บทที่ 3 มิใช่เพียงความหวัง หากแต่เป็นโชคชะตา
มิใช่เพียงความหวัง หากแต่เป็นโชคชะตา
ร่างสูงโปร่งของชายรูปงามยืนมองสระบัวกลางจวนเหอด้วยแววตาที่ว่างเปล่า หัวใจของเขาเต้นช้าลงจนคล้ายจะหยุดทำหน้าที่
ถ้าหากว่านางยังอยู่ ป่านนี้คงจะได้ออกเรือนไปเป็นฮูหยินจวนขุนนางใหญ่ที่ไหนแล้ว ไม่สิ ไม่ถูกต้อง งามอย่างนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่หนีไปจากตำแหน่งชายาเอกขององค์ชายสักองค์ในวังไปแล้วเป็นแน่ แต่ถ้าหากจะให้คิดอย่างที่ใจปรารถนา เขาก็นึกอยากให้นางหันมามองเขาบ้าง ถ้าหากว่านางมองเห็นว่าเขาอยู่ตรงนี้ นางจะไม่มีวันต้องเสียใจจนต้องตัดช่องน้อยไปอย่างนี้
เจ้าจะกลับมาไหม หรือจะต้องให้ข้ารอไปจนถึงเมื่อไหร่
ตู้มมม!!!
ชายหนุ่มผงะออกห่างจากสระบัวเบื้องหน้าด้วยความตกใจ หยดน้ำกระเซนโดนชุดของเขาเล็กน้อย หากแต่เสียงที่เกิดขึ้นในสระทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ เขาสาวเท้าเข้าไปใกล้สระบัว ก่อนจะพบร่างอรชรเกยร่างกับหินริมฝั่งก้อนใหญ่ ใบหน้าซูบซีดที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำนิ่งไร้สติ สองปีแล้วที่เขาไม่ได้เห็นใบหน้านี้ หากแต่มันยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขา ไม่เคยลบเลือนไปแม้สักน้อย
เขาแทบสิ้นสติ ก่อนจะก้าวลงไปริมสระที่น้ำไม่ลึกโดยไม่นึกกลัวว่าตนเองจะเปียกหรือเลอะเทอะ มือหนาที่กอปรไปด้วยนิ้วแกร่งเรียวยาวโอบอุ้มเอาร่างน้อย ๆ ของหญิงสาวไว้ในอ้อมอก เพียงเท่านั้นนางในอ้อมกอดก็เผยอเปลือกตาขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง นางสำลักน้ำสองสามหน ก่อนจะหมดสติไปอีกครา
สุคนธรสลืมตาตื่นขึ้นมาบนเรือนไม้ที่ไร้ฝ้าเพดาน จะว่าโรงพยาบาลก็คงไม่ใช่ บ้านของเธอรึก็ไม่มีส่วนไหนโชว์โครงสร้างใต้หลังคาอย่างนี้อีกแล้ว เธอรู้สึกปวดคอจนขยับตัวไม่ไหว หัวเธอกำลังหนุนท่อนไม้อยู่หรืออย่างไร สุคนธรสนอนปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่ง สายตาที่พร่ามัวจึงค่อย ๆ ชัดขึ้น เบื้องหน้าปรากฏร่างเล็ก ๆ ของเด็กสาววัยรุ่นที่สวมชุดประหลาด เธอพูดภาษาจีนเป็นวรรคเป็นเวรจนสุคนธรสจับใจความแทบไม่ได้
"ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ ๆ คุณหนูฟื้นแล้ว คุณหนูจำหลิวอิงได้ไหมเจ้าคะ" ใครต่อใครก็พากันกรูเข้ามาใกล้เธอ พูดจาโล้งเล้งจนนางมึนหัว ไม่ต่างไปจากตอนทำทัวร์สักเท่าไหร่
