บทที่ 2 กาลเวลาผันผ่าน
กาลเวลาผันผ่าน
ตระกูลเหอพร้อมหน้าพร้อมตา แม้เวลาจะล่วงเลยมาสองปีนับตั้งแต่ลูกสาวคนเล็กจากไป แต่ความเศร้าโศกก็ยังคงปรากฏเด่นชัดอยู่ในหัวใจของผู้เป็นมารดา
นางไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว เพียงแต่ยังคิดถึงลูกสาวจับหัวใจ สองปีแล้วที่นางจากไปพร้อมกับคำมั่นสัญญาว่านางจะกลับมา คำพูดนั้นฟังอย่างไรก็ไร้เหตุผลและไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง หากแต่ก็มีค่ามากพอที่จะทำให้ผู้เป็นแม่ได้ยึดเหนี่ยวจิตใจกับความหวังลมๆแล้งๆนั้นมาได้กว่าสองปี
“ฮูหยินจู ขอบใจที่อุตส่าห์มานะ เจ้าไม่น่าต้องลำบาก”
“ข้ากับเจ้าเป็นสหายกันมาตั้งกี่สิบปี ฟางหลินนางก็ไม่ต่างไปจากลูกสาวของข้า ครบรอบวันตายของนาง มีหรือข้าจะไม่มา” จูเสี่ยวถิง ฮูหยินจวนหวังที่สนิทสนมกับฮูหยินจางตั้งแต่แต่งเข้าเป็นสะใภ้ของจวนหวัง
ตระกูลเหอกับตระกูลหวังเป็นสหายเก่าแก่ ที่ร่วมรบด้วยกันมาหลายต่อหลายชั่วอายุคน นับตั้งแต่ก่อนราชวงศ์สุ่ย จนกระทั่งกลับกลายเป็นราชวงศ์ถัง บรรพบุรุษของพวกเขาต่างสะสมคุณงามความดี ความซื่อสัตย์และคุณธรรมของพวกเขา นำมาซึ่งหน้าที่การงาน ยศถาบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานให้ ยศอ๋องพระราชทานของตระกูลยังสามารถส่งต่อมายังลูกหลานรุ่นต่อ ๆมาได้ โดยเงื่อนไขสำคัญกำหนดให้ลูกหลานของตระกูลต้องเข้ารับราชการช่วยงานบริหารบ้านเมือง หากละทิ้งงานราชการเกินสามชั่วอายุคน ให้ถือว่าสละสิทธิ์ออกจากการเป็นอ๋อง ลูกหลานของสองตระกูลจึงเป็นทั้งสหายที่ไม่ต่างกับญาติมิตร และยังเป็นข้าราชบริพารรับใช้แผ่นดินสืบมาจนถึงเดี๋ยวนี้
“ยิ่งข้ามองผ้าผืนนั้นของนาง ข้าก็ยิ่งคิดถึง” ฮูหยินจางกล่าวเสียงเศร้าๆ
“เดี๋ยวนางก็กลับมา นางไม่ใช่คนชอบปั้นน้ำเป็นตัวเสียหน่อย นางก็เขียนไว้อย่างไรเล่า ว่าถ้าหากนางทำใจกล้าสู้หน้าพวกเจ้าได้เมื่อไหร่ นางก็จะกลับมา” ฮูหยินจูเอื้อมมือมาแตะมือขาวที่เริ่มมีรอยเหี่ยวย่นของเพื่อนเบาๆอย่างต้องการให้กำลังใจ
“วันนี้หยางจื้อก็มาด้วยนะ คงกำลังเดินชมสวนของจวนเหออยู่นั่นแหละ” ฮูหยินจูเปลี่ยนเรื่องมาคุยเรื่องลูกชายคนเล็กแทน
“ได้ข่าวว่าลูกชายเจ้าได้ย้ายเข้าไปอยู่ฝ่ายตรวจสอบกับท่านอ๋องห้าวอี้พ่อของเขาแล้วใช่รึเปล่า” ฮูหยินจางถามความกลับ
“ฮ่องเต้ท่านทรงทอดพระเนตรเห็นว่าหยางจื้อมีความสามารถ ตำแหน่งผู้ตรวจการก็ว่างอยู่พอดี”
