บทที่ 1 แรกเริ่มเดิมที
แรกเริ่มเดิมที
หญิงสาววัยรุ่นนางหนึ่งนั่งอยู่บนตั่งไม้ที่รองด้วยพรมจากเปอร์เซียอยู่ตรงริมหน้าต่าง นางมองสระบัวด้วยแววตาเศร้าสร้อย หลิวอิงสาวใช้คนสนิทที่อายุเท่าๆกับนายหญิงในความดูแลเอ่ยเสียงอ่อน นางโตมาด้วยกันกับคุณหนูของนาง เป็นดั่งพี่สาวน้องสาว เหตุใดจะไม่ล่วงรู้ความรู้สึกของคนที่นั่งหันหลังให้นางอยู่
“น่าขายหน้ามากใช่หรือไม่”
“...คุณหนู” หลิวอิงพูดไม่ออก เข้าใจว่านายหญิงของตนเจ็บปวดเพียงใด
“ท่านพ่อท่านแม่เล่า จะอับอายขายหน้าเพราะข้าขนาดไหน” นางรำพึงรำพันถึงความอับอายที่นางได้รับมาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน และเอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของนางแต่เพียงผู้เดียวเสมอมา
“นายท่านกับฮูหยินไม่ได้โทษคุณหนูเลยนะเจ้าคะ พวกท่านเห็นใจคุณหนูต่างหาก ...คุณหนูของข้า ทานอะไรเสียหน่อยนะเจ้าคะ ท่านไม่ทานอะไรมาหลายวันแล้ว จะป่วยเอานะเจ้าคะ” สาวใช้พยายามพูดจาหว่านล้อมนายของตนที่ไม่มีที่ท่าจะสนใจคำพูดปลอบประโลมของนางเลย
“ข้าไม่มีหน้าจะอยู่เจอใครได้อีกแล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“คุณหนู ทำไมพูดอย่างนั้นเล่าเจ้าคะ”
“หลิวอิง...” เสียงของผู้เป็นนายเอ่ยเสียงสาวใช้ของตนอย่างแผ่วเบา
“เจ้าคะ คุณหนู”
“ผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว... นับแต่ตั้งที่เขาทิ้งข้าไป”
“ส..สิบวันแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบผู้เป็นนาย สิบวันแล้วที่นางต้องเห็นนายหญิงของนางไม่เป็นผู้เป็นคน ไม่ยอมกินข้าวกินปลา ไม่กล้าเจอหน้าผู้ใด
“ข้าทนมาตั้งสิบวัน ก็ยังไม่เห็นว่าข้าจะทนไหว”
“...” หลิวอิงรอฟังนายหญิงของตนพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
“เจ้าเอาอะไรมาให้ข้า” นางเปลี่ยนคำถาม
“ เป็ดย่างเจ้าค่ะคุณหนู ยังมีบะหมี่ผัดด้วยนะเจ้าคะ” สิ้นเสียงตอบ นายหญิงของนางหันมามองยังโต๊ะตรงกลางห้อง
“ไม่มีหมั่นโถวหรือ” นางถามเสียงเบา
“ข้าไม่คิดว่าคุณหนูจะอยากทาน ข้าก็เลยไม่ได้...”
“ไปเอามาให้ข้าที...”