“ใจเย็น ๆ ค่ะ ฟังไม่ทันแล้ว” ด้วยความเคยตัวสุคนธรสจึงพูดโต้ตอบด้วยภาษาจีนอย่างลืมตัว ก่อนจะค่อย ๆ หยัดกายขึ้นโดยมีเด็กสาวช่วยประคอง สุคนธรสมองซ้ายมองขวาอย่างไม่เต็มสตินัก เตียงไม้หลังใหญ่ ดอกไม้จากแจกันดินเผาแบบโบราณ
คนจีนเต็มไปหมดเลยแฮะ แถมยังแต่ตัวแบบโบราณเสียด้วย สุคนธรสพินิจสถานที่ที่เธออยู่ได้ไม่นานก็ต้องแผดเสียงด้วยสติที่สิ้นไป ที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ใช่บ้านไม่ใช่เมืองไทยแน่ ๆ แล้ว
“ที่นี่ที่ไหน แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ...จมน้ำ! เออครั้งสุดท้ายที่จำได้ เราจมน้ำในบึงที่บ้านนี่หว่า แล้วไหงมาอยู่ที่นี่ได้วะเนี่ย” สุคนธรสใช้ภาษาไทยพูดกับตัวเองโดยไม่ได้สนใจผู้คนที่รายล้อมอยู่เต็มบริเวณ
“ฟางหลินลูก เจ้ากลับมาจริงด้วย กลับมาหาแม่ ท่านพี่... ฟางหลิน นี่ฟางหลินของเรา” ฮูหยินจางดีใจจนร่ำไห้ ความรู้สึกในหัวใจตีกันพัลวันจนนางคุมสติไม่ไหว
“ลูกพ่อเป็นคนรักษาคำพูดดั่งที่เคยเป็นมาตลอด” เหอ เตี่ยเล่อกล่าวอย่างยิ้ม ๆ นัยน์ตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความปรีติ
พ่อ..แม่.. พ่อแม่เธอตายไปตั้งนานแล้ว แต่นี่...
เมื่อเธอจ้องมองใบหน้าของชายหญิงวัยกลางคนก็กลับตกใจจนปากคอสั่น พ่อกับแม่จริง ๆ ด้วย พ่อแม่เราจริง ๆ พลันสายตาจ้องไปยังร่างสูงสองร่างที่ยืนอยู่อีกฝั่ง
“พี่ปุณ พี่ปอนด์... ทำไมถึงได้..”
“ฟางหลิน เจ้าพูดกับพี่รึ ...พูดภาษาอะไร” ปราณนในชุดโบราณเอ่ยถาม สุคนธรสพูดไม่ออก
ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ คนที่พูดจีนได้ก็มีแค่เธอ พี่ของเธอแต่ละคนไม่มีทางพูดจีนคล่องอย่างนี้แน่
ไม่ใช่! นี่ต้องไม่ใช่เรื่องจริง
เธอมีพี่ชายก็จริง แต่พวกเขาเป็นคนไทย เป็นคนดูแลกิจการไร่สวนที่บ้าน ทุกคนต้องอำเธอเล่นแน่ ๆ พ่อของเธอเสียไปนานแล้วแม่ก็ด้วย แล้วนี่ดูสิ ใครมันกล้าเล่นตลกหาคนหน้าตาคล้ายพวกท่านมาหลอกเธอกัน สุคนธรสในคราบของเหอฟางหลินตั้งท่าจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปพิสูจน์ว่าเธอรู้ทันละครฉากใหญ่นี้ หากแต่เธอหมดสติไปอีกหนด้วยความอ่อนล้า
เมื่อตะวันคล้อยลงแล้ว เธอจึงตื่นขึ้นอีกหนท่ามกลางสายตาของพวกเขา