“น่าชื่นชม ๆ ต้าเจิงลูกข้าได้หยางจื้อมารับตำแหน่งนี้ คงจะพอแบ่งเบาภาระกันได้ ...ต้าเจิงรับราชการตั้งแต่อายุยังน้อยจนเดี๋ยวนี้ยี่สิบสองแล้ว ยังไม่เห็นเคยพูดถึงสาวจวนไหนสักครั้งหนึ่ง”
“เด็กหนุ่มพวกนี้วันๆเห็นสนใจแต่งานกับสุรา วันใดไม่เข้าวังก็มุ่งหน้าเข้าหอโคมเขียว ดื่มสุราเคล้านารีกันไม่ได้เว้นว่าง ข้าเองก็ชักเหนื่อยใจ”
“เจ้ายังมียี่เฟิงที่แต่งฮูหยินเข้าจวนไปนี่นา นางตั้งครรภ์หรือยัง”
“คงจะยัง ยี่เฟิงก็เพิ่งนำคณะทูตไปเยือนโกเรียว ยังไม่รู้จะกลับมาวันไหน”
“เฮ้อ คนเป็นแม่ยิ่งแก่ตัวลงก็ยิ่งเอาแต่ห่วงลูกหลาน”
สองฮูหยินนั่งจิบชาคุยสัพเพเหระกันด้วยความสนิทสนม อย่างน้อยการได้มีคนนั่งคุย แลกเปลี่ยนทุกข์สุขก็ย่อมดีกว่าปล่อยตัวเองให้นั่งอมทุกข์อยู่เพียงผู้เดียวเป็นแน่
สุคนธรสกำลังทำอาหารเที่ยงอยู่ในครัวอย่างเงียบๆ กระทั่งพี่ชายทั้งสองกลับเข้ามาในบ้านหลังจากออกไปส่งผลผลิตที่ตลาดกลางในอำเภอใกล้ๆเดินเข้ามา
“มีเราอยู่ก็ดีนะ ป้าแก้วงานเบาลง แถมพวกพี่ยังได้กินอะไรแปลก ๆ บ่อยขึ้นด้วย”
“เขาเรียกฟิวชั่นฟู๊ดต่างหาก”
“เราก็แค่นึกพิเรนทร์แล้วมันดันอร่อยมากกว่าล่ะมั้ง”
“นั่นไง มันอร่อย เพราะอย่างนั้นกินๆเข้าไปเหอะน่า อีกอย่างเรื่องป้าแก้ว หอมว่าพวกพี่ควรจะห้ามแกบ้าง อายุปูนนี้แล้วยังจะดื้อไปลงแปลงผักอีก เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะทำยังไง”
“ป้าแกอยู่กับเรามาตั้งแต่พี่เกิด พอพ่อแม่เสียแกก็ดูแลเราไม่ต่างจากแม่คนที่สอง พี่ก็ห่วงแกนะ แต่แกบ่นว่าเหงา ไม่อยากอยู่เฉย ๆ แล้วพี่จะไปพูดอะไรได้”
“พวกพี่ก็มีหลานให้ป้าแก้วเลี้ยงสิ เนี่ย ป้าแก้วจะได้ไม่ต้องออกไปลงแปลงเอง อีกอย่างคนงานเราก็เยอะแยะ” สุคนธรสบ่นไม่หยุด
เธอรักและเคารพป้าแก้วของหล่อนไม่ต่างแม่คนหนึ่ง ทุกครั้งที่เห็นป้าแกเหนื่อยล้าเพราะออกไปตรากตรำทำงานในแปลง หรือกระทั่งดูแลคอกวัวนมตั้งแต่เช้าก็อดห่วงไม่ได้
“วัน ๆ พวกพี่ก็เอาแต่อยู่ในฟาร์ม จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน” ปราณนเถียงกลับ
“ก็เห็นชอบไปร้านกาแฟยัยนิดบ่อย ๆ ก็นึกว่าไปจีบเขา” สุคนธรสกระเซ้าเหย้าแหย่ ก่อนจะตักแกงจากหม้อใส่ชามใบใหญ่
“ก็...กาแฟเขาอร่อย เค้กก็อร่อยด้วย พี่ก็แค่ไปซื้อกาแฟแก้วสองแก้วก็กลับ ไม่ได้จะไปจีบอะไรเขาเสียหน่อย”
“อ่ะ พ่อคอกาแฟ ยกไปวางที่โต๊ะกินข้าว” สุคนธรสยกชามใบใหญ่ที่ใส่แกงเผ็ดหน้าตาประหลาดแต่ส่งกลิ่นหอมรัญจวนใส่ในมือพี่ชาย