“อย่างนั้นคุณหนูรอข้าครู่เดียวนะเจ้าคะ” สาวใช้ยิ้มอย่างชื้นใจ อย่างน้อยนายหญิงของนางก็อยากแตะอาหารขึ้นมาบ้างแล้ว
หญิงสาวมองอาหารบนโต๊ะอย่างหมดเอาลัยตายอยาก ก่อนจะพาร่างสะโอดสะองของตัวเองมายังโต๊ะหนังสือ การเป็นลูกสาวของขุนนางทำให้นางได้เรียนหนังสือ มือเรียวจรดพู่กันที่แต้มหมึกไว้ก่อนแล้วลงบนผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากผ้าไหมสีอ่อน ข้อความบนผ้าระบายความเจ็บปวดที่อัดอั้นเอาไว้จนสิ้น ก่อนที่นางจะปลดปิ่นปักผมอันที่นางเคยชอบที่สุดวางทับผ้าผืนนั้นไว้ แล้วจึงพาตัวเองออกจากหอนอนอย่างช้า ๆ
นางพาร่างของตัวเองเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินอ่อน มองสระน้ำที่อยู่เบื้องหน้าอย่างโหยหา นางเดินเข้าไปยังศาลาริมสระก่อนจะมองดอกบัวที่ชูดอกพ้นน้ำอย่างไร้ความรู้สึก นางหันหลังให้สระ มองจวนของตระกูลด้วยความรู้สึกอับอาย ตระกูลใหญ่โตอย่างนี้ต้องกลายเป็นขี้ปากขุนนางต่ำต้อยทั้งหลาย ก็เพียงเพราะมีนางเป็นตัวต้นเหตุ ถ้าหากไม่มีนางสักคน ตระกูลของนางก็คงไม่ต้องพบเจอเรื่องน่าสมเพชเช่นนี้
นางไม่อาจสู้หน้าใครได้อีกแล้ว
ร่างซีดเซียวทิ้งตัวเองลงสระบัวโดยไม่เกรงกลัวว่าจะจมน้ำ ร่างเล็กของเด็กสาววัยสิบสี่จมลงสู่ก้นสระโดยไร้การขัดขืนดิ้นรน ฟองอากาศพวยพุ่งออกจากจมูกและปากของนาง เสียงของคลื่นน้ำน้อย ๆ ค่อย ๆ เบาลง ดวงตาที่ยังไม่ปิดดีเห็นภาพเบื้องหน้าเลือนลางลงทุกขณะ ก่อนที่ความตายจะพรากเอาวิญญาณและลมหายใจเฮือกสุดท้ายของนางไป
สองสาวหยุดยืนอยู่หน้าศาลเจ้าแห่งหนึ่ง กลิ่นธูปหอมตลบอบอวลไปหมด สุคนธรสสังเกตเห็นผู้คนมากมายกำลังราบไหว้ขอพรอย่างขะมักเขม้น
“แป้งหอม ...แป้งหอม ไอ้แป้งหอม” เสียงเรียกจากเพื่อนสนิทของสุคนธรส ทำให้เธอตื่นจากภวังค์ "เอ้าเข้าไปดิแก ไหว้เสร็จก็อธิษฐาน อธิษฐานเอาเนอะ...มันคงจะมีสักชาติ"
"อ้าว... ก็ไหนแกเอาหัวเป็นประกันว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์นักหนาไง ทำไมพูดงี้เล่า" สุคนธรสโวย เธอเพิ่งอกหักมาหมาดๆจากผู้ชายเฮงซวยที่แอบไปมีคนอื่นลับหลังเธอ กะอีแค่แฟนน่ะไม่เท่าไหร่หรอก มันจะยิ่งแย่ก็ตรงที่เธอกลายเป็นคนตกงาน ทำกระเป๋าเงินหาย แถมหยิบจับอะไรก็พังคามือไปหมดภายในวันเดียวกัน ดวงกุดแค่ไหนถามใจเธอดู