"...ฟางหลินฟื้นแล้วหรือลูก" ฮูหยินจางถามลูกสาวที่เพิ่งกลับมาจากความตาย ฟางหลินของพวกเขาไม่ตอบอะไร เพียงแต่จ้องมองพวกเขาราวกับพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า “ฟางหลินลูก นี่แม่ของเจ้าอย่างไรเล่า จำมิได้เลยหรือ” ฮูหยินจางเอ่ยถามเสียงสั่น
“หรือเพราะว่าคุณหนูดื่มน้ำแกงเบญจรส[1]เข้าไปเจ้าคะ ถึงได้จำอะไรไม่ได้” หลิวอิงเสนอความคิด
ตำนานว่าไว้ ว่าหากวิญญาณดวงใดรับผลกรรมในนรกภูมิจนสิ้นแล้ว เมื่อถึงเวลาที่วิญญาณจะได้ไปเกิด วิญญาณทุกดวงจะต้องดื่มน้ำเบญรสหรือน้ำยาห้ารสของคุณยายเมิ่งเสียก่อน แล้วจึงเดินข้ามสะพานไหน่ห่อเกี๊ยไปเกิดใหม่ได้
"ที่ว่าคนที่จะกลับมาบนโลกต้องดื่มน้ำแกงจากยายเมิ่งก่อนเพื่อลบความทรงจำน่ะหรือ” หงเชารำพึงรำพัน
“อย่างนั้นถ้าจะจริงที่น้องจำอะไรไม่ได้” ฮูหยินจางสมทบความคิดของลูกชายและสาวรับใช้ที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็ก
“เอ่อ...พาหนู..เอ่อข้าอยากออกไปดูท้องฟ้าแป๊บนึงค่ะ ได้ไหมคะ”
“เจ้ายังไม่แข็งแรง จะรีบลุกขึ้นเดินทำไม”
“ขอแค่นาทีเดียวก็ได้ค่ะ...” หล่อนแค่อยากพิสูจน์ให้ตัวเองเชื่อได้จริง ๆว่าเกิดเรื่องบ้าบอนี้ขึ้นกับตัวเองเข้าให้แล้ว
ทุกคนยืนนิ่งงันไม่เข้าใจ นาที นาทีของนางนี่มันคืออะไร
“เอ่อ...ขอออกไปดูข้างนอกแค่อึดใจเดียวก็พอแล้วค่ะ” อึดใจเดียว...คือแป๊บเดียว แบบว่า เสี้ยววินาทีก็พอ ...เข้าใจกันไหมเนี่ย นางคิด
“แค่ครู่เดียวน่ะหรือ... หลิวอิงพยุงนางขึ้นมาหน่อย”
“เจ้าค่ะ” หลิวอิงรับคำแล้วก้าวเข้ามาใกล้ พยุงร่างบาง ๆ ที่มีทรวดทรงสมบูรณ์แบบอย่างในทัศนคติทางความงามที่กำลังเป็นค่านิยมของยุคสมัยต้าถัง
คุณหนูคนเล็กของจวนที่เพิ่งฟื้นกลับมาจากความตายสาวเท้าเข้าไปใกล้ประตูไม้แกะสลักสวยงาม ยามที่ประตูถูกผลักให้เปิดออก แสงแดดสีส้มอ่อน กระทบใบหน้าของหล่อน ฝูงนกบินอยู่เหนือหลังคากระเบื้องดินเผา นางกวาดสายตามองไปทางไหนก็ไม่เห็นยอดมะพร้าวสูงชะลูดอย่างที่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย
“ตอนนี้ปีอะไร” เสียงของหล่อนบางเบาราวกับอากาศ ทำให้สาวรับใช้คนสนิทฟังไม่ถนัดนัก
“เจ้าคะ คุณหนู...”
“ปีนี้ปีอะไร รัชศกอะไร” คุณหนูของหลิวอิงหันมาถาม แววตาดูตื่นตลึงอย่างไม่เก็บอาการ
“ปีนี้เป็น รัชศกเจินกวนที่ยี่สิบเอ็ดเจ้าค่ะคุณหนู”
“เจินกวนที่ยี่สิบเอ็ด...”
รัชศกของใครกันนะ คุ้นเหลือเกิน แต่มันติดอยู่ที่ปากเนี่ยแหละ
สุคนธรสยืนคิดถึงความรู้ที่แสวงหามาจากเพจในเว็ปไซต์ยอดนิยมของยุคปัจจุบันอย่างเฟซบุ๊คที่เธอเป็นสมาชิกและคอยติดตามอ่านเนื้อหาที่เหล่าผู้รู้เผยแพร่เอาไว้อย่างคิดไม่ตก
“ฟางหลินลูก เข้ามาพักข้างในห้องเถอะ โดนแดดโดนลมเดี๋ยวจะแย่กว่าเดิม”ฮูหยินจางผู้เป็นแม่เห็นลูกสาวคนเล็กยืนตากแดดตากลมอยู่นานก็อดห่วงไม่ได้
“มาเจ้าค่ะคุณหนู เข้ามาพักเถอะเจ้าค่ะ” หลิวอิงพยุงคุณหนูของนางให้กลับเข้ามาอยู่ในหอนอนเหมือนเดิม หลิวอิงพาคุณหนูฟางหลินของนางมานั่งลงเป็นเตียงไม้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะถอยตัวออกห่าง คอยเฝ้าสังเกตอาการของเจ้านายอยู่ห่างๆแทนฃ
“ศักราชเจินกวน...จักรพรรดิองค์ไหนเหรอน้อง...เอ่อ...” สุคนธรสชงักไป เด็กสาวคนนี้อ่อนกว่าเธอเยอะแน่ ๆล่ะ แต่สรรพนามแทนตัวเธอนี่สิ จะให้เรียกว่าอะไรล่ะเนี่ย
“เอ่อ... ชื่ออะไรน่ะเรา” สุคนธรสเอ่ยถามเด็กสาวที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเห็นว่าคนอื่น ๆมองเธอด้วยความกังวล
“ลืมหมดจริงเสียด้วยล่ะพี่ใหญ่” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพี่ใหญ่โดยไม่เก็บอาการ
“ก็คงต้องค่อย ๆ บอกนางไปนั่นล่ะ แค่นางกลับมาได้จริง ๆ ก็เกินพอแล้ว” เหอต้าเจิงผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ยตอบเหอหงเชาผู้เป็นน้องรอง สุคนธรสหันไปมองตามเสียงของคู่สนทนาที่นั่งล้อมโต๊ะอยู่กลางห้อง คนที่หน้าเหมือนพี่ปอนด์คนนั้น เป็นพี่คนโตไม่ต่างกันเลย ส่วนอีกคนก็คือพี่ปุณ เหมือนกันมาก มากจนไม่รู้สึกแตกต่างเท่าไหร่นัก สุคนธรสมองสองสามีภรรยาคู่ที่นั่งอยู่ด้วยกันกับคนที่เหมือนพี่ชายของหล่อน ใบหน้าของคนคู่นั้นก็ด้วย เหมือนจนไม่มีตรงไหนผิดเพี้ยน
แววตายิ้มๆของแม่ สายตาอบอุ่นของพ่อ
สุคนธรสน้ำตาคลอ นานแค่ไหนเธอก็ไม่มีทางลืมพวกท่านทั้งสองได้ ไม่ว่าอุบัติเหตุจะพรากพวกเขาไปจากเธอมาเนิ่นนานแค่ไหน เธอนึกอยากจะให้พวกพี่ชายของเธอตามมาที่นี่ด้วย จะได้มาเห็นว่าพ่อกับแม่อยู่ที่นี่ พลันนึกอย่างนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ พวกพี่ ๆ จะมาที่นี่ได้ยังไง ก็ในเมื่อพวกเขาอยู่ที่นี่กันทั้งสองคน นั่งมองดูเธอด้วยสายตาที่ถอดแบบกันมา อยู่ที่นี่พวกเขาพร้อมหน้าพร้อมตาโดยปราศจากการมีเธออยู่ด้วย กระทั่งเธอย้อนเวลากลับมาหาพวกเขาอีกหนนั่นแหละ สุคนธรสสั่นศีรษะของตัวเองน้อย ๆ อย่างพยายามจะเลิกฟุ้งซ่าน ก่อนจะหันมามองหน้าหญิงสาวที่คงจะเป็นสาวใช้ของคนที่ชื่อฟางหลินนี่
“สรุปแล้วชื่ออะไรเหรอ” สุคนธรสถามซ้ำ
“คุณหนู...” เด็กสาวรับใช้ทำหน้าตาราวกับจะร้องไห้ น้ำตาเอ่อคลอทันทีที่เอ่ยเรียกเธอด้วยคำสั้นๆ
“จะร้องไห้ทำไมเล่า...ฉันแค่ถามชื่อเธอ” สุคนธรสอดจะหงุดหงิดไม่ได้ ทำไมต้องทำเหมือนเธอเป็นคนบ้าอย่างนี้ก็ไม่รู้
“ข้าหลิวอิงไงเล่าเจ้าคะ คุณหนูจำข้าไม่ได้หรือเจ้าคะ พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ยังไม่ทันจำความได้ ฮึก...”
“หลิวอิงเหรอ... แล้ว...ฉันชื่ออะไร” สุคนธรสเอ่ยถามถึงชื่อของเจ้าของร่าง ด้วยเข้าใจว่าเธอคงได้มาเข้าร่างของลูกสาวของบ้านนี้
“คุณหนูชื่อ... เอ่อคือ...” สาวใช้ปาดน้ำตา ทำท่าจะอธิบายต่อ แต่ก็เอาแต่อ้ำอึ้ง มองหน้าเธอนิ่ง
“เอ่อคือ... นั่นชื่อฉันเหรอ” สุคนธรสเอ่ยถามเด็กสาว ก่อนจะหันมองทั้งสี่คนที่ยังนั่งมองนางเป็นเชิงถาม
“พรืดดด...นางไม่ใช่ฟางหลินแล้วกระมังท่านแม่” ชายที่อายุน้อยที่สุดนั้นขำพรืดอย่าสุดจะกลั้น เมื่อเห็นว่าน่องสาวของตนเอ่ยถามอย่างนั้น
“หงเชา...น้องอาจจะยังไม่ฟื้นสติดี อย่าหัวเราะนางเลย” ชายผู้เป็นพ่อเอ่ยห้าม สุคนธรสก็ยังเห็นว่าพวกเขายังยิ้มน้อย ๆ เธอขมวดคิ้ว เริ่มมีโมโห
ไม่ผิดแน่ล่ะ ดูยังไงก็พี่ปุณ กวนประสาทยังไงก็ยังงั้น
“หัวเราะเยาะกันทำไมคะ” ฟางหลินเอ่ยถามจริงจัง
“คงจะฟื้นสติเต็มที่แล้วล่ะนั่น...ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าโมโห ก็ฟังที่เจ้าถามอย่างนั้นแล้วมันอดไม่ได้” เขาอธิบาย ใบหน้าเปื้อนยิ้มเอ็นดู
“แล้วสรุปข้าชื่ออะไร...”
“ชื่อของเจ้าน่ะหรือ...เจ้าคือลูกสาวของราชเลขาธิการเหอ เตียเล่อ ...เหอฟางหลินอย่างไรเล่า” หงเชาเฉลย
“เหอ ฟางหลิน...ข้าชื่อเหอฟางหลิน...” คนทั้งห้าส่งยิ้มเอ็นดูมาให้อีกหน ฟางหลินของพวกเขากลับมาคราวนี้ ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสา
“ท่าน...พ..พ่อ ท..ท่านแม่ พี่ใหญ่..พี่รอง... ใช่ไหมคะ” สุคนธรสต้องการที่จะแน่ใจว่าตัวเองสามารถทำความเข้าใจสถานะของตัวเองได้แล้วจริง ๆ
“ไม่ต้องคิดมากนะลูก อยู่ ๆ ไป ค่อย ๆ เรียนรู้ไป แค่เจ้ากลับมา อย่างไรก็พอแล้ว เจ้าลืมทุกอย่างกลับเป็นเรื่องดีเสียอีก ...ไม่ใช่ทุกเรื่องจะน่าจดจำเสียหน่อย” ฮูหยินจางเดินเข้ามาลูบศีรษะของลูกสาวคนเล็กอย่างทะนุถนอม ใจของคนเป็นแม่ถูกเติมเต็มอีกครั้งหนึ่ง การรอคอยของนางไม่เคยสูญเปล่าเลยจริง ๆ
...
[1] เป็นความเชื่อว่าเมื่อเหล่าดวงวิญญาณจะกลับลงมาเกิดจะต้องดื่มน้ำแกงเบญจรสเพื่อให้ลืมเรื่องในอดีตชาติให้หมดก่อน