บทที่ 4 หนทางที่ต้องเลือกเดิน
หนทางที่ต้องเลือกเดิน
“หลิวอิง...” เสียงเล็ก ๆของร่างระหงที่นั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลืองเอ่ยเรียกสาวใช้ที่กำลังแปรงผมของตัวเองอยู่
“เจ้าคะ คุณหนู” นางขานรับ หากแต่ยังคงจดจ้องจับช่อผมแต่ละช่อมาแปรงอย่างเบามือ
“ปีนี้ปีเจินกวนที่21ใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ”
“แล้ว...เมืองที่เราอยู่ตอนนี้คือเมืองอะไรล่ะ หางโจว ลั่วหยาง... เมืองอะไรเหรอ”
“เมืองฉางอันเจ้าค่ะ”
“ฉางอันเหรอ...” ฉางอัน ชื่อเก่าของซีอานนี่นา แต่เมืองฉางอันก็เป็นได้ทั้งสุยทั้งถัง จำไม่ได้ว่าสมัยฮั่นด้วยหรือเปล่า ถ้านางรู้จักจำเสียบ้างก็คงดี
“แล้วจักรพรรดินามว่าอะไรเหรอ”
“จักรพรรดิ...” หลิวอิงทำหน้างง จนคุณหนูของนางที่มองนางผ่านกระจกพอเข้าใจกริยานั้นได้ในทันที
“ต้องใช้คำว่าอะไรนะ เทียนจื่อ[1] ฮ่องเต้ พอเข้าใจสักคำหนึ่งไหม”
“...ทรงมีพระสมัญญานามว่า หลี่ซื่อหมินเจ้าค่ะ ...รัชศกเจินกวน” หลิวอิงตอบเสี่ยงแผ่ว ราวกับกลัวใครได้ยิน
ฟางหลินคนใหม่นั่งนิ่งคิด พระนามแท้จริงของโอรสสวรรค์ไม่สามารถเอื้อนเอ่ย กระทั่งพระมารดาเองก็ไม่มีสิทธิ์ ซึ่งจากชื่อที่หลิวอิงกระซิบบอก ก็แสดงว่านางหลุดเข้ามาอยู่ในสมัยจักรพรรดิถังไท่จงละมั้งเนี่ย
“ฮ่องเต้องค์ก่อนคือ ถังเกาจู่ใช่หรือเปล่า”
“ข้าไม่แน่ใจนัก...ตั้งแต่จำความได้ก็เป็นรัชศกเจินกวนอยู่ก่อนแล้ว”
อย่างนั้นก็เท่ากับว่า นางย้อนเวลากลับมาสมัยต้าถัง ปลายรัชสมัยขององค์จักรพรรดิ์ถังไท่จง รัชศกอู่เต๋อขององค์จักรพรรดิองค์ก่อนถังเกาจู่ รัชศกที่นางมาอยู่ตอนนี้คือเจินกวน รัชศกต่อไปก็... หลงซั่วของถังเกาจง โอ้ว พระนางบูเช็คเทียน ตอนนี้คงยังเป็นสนมขององค์ถังไท่จงอยู่สินะ
“อ๋อเหรอ... อายุเจ้าคงน้อยน่าดูเลยสินะ” คงห่างกับนางเยอะนั่นล่ะ
“คุณหนูล่ะก็...ข้าอายุตั้งสิบหกแล้วนะเจ้าคะ ถึงคุณหนูจะอ่อนกว่า แต่ก็เพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง” หลิวอิงเอ่ยเสียงเล็ก ฟางหลินคิ้วขมวด จ้องสาวใช้ผ่านกระจกทองเหลืองตาเขม็ง
“ข้าอายุเท่าไหร่”
“เจ้าคะ” หลิวอิงเงยหน้ามองคุณหนู ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งใจฟังให้ถนัด
“ข้าถามเจ้าว่า ข้าอายุเท่าไหร่” ฟางหลินย้ำคำถามของตน ใบหน้าแสดงอารมณ์ตกใจอยู่อย่างนั้น
“เอ่อ.. คุณหนูตายไปตอนอายุสิบสี่ สองปีผันผ่าน แล้วคุณหนูก็กลับมา... คุณหนูเกิดทีหลังข้าไม่กี่เดือน เพราะอย่างนั้น...”