"อธิษฐานได้เรื่องเดียวนะ ขอหลายอย่างก็เหมือนจับปลาหลายมือ จะไม่ได้อะไรสักอย่าง" ปรางค์ทิพย์เอ่ยเตือน สุคนธรสพยักหน้ารับ ก่อนจะไหว้ตามแบบจีนอย่างคุ้นเคย ถึงจะไม่แน่ใจว่าทำไมถึงคุ้นก็ตาม
สุคนธรสหลับตาลง สูดลมหายใจตั้งสมาธิอย่างแน่วแน่ เรื่องเงินเรื่องทองน่ะเธอไม่ได้เดือดร้อนหรอก เพราะมีคำสั่งฟ้าผ่าจากพี่ชายทั้งสองว่าต้องกลับไปอยู่บ้านไปดูแลกิจการที่พ่อแม่ผู้ล่วงลับทิ้งไว้ให้ และถ้าจะให้พูดจริง ๆ เธอกลัวจะขึ้นคาน ถึงแม้ว่าตัวเธอจะเพิ่งย่างเข้ายี่สิบสี่ปีก็ตามแต่ เธอท้อใจเหลือเกิน ทำไมผู้ชายดี ๆมันหายากนักนะ
สวรรค์ควรจะเห็นใจเธอแล้วส่งเนื้อคู่มาได้แล้ว
'ขอให้ลูกช้างได้เจอคู่แท้เสียทีเถอะนะเจ้าคะ' สุคนธรสอธิษฐานซ้ำ ๆราวกับกลับต้องการจะย้ำให้คำขอพรดังจนสวรรค์ได้ยิน จากนั้นเธอจึงลืมตาขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นไปปักธูปลงในกระถาง
สายลมเย็นวูบพัดผ่านร่างของเธอจนเธอรู้สึกสบายตัว สุคนธรสหน้ายิ้มนึกในใจว่าท่านคงได้ยินคำขอของเธอ เธอจึงนึกในใจอย่างขำๆคนเดียว ขอหล่อๆ ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่ ไม่เจ้าชู้ รักลูกช้างคนเดียว รักมาก ๆไม่นอกใจด้วยนะเจ้าคะ สาธุ
"ออร่าคนจะมีคู่แผ่ออกมาเลยอ่ะ" ปรางค์ทิพย์ที่มองปฏิกิริยาในแง่บวกของเพื่อนเอ่ยอย่างขำๆ เธอเห็นสุคนธรสยิ้มได้ เธอเองก็สบายใจไปด้วย
"รู้ได้ยังไงว่าฉันขอเรื่องนี้”
“ก็แหม ถ้าฉันเป็นแกฉันก็คงเครียดนะ งานแต่งยัยน้ำก็มีแต่แกที่มาคนเดียว” ปรางค์ทิพย์อ้างถึงเรื่องในงานแต่งเพื่อนสมัยมหาลัยที่เพิ่งแต่งงานไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
“เออพี่ ๆ ฉันโทรมาเมื่อคืน บอกให้ฉันกลับบ้านคอยช่วยงานที่ฟาร์ม" สุคนธรสเปลี่ยนเรื่องทันทีที่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คข้อความที่ถูกส่งมาทางแอพลิเคชั่นไลน์ที่ทำให้นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
"แล้วแกจะกลับไปเมื่อไหร่"
"ก็เนี่ยบริษัทขนย้ายเพิ่งไลน์มาบอกว่าแพ็คของให้เสร็จแล้ว รถกำลังวิ่งไปที่ฟาร์ม เย็นนี้น่าจะถึงแล้วนะ"
"เดี๋ยวแต่เมื่อเช้าที่ห้องแกยัง..."
