ตอนที่ 18 แล้วเหตุใดท่านเจ้าสำนักจึงไม่รักษาให้เจ้า…
เช้าวันถัดมา
วันนี้ในช่วงเช้าฟางเหนียงก็เข้าเรียนในช่วงเช้าร่วมกับเพื่อนชั้นปี 1 เช่นเคย และดูเหมือนว่าเหตุการณ์ในเมื่อวาน ทำให้ศิษย์ร่วมชั้นไม่ดูถูกหรือหาเรื่องนางอีก จึงทำให้นางสบายใจขึ้นเยอะอย่างน้อยก็จะได้เรียนอย่างเต็มที่ บอกตามตรงนางเองก็กลัวเช่นกัน เพราะที่นี่นางไม่รู้จักใครที่พอจะพึ่งพาได้มีเพียงแค่ที่นี่ สำนักแห่งนี้แถมเจ้าสำนักหน้าโหดนั่นก็จะให้นางแต่งออกไปอยู่ดี แต่ทางที่ดีนางจะต้องมีเหมือนทุกอย่างที่คนที่นี่ ไม่ว่าจะความรู้ความสามารถเพื่อใช้ในอนาคต หากนาจะต้องแต่งออกไปจริงๆ ความสามารถของนางอาจพอไปต่อรองได้ เผลอๆ เขาอาจให้ข้าเลือกคู่ครองที่จะแต่งในอนาคตเองได้ก็ได้
"วันนี้ก็พอเท่านี้แล้วกัน"
เสียงอาจารย์มู่เอ่ยขึ้นพร้อมเสียงของศิษย์ของคนอื่นๆ ที่ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี หญิงสาวมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย เพราะแค่เลิกเรียนเหตุใดทุกคนดูดีใจกว่าทุกครั้ง สุดท้ายนางก็ได้แต่ส่ายหน้าที่เหตุใดต้องสงสัยไปซะทุกเรื่อง ก่อนที่จะหันมาเก็บตำราเรียนของตนเอง แต่เพราะอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายจึงทำให้นางช้ากว่าคนอื่นจนออกเป็นคนสุดท้าย
"จะให้ข้าทรยศเจ้าสำนักเช่นนั้นได้เช่นไร ข้าบอกเจ้าแล้วว่านั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะทำ"
เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ฟางเหนียงที่กำลังลุกขึ้นด้วยท่าทางลำบากได้ยินเข้า จึงเดินขากระเผกไปทางหลังที่ด้านตรงข้ามมีเสียงของคนคุยกัน นางแนบใบหน้าชิดกับพนังกำแพงเพื่อให้ได้ยินเสียงชัดขึ้น เสียงหนึ่งเป็นเสียงของอาจารย์มู่ที่นางคุ้นเคยดี แต่อีกเสียงเป็นเสียงของชายหนุ่ม ที่ฟังจากน้ำเสียงแล้วอายุน่าจะอยู่ประมาณ 20 กว่าๆ เท่านั้น
"เช่นไรเรื่องนี้ท่านก็ต้องทำ ท่านอย่าลืมว่า...."
"ท่านอย่าลืมว่าครอบครัวของท่านในครานั้น หากไม่ได้นายท่านช่วยไว้เกรงว่าจะ.."
"เฮ้อ~~"
อีกเสียงยังเอ่ยไม่จบ เสียงของอาจารย์มู่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ด้วยความลำบากใจ
"หวังว่าท่านจะให้ความร่วมมือ นี่คือครั้งสุดท้ายและไม่มีครั้งหน้าอีก"
เสียงบทสนทนาเงียบไปนาน แต่หญิงสาวกลับจับใจความไม่ได้ว่า บทสนทนานั้นมีแผนจะทำอะไรแต่นางก็รู้ได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ หญิงสาวมองซ้ายทีขวาทีอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่แล้วจึงเดินออกไป แต่ลับตาหญิงสาวนั้นจู่ๆ กลับปรากฏเงาสีดำขึ้นและกำลังมองมาทางหญิงสาว
.