“จริงๆนะหอม พี่ไม่ได้จะจีบเขาเสียหน่อย” ปราณนรับชามแกงจากน้องสาว แต่ก็ยังไม่วายแก้ตัว
“จ้าๆ ไม่ได้จีบก็ไม่ได้จีบ” สุคนธรสไม่อยากต่อล้อต่อเถียง ถึงแม้ว่าจะไม่เชื่อคำปฏิเสธของพี่ชายคนโตเลยก็ตาม “แต่ถึงจะจีบก็ไม่เห็นจะแย่ตรงไหน ยัยนิดก็น่ารักดีออก ถ้าจะจีบก็คงไม่ผิดอะไร” สุคนธรสทิ้งคำแนะนำไว้ประโยคหนึ่งก่อนทำท่าจะเดินหนีไป
“แล้วนี่เราจะไปไหน ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเหรอ”
“หอมเพิ่งกินขนมเมื่อตอนสายนี่เอง ยังอิ่มอยู่เลย”
“แล้วนี่จะไปไหน”
“ว่าจะไปนั่งเล่นในสวนสักหน่อย วันนี้อากาศร้อนจนตัวหอมจะระเหยอยู่แล้ว"
“ระวังงูเงี้ยวด้วยละกัน”
“จ้า น้องจะไม่ไปซนตรงหญ้ารก ๆ หรอกน่า ไปละนะ มีอะไรโทรมานะ” สุคนธรสบอกพี่ๆก่อนจะปลีกตัวเดินออกมา มองออกไปซ้ายมือปรากฏเป็นแปลงผักหลายต่อหลายไร่ที่ใกล้จะได้เก็บเกี่ยว เลยไปอีกหน่อยเป็นทุ่งหญ้าที่ปล่อยให้แม่วัวนมที่เพิ่งพักจากช่วงรีดนมได้ออกกำลัง สุคนธรสสูดหายใจเข้าลึกๆ อากาศบริสุทธิ์แบบที่เมืองหลวงให้ไม่ได้ เสียงนกตัวเล็กเจื้อยแจ้วดังไปทั้งฟาร์ม หล่อนหันตัวไปทางขวา ปลีกตัวเข้าไปเดินเล่นในสวนผลไม้ที่ตัวเองคุ้นเคยมาตั้งแต่จำความได้ กลางสวนผลไม้ผืนใหญ่มีบึงบัวขนาดสี่ไร่เศษที่ทางฟาร์มใช้สำหรับกักเก็บน้ำและเลี้ยงปลาเป็นผลพลอยได้ บัวสายสีชมพูเข้มพากันหุบกลีบดอกหลบแสงแดดที่ร้อนระอุในตอนกลางวันอยู่กลางสระ สุคนธรสเห็นอย่างนั้นก็นึกอยากจะพายเรือออกไปเก็บมาทำต้มกะทิเย็นนี้ทีเดียวเชียว เธอเดินอ้อมมายังท่าน้ำอีกด้าน ปีนม้านั่งไม้ที่ศาลาท่าน้ำเพื่อขึ้นไปหยิบไม้พายที่เหน็บโครงหลังคาไว้อย่างคล่องแคล่ว เธอถือเอาไม้พายมาตั้งไว้ ทันทีที่ก้าวขาลงจากศาลาลงมายังท่าน้ำไม้เบื้องล่าง ลมเย็นสดชื่นก็พัดเข้าหาเธอแรงจนหล่อนอดจะเซถอยหลังไปไม่ได้ เธอหยีตาลงเนื่องจากเกรงว่าฝุ่นจะเข้าตาของตัวเอง
“สงสัยวันนี้จะร้อนมากจริง ๆ ลมถึงแรงอย่างนี้” สุคนธรสรำพึงกับตัวเอง ตามหลักการวิทยาศาสตร์ที่เธอเรียนมาสมัยประถมที่ยังหลงเหลือไว้เป็นความรู้ประดับตัวทำให้เธอไม่ได้คิดอะไรนอกจากอากาศร้อนที่ลอยตัวขึ้นสูงถูกอากาศที่เย็นกว่าเข้ามาแทนที่ ทำให้เกิดเป็นลมตามที่ยังพอจำได้ ลมเย็น ๆ พัดเอื่อยลงแล้ว เธอจึงคว้าเอาเรือไม้ลำเก่าเข้ามาติดท่า ก้าวขาลงไปอย่างไม่กังวล บึงนี่ลึกแค่ไม่กี่เมตร และเธอเองก็ว่ายน้ำแข็งไม่แพ้พวกพี่ ๆ พายเรือติดจะเก่งกว่าด้วยซ้ำ ไม่มีอะไรน่ากังวลเลยแม้แต่ข้อเดียว