"ก็บริษัทเขานัดไว้11โมง ส่วนฉันพอได้ยินแกโม้เรื่องศาลเจ้าก็ลืมเรื่องขนย้ายไปสนิทเลยน่ะสิ"
"คืนนี้แกจะไปนอนที่ไหน" ปรางค์ทิพเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"ก็กลับคืนนี้ รถรอบสี่ทุ่ม ก็คงถึงก็ถึงตีหนึ่งกว่า ๆ นั่นแหละ พี่ ๆ ฉันดูจะรอให้ฉันกลับไปไม่ไหวแล้ว"
"สมุทรสงครามก็แค่นี้ ทำไมถึงรีบกลับนัก ...แต่ก็เอาเถ๊อะ ถ้ามันจะทำให้แกสบายใจขึ้น ฉันก็เห็นด้วยกับแก" ปรางค์ทิพนึกจะค้าน แต่ก็ตัดใจปล่อยให้เพื่อนสาวได้ทำตามใจ สองสาวเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆด้วยกัน แวะกินขนมพูดคุยสัพเพเหระกันอย่างเคย ไม่ว่าสุคนธรสจะเจอกับเรื่องดีร้ายแค่ไหน ปรางค์ทิพย์คนนี้ก็คอยตบบ่าเธออยู่ข้าง ๆ สุคนธรสนึกขอบคุณด้วยหัวใจอยู่เสมอ
สุคนธรสสะพายกระเป๋าถือของตัวเองลงจากรถตู้โดยสารอย่างช้า ๆ มองไปยังสถานีก็พบว่าพี่ชายทั้งสองยืนโบกมืออยู่ไม่ไกล
"สวัสดีค่ะ"
"มาๆขึ้นรถเร็ว" ปราณน พี่คนโตเอ่ยปาก
"เป็นยังไงบ้างอ่ะเรา ..เอ...หน้าตาก็ไม่ได้ดูแย่สักเท่าไหร่นี่นา" ปรากรเอ่ยถาม
"หอมทำใจได้แล้วอ่ะพี่ปุณ เรื่องไอ๊ผู้ชายบ้านั่น หอมไม่ได้เสียใจเท่าไหร่ แต่เรื่องงานหอมว่ามันรุนแรงเกินไป" สุคนธรสพูดติดตลก
"ไม่เห็นต้องแคร์เลย บ้านเรามีที่ทางตั้งหลายร้อยไร่ ทำไร่ทำสวนไม่ต้องแบมือขอใครกินดีกว่าตั้งเยอะ"
"พี่ปอนด์ก็พูดได้สิ พี่เรียนเกษตรพืชเขตร้อนมา หอมเรียนภาษาจีนนะ จะให้เอาภาษาจีนคุยกับต้นไม้รึไงเล่า"
"พูดอย่างกับพ่อแม่ไม่เคยสอนให้ทำ พวกพี่ไม่ได้หวังให้หอมทำทุกอย่างนี่ แค่มาช่วยกันมาพักผ่อนสักปีสองปีค่อยกลับไปกรุงเทพก็ได้นี่นา"
"ยังไงซะ หอมก็กลับมาแล้วล่ะน่า ...คงไม่กลับไปอีกแล้วล่ะ ให้ทำอะไรก็ทำแหละน่า" สุคนธรสตกปากรับคำ เธอเองก็คงไม่เหมาะกับบางกอกเท่าไหร่
"ส่วนเรื่องแฟน พี่มีคนรู้จักท่าทางใช้ได้อยู่ จะลองไปเจอกันดูมั้ย"
"พอเลย ถ้าหอมอยากมีหอมจะไปหาเอาเอง"
"ใครที่ไหนจะชอบน้องพี่เนี่ย แก่นกะโหลกขนาดนี้"
สามพี่น้องพูดคุยหยอกล้อกันเหมือนดั่งเช่นวันวาน พวกเขามีกันแค่นี้เนื่องจากพ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน พี่ชายทั้งสองจึงกลายเป็นทั้งพ่อแม่ พี่ชาย และเพื่อนไปในเวลาเดียวกัน ทันทีที่รถแล่นเข้าไปจอดในรั้วบ้าน สุคนธรสก็กุลีกุจอวิ่งเข้าบ้านไปด้วยความรีบร้อน เธอง่วงจนตาแทบลืมไม่ขึ้น ทันทีที่วางกระเป๋าลงบนพื้นห้องของตัวเอง เธอก็ทิ้งตัวลงบนเตียง สลบเหมือดไปในทันที
