจากหญิงสาวที่ยืนข้างนาง ฟางเหนียงมองทั้ง 3 คนตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ นี่ๆ นี่มันปีศาจชัดๆ อะไรกันเนี่ย แต่หญิงสาวที่ยืนข้างนางกระอักเลือดออกมาคำโต และพลังวิญญาณของนางที่เป็นรูปคล้ายผีเสื้อก็หายไป ฟางเหนียงไม่มีทางเลือกถึงแม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะทำให้ตนกลัว แต่สัญชาตญาณของตนต้องเป็นคนดีเป็นแน่ ฟางเหนียงเข้าไปพยุงนางที่ล้มลงไป
"เจ้าไหวหรือไม่"
ฟางเหนียงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
"เจ้ารีบไป รีบไปตามเจ้าสำนัก"
หญิงสาวคนนั้นเอ่ยสั่งฟางเหนียงเสียงดัง เพราะนางเองก็รู้จักฟางเหนียงดีเรื่องที่นางไม่มีพลังวิญญาณ หากอยู่ต่อที่นี่ทั้ง 2 คน เกรงว่าไม่มีใครรอดเป็นแน่ กรงเล็บคืนโจมตีมาที่ทั้ง 2 คนอีกครั้ง หญิงสาวใช้พลังวิญญาณอีกครั้ง แต่พลังวิญญาณผีเสื้อนั่นนับว่าเป็นพลังที่อ่อนแอและแทบจะอยู่ท้ายสุด หากเรียงระดับความแข็งแกร่ง เมื่อผู้ที่มีพลังวิญญาณที่มากกว่าตนถึง 2 คน สามารถป้องกันได้ถึง 2 คราก็นับว่านางเก่งมากแล้ว
ฟางเหนียงไม่มีจังหวะที่จะหนีออกไป หรือออกไปไกลตัวของหญิงสาวข้างกายที่ช่วยปกป้องตนเองได้เลย การโจมตีรอบที่ 3 เกิดขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวปลดปล่อยพลังวิญญาณปรากฏเกราะสีเขียวป้องกันไว้ แต่การโจมตีครั้งนี้นานเกินไปเลือดสีแดงค่อยๆ ไหลออกมาจากปากของนาง และไม่นานเกราะแสงสีเขียวก็ได้แตกออก และตัวนางเองก็สลบลงไปที่อ้อมกอดของฟางเนียง
"เหลือเพียงเจ้าผู้เดียวแล้ว ได้ข่าวว่าคุณหนูในห้องหอของสำนักเพลิงวิหคงดงามหาใครเทียบ แม้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาแต่เมื่อพบหน้าเจ้าเพียงครั้งแรก ก็พอรู้ได้ว่าเจ้าคือคุณหนูฟางเหนียงผู้นั้นที่สำนักเพลิงวิหคดูแลมาอย่างดี"
"พวกเจ้าหมายความว่าเช่นไร"
ฟางเหนียงเอ่ยถามเสียงสั่นเพราะความกลัว แต่นางก็ทำใจดีสู้เสือ ถึงอย่างไรนางก็เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ในโลกนี้จะตายเร็วไปหน่อยก็คงไม่เป็นไร แค่เสียดายที่ยังไม่ได้รู้จักโลกนี้ดีนัก
"เราช้าไม่ได้แล้ว"
เสียงของชายที่มีพลังวิญญาณเป็นอีแร้งเอ่ยขึ้นอย่างเตือนสหายของตน ทำให้อีกคนไม่พอใจนัก อุตส่าห์เจอหญิงงามแล้วแท้ๆ
"เสียดายที่วันนี้ข้ามีอย่างอื่นต้องไปทำ แต่ที่เสียดายยิ่งกว่าคือหญิงงามเช่นเจ้าต้องตายไปอย่างเปล่าประโยชน์"
ทันทีที่เอ่ยจบ ทั้ง 2 คนก็รวบรวมพลังวิญญาณพร้อมกันอีกครั้งและปล่อยมาทางฟางเหนียงที่กำลังนั่งพยุงอีกคนโดยใช้ร่างกายของตนบังไว้
ตู้ม~~
เกิดเสียงระเบิดขึ้นเสียงดัง พร้อมทั้งร่างของชายทั้งคู่กระเด็นออกไปพร้อมกัน ฟางเหนียงที่เริ่มรู้สึกตัวค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ พบว่าตอนนี้ร่างกายของตนเองนั้นไม่เป็นอันใด แต่สิ่งที่ทำให้นางต้องตกใจยิ่งกว่านั้นคือร่างของนางถูกปีกของสัตว์อะไรสักอย่างคลุมตัวเอาไว้ ฟางเหนียงมองไปที่ด้านบนศีรษะตนเองพบกับนกตัวใหญ่กว่า 4 เมตรตัวสีขาว ปีกของมันอ้าออกกว้างพร้อมร้องออกมาเสียงดังด้วยความเจ็บปวด หญิงสาวสังเกตที่ปีกของมันมีบาดแผล น่าจะเป็นเมื่อสักครู่ที่มันใช้ป้องกันตัวนางไว้ 'เดี่ยวนะ นกนี่ทำไมมันเหมือนเชื่อมกับตัวข้า' ฟางเหนียงเอ่ยกับตนเองในใจ เมื่อนางเริ่มขยับตัวมันก็ขยับตาม และตอนนี้นางก็รู้สึกเจ็บที่แขนข้างเดียวกับที่มันบาดเจ็บพอดี อย่าบอกนะว่านี่คือพลังวิญญาณของข้า แล้วไหนใครบอกว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณกัน