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วสนามฝึก พร้อมด้วยฝุ่นดินกระจัดกระจายที่เกิดจากการปล่อยพลัง ด้านหลังบริเวณที่ระเบิดนั้นมีฟางเหนียงยืนอยู่ด้วยความมั่นใจ นางไม่เป็นอันใดเลยแม้แต่น้อย
"วันนี้เจ้าควบคุมพลังตนเองได้ดีมาก"
เสียงนุ่มเอ่ยพร้อมกวาดมือไปรอบๆ บริเวณ เพียงไม่นานบริเวณต่างๆ ที่ชำรุดหรือกระจัดกระจายก็กลับเข้าที่เหมือนเดิน หยงอี๋เอื้อมมือไปด้านหน้าปรากฏแสงสีฟ้าขึ้น และมันพุ่งมาทางหญิงสาว นี้เป็นการคลายทักษะของสัตว์วิญญาณของหญิงสาวหลังฝึกจบ เพราะสัตว์วิญญาณของหญิงสาวนั้นมีพละกำลังที่มากกว่าเขานัก ถึงแม้เขาจะชำนาญและมีฝีมือหรือพลังมากกว่า แต่ก็ประมาทไม่ได้เขาทำได้เพียงฝึกพื้นฐานของผู้ครอบครองพลังวิญญาณของนางเท่านั้น เรื่องที่มากกว่านี้เห็นทีคงมีเพียงเจ้าสำนักที่สามารถฝึกให้นางได้ และหวังว่าเจ้าสำนักจะไม่ถือสาเรื่องที่ผ่านมาและยอมฝึกให้กับนาง
"เหตุใดวันนี้ถึงเลิกฝึกเร็วจังเลยล่ะเจ้าคะ"
ฟางเหนียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางพึ่งหัดฝึกไปได้เพียง 1 ชั่วยามเองเท่านั้น"
"เจ้ายังมิหายบาดเจ็บ ฝึกเท่านี้เป็นพอ"
"ก็ได้เจ้าค่ะ"
หญิงสาวรับคำพร้อมยิ้มออกมาในความหวังดี วันนี้นางเองก็รู้สึกว่าร่างกายไม่พร้อมนักสำหรับการฝึกที่หนักเช่นกัน แต่ก็ไม่อยากที่จะหยุดฝึกตอนนี้เพียงเพราะบาดเจ็บเล็กน้อย เพราะว่ายิ่งเจ็บยิ่งทำให้ตนเองมีความอดทนยิ่งทำให้ตนมีความกระหายมากยิ่งขึ้น ตอนโลกก่อนตอนนางประสบปัญหาเช่นนี้ นางมักจะทำอยู่อย่างนั้นจนกว่าตนเองจะทำสำเร็จ นี้เป็นวิธีของนางที่แก้ไม่ได้ไม่ว่าอะไรก็ตาม นางจะทำจนมันประสบความสำเร็จแม้อุปสรรคจะมีมากเท่าไหร่ก็ตาม
ในเมื่อวันนี้หญิงสาวได้พักเร็วก็ไม่ปล่อยที่จะให้เวลาเสียไปเปล่าๆ นางทำมือประสานไปข้างหน้าพร้อมโค้งตัวคารวะรองเจ้าสำนัก ก่อนที่จะหอบร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยจากการฝึกเมื่อสักครู่ไปทางหอตำรา
"ท่านว่าเหตุใดท่านเจ้าสำนักถึงมิใช้พลังวิญญาณรักษาให้แม่นางฟางเหนียงขอรับ ทั้งที่แต่ก่อนเพียงศิษย์ในสำนักบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยยังรักษาให้ได้ แต่ดูจากอาการบาดเจ็บของแม่นางฟางเหนียงเหมือนจะโดนพิษด้วย จึงทำให้อาการบาดเจ็บหายช้าเช่นนี้"
ผู้ช่วยของหยงอี๋เอ่ยถามด้วยความสงสัย พลังวิญญาณของฟางเหนียงมีเพียงเจ้าสำนักเท่านั้นที่ช่วยรักษาได้ นั้นเป็นเพราะสัตว์วิญญาณของนางมีพลังมากกว่าของท่านรองเจ้าสำนัก หากรักษาให้จะทำให้ขัดแย้งกันจนเกิดผลเสียมากกว่าผลดี และไม่ใช่ทุกคนที่สามารถใช้พลังของสัตว์วิญญาณได้ ต้องแล้วแต่ความสามารถของสัตว์ตัวนั้นด้วย
"มิใช่เรื่องที่เจ้าสงสัย"
หยงอี๋เอ่ยเพียงสั้นๆ ก่อนที่จะเดินออกไปด้วยความสง่างาม
"นี่ก็อีกคน คนรูปงามเช่นข้าหนักใจจริงๆ"
ณ หอตำรา
แหว๊ก~~เสียงหนังสือพัดปิดตามสายลมขณะที่หญิงสาวเปิดประตูเข้าข้างใน ทำให้มือเรียวขาวต้องปิดตำราเพื่อเงยหน้ามองผู้มาใหม่ผ่านช่องเล็กบนระหว่างชั้นหนังสือ เมื่อเห็นว่าเป็นใครดวงตาคมก็ผลัดเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที หนิงเฟิ่งเก็บตำราเข้าชั้นเตรียมตัวที่จะกลับในทันทีเพราะเขาเองก็ไม่อยากที่จะอยู่ใกล้นาง
"แม่นางฟางเหนียงวันนี้เจ้ามาเร็วกว่าทุกวันนะ"
ผู้ดูแลหอตำราเอ่ยทักทายหญิงสาวอย่างเป็นกันเอง นั่นเป็นเพราะหญิงสาวจะชอบมาหอตำราทุกๆ วันเวลาเดิม และมักจะยืมกลับทุกครั้งอีกทั้งนิสัยนางเปลี่ยนไปมาก เพราะเมื่อก่อนเจ้าของร่างเก่านั้นไม่สนใจเรื่องเรียนเลยแม้แต่น้อย ทำให้ไม่เคยแม้แต่ย่างกายมาที่หอตำรานี่เลยสักครั้ง จึงไม่เคยก่อเรื่องหรือผิดใจกับคนที่นี่เลยทำให้นางในตอนนี้สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างสบายใจ เพราะเช่นไรนางก็ไม่มีศัตรูที่นี่เลย เสียงที่ดูเป็นกันเองอีกทั้งผู้ดูแลหอยังทักเหมือนกับว่านางสนใจใฝ่รู้จนมาที่นี่ทุกวันเช่นนั้น ทำให้หนิงเฟิ่งที่กำลังจะก้าวขาออกไปถึงกลับชะงักเท้ากลับและเงียบฟังทั้งสองสนทนากันอย่างลืมตัว
"เจ้าค่ะ วันนี้ท่านรองเจ้าสำนักให้ข้ามาพักรักษาตัวที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อวันก่อน"
"เจ้าบาดเจ็บ? แล้วเหตุใดท่านเจ้าสำนักจึงไม่รักษาให้เจ้า…"
ตุ๊บ!
เสียงตำราในชั้นดังขึ้นทำให้ทั้งคู่รู้ตัวว่ามิได้มีแค่ 2 คนที่อยู่ที่นี่ สายตาทั้งคู่หันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน หนิงเฟิ่งเองก็ไม่ได้ปิดบังว่าตนเองก็อยู่ที่นี่เช่นกันชายหนุ่มเดินถือตำราออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งและเคร่งขรึม
"หอตำรามิได้มีไว้เพื่อสนทนาหรือพูดคุยเสียงดังอย่างท้องตลาด ถ้าเจ้าสองคนอยากพูดคุยเสียงดังก็ออกไปซะ"
เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยท่าทางโมโหเล็กน้อย
"เจ้าสำนัก! เอ่อ…คารวะเจ้าสำนักขอรับ"
ผู้ดูแลเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางลนลานและรีบทำท่าคารวะทันที เขาดูแลหอตำรานี้ตลอดทั้งวันทุกคนที่เข้ามาจะต้องผ่านเขาและยื่นป้ายเพื่อให้เขาตรวจก่อนเข้า และมั่นใจว่าวันนี้เขายังไม่เห็นเจ้าสำนักเลยแล้วเหตุใดท่านเจ้าสำนักถึงอยู่ที่นี่ได้ หนิงเฟิ่งไม่ได้สนใจท่าทางของทั้งสองเพียงเดินออกไปด้วยท่าทีและใบหน้าเย็นชาเช่นเคย
"เดี๋ยวสิ ท่านเจ้าสำนักข้ามีเรื่องจะคุยด้วย"
ฟางเหนียงที่เห็นชายหนุ่มเดินออกไปก็รีบวิ่งออกไปในทันที