หญิงวัยกลางคนนั่งมองกับข้าวกับปลาบนโต๊ะอย่างไม่นึกอยาก ความโศกเศร้าเข้ามากัดกินหัวใจของนางจนไม่เป็นอันทำอะไรมาหลายสัปดาห์แล้ว
“ฮูหยิน...ทานอะไรเสียหน่อย” อ๋องเตียเล่อผู้เป็นสามีเอ่ย
“ข้าทานไม่ลง ท่านพี่ ลูกสาวของเรา...ฟางหลินของเรา”
“ข้ารู้ว่ามันยากจะทำใจ แต่นางตายไปแล้ว”
“ท่าน..ท่านพี่ ข้าจะอยู่ต่อไปยังไง ดูข้อความพวกนี้สิ ดูสิว่านางเสียใจแค่ไหน ทำไมองค์ชายสิบห้าถึงได้ใจร้ายนัก”
“ฮูหยิน เจ้าต้องระวังคำพูดหน่อยนะ ถึงอย่างไรองค์ชายก็อภิเษกกับพระชายาไปแล้ว ลูกสาวของเราวาสนาน้อย”
“แต่องค์ชายก็ไม่ควรหลอกลวงฟางหลินอย่างนี้ นางยังเด็กนัก หัวใจเปราะบางถึงเพียงไหน ตอนงานศพนางเขาก็ไม่มา”
“ฟางหลินไปสบายแล้วนะฮูหยิน เจ้าต้องหักห้ามใจไว้บ้าง”
“ท่านพี่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่พยายาม แต่ยิ่งข้าอ่านที่นางเขียน ข้าก็ยิ่งปวดใจ”
“ท่านแม่... ฟางหลินนางบอกไว้ว่าถ้าหากว่าวันใดนางกล้าสู้หน้าผู้คนได้นางจะกลับมา และข้าเชื่อว่านางจะกลับมา” เหอต้าเจิงผู้เป็นลูกคนโตเอ่ยบอกมารดา
“ต้าเจิง...แม่ก็อยากจะเชื่อว่าน้องจะกลับมา แต่น้องตายไปแล้ว ศพของนางแม่ก็เห็นกับตา”
“เราต้องอยู่ด้วยความหวัง ท่านแม่... ท่านต้องอยู่ให้ได้ ถ้าหากวันหนึ่งฟางหลินนางกลับมาแล้วเห็นว่าท่านแม่ไม่ดูแลตัวเองอย่างนี้ นางคงเสียใจ” จางเฟยถึงผู้เป็นมารดาปาดน้ำตา นางคิดถึงลูกสาวคนเล็กทุกวินาทีนับตั้งแต่นางจากไป
“ฮูหยินทานข้าวเสียเถอะนะ วิญญาณของฟางหลินคงรับรู้ได้ สักวันหนึ่งนางต้องกลับมา นางเป็นคนรักษาคำพูดอย่างที่สุด เจ้าลืมไปแล้วหรือ” เหอเตียเล่อผู้เป็นทั้งสามีทั้งบิดาเอ่ยอย่างเข้มแข็ง เขาเสียใจไม่แพ้ใคร หากแต่ถ้าเขาล้มลงเสียเอง คนตรงหน้านี้จะไร้ที่พึ่งพิง เขาจึงต้องเป็นหลักให้ภรรยาและลูก ๆ ที่เหลืออยู่อย่างดีที่สุด
นับตั้งแต่ฟางหลินจมตัวเองลงไปที่ก้นสระบัวกลางจวน นับตั้งแต่นั้นจวนเหอก็ไม่เคยมีรอยยิ้มอีกเลย เหตุเพราะเด็กสาววัยสิบสี่ที่กำลังจะได้เป็นพระชายาขององค์ชายสิบห้าถูกทิ้งไว้กับคำสัญญาลม ๆ แล้ง ๆ ที่นางได้จากชายที่นางรัก ทำไมถึงได้ใจร้ายกับนางนัก ลูกหลานขุนนางขั้นน้อยบางคน ยังได้เป็นถึงชายารอง แล้วดูนางสิ นางงามกว่าสาวคนไหน แถมยังเป็นลูกสาวของราชเลขาธิการของพระราชสำนัก แต่นางกลับถูกหลอกให้รักหลอกให้รออยู่ข้างเดียว