“เดี๋ยวก่อน...อายุสิบหกแน่เหรอ แค่สิบหกเนี่ยนะ”
“เจ้าค่ะ ทำไมหรือจ้าคะ”
“แล้วข้าตายได้ยังไง ป่วยเหรอ หรืออหิวาระบาด... เอ่อ.. หรือข้าเป็นโรคร้ายอะไร” ฟางหลินถามเพิ่ม ก็ถ้าเกิดว่าแม่นางฟางหลินตายไปแล้วจริงๆ แล้วตัวนางเองมาที่นี่ทำไม คนตายไปแล้วสัญญาว่าจะกลับมาได้ด้วยเหรอไง
“เอ่อ..คุณหนูเจ้าคะ คือว่า...” สาวใช้อ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น ปากเล็ก ๆ สั่นไม่ยอมเอ่ยปาก
“เอ้า บอกมาสิ” ฟางหลินเร่งเร้า แม่นางคนนี้ตายน่าเกลียดมากหรืออย่างไร ทำไมถึงได้ไม่ยอมพูดอะไรเสียที
“คุณหนู... ฆ..ฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ ที่สระกลางจวน” นางตอบเสียงแผ่ว ยามเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น หัวใจของนางยังคงรู้สึกโหวงดั่งเดิม
“แค่ก แค่ก ฆ่าตัวตาย!...เมื่อสองปีก่อนนาง...เอ๊ย ข้าฆ่าตัวตายเหรอ” ฟางหลินสำลักน้ำลาย หมายความว่าตอนนั้นนางเพิ่งอายุสิบสี่น่ะสิ แล้วเด็กอายุสิบสี่จะฆ่าตัวตายไปทำไมน่ะ ยังใช้ชีวิตได้แค่นิดเดียวเอง
“เจ้าค่ะ...”
“แล้วทำไมข้าจะต้องฆ่าตัวตายด้วยล่ะ ข้าอัปลักษณ์เหรอ หรือว่าโดนแกล้ง มีเหตุผลสมควรข้อไหนทำให้ข้าต้องฆ่าตัวตายอย่างนั้นเหรอ”
“คุณหนู...ข้าไม่อยากพูดถึงมันอีกแล้วเจ้าค่ะ ถ้าข้าพูดไปแล้วคุณหนูเกิดจำได้ขึ้นมาแล้วทำอย่างนั้นอีก ข้าจะทำอย่างไร” สาวใช้ลำบากใจ
“เล่ามาเดี๋ยวนี้เลย ยังไงเจ้าก็ต้องเล่า” ฟางหลินเสียงแข็ง เด็กสาววัยรุ่นอายุแค่นี้เจอเรื่องหนักหนาขนาดไหนกันถึงได้ยอมทำให้พ่อแม่เสียใจขนาดนี้ แถมยังบอกว่าจะกลับมา นางตายไปแล้วจะกลับมาได้ยังไงกัน
“คุณหนู... ข้าเล่าก็ได้เจ้าค่ะ” หลิวอิงเอ่ยเรียกคุณหนูของนางอย่างลำบากใจ ก่อนจะเห็นแววตาดุแบบที่ไม่เคยเห็นจากฟางหลินคนเก่ามาก่อนก็ต้องยอมตัดใจเล่าความเป็นไปที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดออกมา
เพียงองค์ชายองค์หนึ่งที่นางคิดว่าเขารักใคร่เอ็นดู ยอมทำตามที่เขาบอกทุกอย่างเพื่อให้ได้แต่งกับเขา โดนเขาป้อยอด้วยคำหวานหู นับวันรอให้เขามาสู่ขอ จะเทียบเชิญหรือราชโองการ จะอย่างไรนางก็เฝ้าแต่รอ แต่เหตุไฉนนางถึงได้แต่รอเขาอยู่ที่จวน ในขณะที่เขากำลังอภิเษกกับหญิงสาวอีกคนที่เป็นลูกสาวของขุนนางขั้นสามคนหนึ่ง