มือเรียวคว้าเอาดอกบัวสายที่หุบ ดอกแล้วดอกเหล่าเข้าหาตัว สาวมือลึกลงไปในน้ำกว่าครึ่งแขนแล้วจึงดึงเอาสายบัวเหล่านั้นเอากองไว้บนเรือ สายบัวที่เธอลงทุนเก็บเองกับมือมีปริมานมากพอสำหรับแกงหนึ่งหม้อแล้ว เธอจึงตัดสินใจจะพายกลับเข้าท่าน้ำที่อยู่ไม่ไกลนัก หากแต่สายตาเจ้ากรรมกับไปสะดุดอยู่ที่ดอกบัวสีครามที่ชูดอกบานท้าแสงแดดอยู่ใจกลางกอบัวที่หนาแน่น
“สีแปลก... แต่ก็สวย ทำไมถึงได้แปลกไปจากเพื่อน” สุคนธรสรำพึง ก่อนที่เธอจะรู้ตัว เรือของเธอก็ถูกขยับให้ใกล้ดอกบัวดอกนั้นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากแต่เรือก็ผ่านกอบัวแน่นๆเบื้องหน้าไปไม่ได้อีก เธอที่กลับลำเรือไปข้างๆ ยื่นมือไปเกือบสุดแขนแต่ก็ยังไม่ถึง เธอจึงเอื้อมออกไปอีก เมื่อปลายนิ้วกลางแตะกลีบล่างของบัวดอกนั้น บัวทั้งดอกก็ไหวไปมาเบาๆ
“อีกแค่นิดเดียว...” เธอเอ่ยบอกกับตัวเอง ก่อนจะออกแรงเอื้อมจนสุดแขน มือเรียวคว้าเอาก้านบัวสีประหลาดมาไว้ในมือได้แล้ว หากแต่เรือของเธอถูกทำให้โคลงจนน้ำเข้า เรือไม้ลำเล็กรับน้ำหนักที่เทไปฝั่งเดียวไม่ไหว จึงพลิกคว่ำลงตรงนั้น
สุคนธรสตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสติแล้วพยายามตะเกียกตะกายเกาะเรือที่คว่ำเอาไว้ เมื่อตั้งหลักได้ก็จะว่ายกลับไปที่ท่าแล้วให้คนมาช่วยเอาเรือที่คว่ำขึ้น หากแต่เมื่อหล่อนปล่อยมือออกจากท้องเรือที่ลอยอยู่โดยหวังจะว่ายขึ้นไปที่ท่าน้ำ สายบัวที่เกี่ยวกันหนาแน่นก็กลับรั้งขาของเธอเอาไว้ พันเกี่ยวขาทั้งสองของเธอแน่นราวกับจะดึงร่างของเธอให้จมลง เธอพยายามดำน้ำลงไปแกะสายบัวที่พันอยู่ หากแต่ยิ่งแกะออกก็ยิ่งรู้สึกแน่นกว่าเดิม เธอดิ้นจนหมดแรงจะขึ้นจากใต้น้ำมาหายใจอย่างที่ควรก็ไม่ง่ายเสียแล้ว เธอชูมือขึ้นจากน้ำ ควานหาท้องเรือที่คว่ำอยู่หวังจะเกาะให้ตนรอด หากแต่เรือเจ้ากรรมก็กลับลอยห่างออกไป ไกลจนไม่อาจเอื้อมมือไปคว้าไว้ได้
อากาศอึกสุดท้ายถูกปล่อยออกจากปากและจมูกของสุคนธรส ร่างของเธอจมลงสู่ก้นบึงอย่างช้า ๆ สายตาที่เลือนรางฉายเงาของกอบัวที่พ้นน้ำขึ้นไปเป็นภาพสุดท้ายสู่สมองของเธอ เสียงมวลน้ำที่ดังอื้ออึ้งอยู่ในหูยังคงชัดเจน หากแต่เธอไม่มีสติเหลือพอจะคิดหาวิธีดิ้นรนขัดขืน ปล่อยให้ร่างกายกระทบลงกับก้นบึง เคลื่อนไปมาเล็กน้อยตามแรงพยุงของน้ำ
วาระสุดท้ายของสุคนธรสจบลงที่ก้นบึงบัวนั่นโดยไม่มีใครรู้เห็น
...