หญิงสาวที่อายุมากกว่านางเพียงปีเดียวและไม่มีมุมไหนงามกว่านางเลยแม้แต่น้อย นางถูกเขาหลอกให้รอคอยเขาอยู่ที่จวน ครั้นเมื่อนางออกไปเห็นความจริงด้านนอกจวนนั่น คำนินทาเย้ยหยันก็ดังตามหลังนางมาในเวลาไม่นาน บิดามารดาก็พลอยตกเป็นขี้ปากชาวบ้านไปด้วย องค์ชายผู้นั้นก็อภิเษกกับชายาเอกที่เป็นลูกสาวของเสนาบดีฝ่ายบริหารเสียยิ่งใหญ่ และหลังจากแต่งชายาเอกเข้าวังเพียงวันเดียว ก็มีข่าวว่าเขาแต่งตั้งลูกสาวของคุณนางอีกคนเป็นชายารองทันที และทั้งหมดนั่นก็ยิ่งเป็นเชื้อไฟอย่างดีที่ทำให้คำติฉินนินทาสำหรับตระกูลเหอยิ่งแพร่สะพัดออกไป พี่ชายทั้งสองถูกเย้ยหยันกลางวงสุรา ตระกูลของนางเป็นถึงอ๋องพระราชทาน แต่บัดนี้เพราะนางที่ทำให้ศักดิ์ศรีของบรรพชนต้องมัวหมอง นางอายเหลือเกิน ทั้งยังละอายใจต่อบิดามารดาของนางจนไม่อาจสู้หน้าได้ไหว ไม่กล้าแม้จะเอ่ยคำขอโทษออกจากปากของตัวเอง เสียใจเรื่องที่โดนหลอกยังไม่เท่าที่เป็นต้นเหตุให้วงตระกูลต้องแปดเปื้อนคำครหานินทา
ล่วงเลยเข้าวันที่สิบในวันที่อากาศหนาวเย็น สายลมยะเยือกพัดเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกเปิดเอาไว้ ร่างซูบซีดยังอยู่ตรงนั้น มองไปยังสวนกลางจวนและท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ใบไม้พลิ้วไหวส่งเสียงอื้ออึงคล้ายจะตอกย้ำให้หล่อนนึกถึงคำว่าร้ายที่เคยได้ยิน นางไม่อยากแตะอาหารหรือน้ำสักหยด นึกอยากจะหลับไปแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก นางอดทนแล้ว อดรนทนอยู่ความอับอายและความรูสึกของการเป็นคนอกตัญญูของตัวเองมาหลายวันแล้ว และก็ยังไม่มีที่ท่าจะทนได้ไหวอีกต่อไป นางจึงออกอุบายให้สาวใช้คนสนิทออกให้ห่างจากหอนอนของตัวเอง นางเตรียมการทุกอย่างด้วยความคิดของสตรีฉลาดเป็นทุนเดิมของนาง เอ่ยคำขอโทษบิดามารดาด้วยหมึกจากปลายพู่กัน และจมตัวเองลงไปพร้อมกับหอบเอาความอัปยศนั้นลงก้นสระน้ำ ทิ้งความหวังไว้เพียงประโยคสั้นๆ คำครหานินทาที่น่าอัปยศนั้นจึงถูกแทนที่ด้วยข่าวการตายของนางแทน ตระกูลเหอบอบช้ำจนไม่อาจกลับเป็นดังเดิมได้ มารดาต้องทนอยู่กับความหวังลมๆแล้งๆที่ดูไม่มีทางเป็นไปได้มากว่าสองปี กระทั่งว่านางโผล่ขึ้นมากลางสระน้ำพอดีนั่นแหละ ทุกๆอย่างก็ดีขึ้นทันตา