ปลอม
ก่อนหน้านั้น
“กระหม่อมจูจือหวังถวายพระพรฝ่าบาท”โจวเหวินหรงยิ้มอ่อนโยน
“ท่านอาจารย์ไม่ต้องมากพิธี”ลงมาจากแท่นนั่ง พยุงจูจือหวังให้ลุกขึ้น
“ฝ่าบาทมีเรื่องเร่งด่วนใดกัน”
“หวงซู่วางเหิมเกริม แอบอ้างเบื้องสูงอาศัยคำสังข้าลดทอนกำลังทหารตามแนวชายแดนเปิดทางให้เหล่าโจรกบฏออกปล้นสะดมชาวบ้าน ท่านอาจารย์คิดว่าข้าควรจะทำเช่นไรได้บ้าง”
“ฝ่าบาทเรื่องนี้ หากฝ่าบาทหยิบยกมาพูดในท้องพระโรงในการประชุมขุนนางอาจทำให้หวงซู่วาง ที่มีความอดทนเพียงน้อยนิดคิดการใหญ่ได้ เช่นนั้นเรื่องนี้ขอให้เป็น จือหวังที่เป็นคนจัดการเพียงลำพัง”
“ท่านอาจารย์มันอันตรายเกินไปหวงซู่วางจะพุ่งเป้าไปที่ท่านอาจารย์”
“หากเรา ไม่แข็งข้อกับหวงซู่วางเสียบ้างอีกหน่อยบัลลังก์แห่งนี้คงไม่อาจรักษาไว้ กระหม่อมแค่เพียงอยากลองทดสอบดูว่ามีผู้ภักดีกี่มากน้อย”โจวเหวินหรงทอดถอนใจ
“กระหม่อมวันนี้กำลังจะไปรับบุตรีที่กลับจาก แคว้นเหลียงปีนี้นางอายุครบสิบแปดปีแล้วไว้เข้าวังคราวหน้า กระหม่อมคงจะพานางเข้ามาถวายพระพรฝ่าบาทอย่างแน่นอน เรื่องหวงซู่วางตกลงตามที่พูดกันพรุ่งนี้กระหม่อมจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาในท้องพระโรง”โจวเหวินหรงพยักหน้า
“บุตรี ท่านอาจารย์โชคดีเหลือเกินไม่ต้องเข้ามาใช้ชีวิตในวังหลวงให้วุ่นวาย แคว้นเหลียง ป่าเขาสายธารสวยงามตรึงใจข้าอิจฉาชีวิตของนางไม่น้อย”
“กระหม่อมไม่อยากให้นาง ละทิ้งความสดใสมาใช้ชีวิตในวังเช่นวังหลวงแห่งนี้มีแต่การแกร่งแย่ง”
“หากไม่กลัวผิดต่อบรรพชน ข้าเองก็คงเร้นกายหลบหนีความวุ่นวายเช่นกัน”
“ฝ่าบาท หากเราไม่สามารถหลบเร้นจากที่ที่ไม่ประสงค์ เราก็ควรจะทำที่ตรงนั้นให้ น่า อภิรมย์สำหรับตัวเอง”ยิ้มปลอบโยนเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่โจวเหวินหรงได้เห็น
ค่ำคืนมืดมิดไร้ซึ่งแสงดาวและแสงจันทร์ด้วยมีเมฆบดบัง
โจวเหวินหรงในอาภรณ์สีดำพรางตัว พร้อมกระบี่ในมือหันมองแท่นนอนที่ถูกจัดให้เป็นเหมือนตนกำลังนอนอยู่ ควันกำยานลอยอ้อยอิ่ง ประตูหน้าต่างถูกเปิดออกก่อนที่จะเร้นกายออกไปและปิดหน้าต่างไว้เช่นเดิม
ทะยานขึ้นไปบนหลังคาไต่ไปตามแผ่นกระเบื้องด้วยวิชาตัวเบาจนกระทั่ง ถึงที่พำนักของ เหล่าผู้คัดตัวนางในทอดกายลงนั่งเอกขเนกจ้องมองหวังว่าจะพบจื่อหราน กวงซีหมิงเองก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น เฝ้าอารักขาจื่อหรานตามบัญชาของเขา บนหลังคาลมเย็นพัดสบายโจวเหวินหรงยิ้มเป็นสุข จะมีสักครั้งไหมที่เขารู้สึกเป็นอิสระเช่นนี้ตั้งแต่นั่งบนบัลลังก์มังกรตัวเขาไม่ต่างจากหุ่นกระบอกที่ต้องคอย เดินหรือขยับตามเชือกที่บังคับ ดึงรั้งแขนขาอยู่ หลับตาลงช้าๆเสียงบางสิ่งแหวกอากาศมาโจวเหวินหรงลืมตาขึ้นด้วยสัญชาติญาณ ร่างดำทะมึนพร้อมกับกระบี่ในมือทะยานลงจากคาคบไม้ วิ่งทะยานเข้าสู่ห้องๆหนึ่งพร้อมเพรียงกันทั้งสามคน
กวงซีหมิงกลับพุ่งทะยานเข้าใส่อย่างรวดเร็ว สมกับเป็นองครักษ์ชั้นหนึ่งเสียงกระบี่กระทบกันเสียงดัง แต่ไร้ซึ่งกำลังเสริมเหมือนกับกองกำลังหทารบางส่วนถูกโยกย้ายไปที่อื่น หรืออาจถูกใครสั่งไม่ให้มาเดินตรวจตราบริเวณนี้ ตามแผนการของคนชั่ว มือสังหารสองคนกำลังต่อสู้ติดพันกับกวงซีหมิงอีกคนกลับพุ่งเข้าหาประตู ยกกระบี่ขึ้นในท่าเตรียมพร้อม โจวเหรินหรงทะยานลงมาจากหลังคา พุ่งเข้าใส่มือสังหารที่กำลังเงื้อกระบี่ขึ้นหมายจะปลิดชีวิตของจื่อหราน โดยใช้กระบี่ในมือขวางคมกระบี่ที่กำลังจ้วงแทงไปที่แท่นนอน จื่อหรานในอาภรณ์สีขาวลุกขึ้นนั่งผมยาวสลวยไม่ได้เกล้ารวบไว้แม้ยามตื่นตกใจยังน่ามองเพียงนี้
โจวเหวินหรงเหลือบตามองเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของมือสังหารที่เพลี่ยงพล้ำต่อกวงซีหมิงแต่ โจวเหวินหรงกลับถอยร่นจนเกือบชิดกำแพงห้อง กวงซีหมิงพุ่งเข้ามาขวางมือสังหารไว้
“ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้าเจ้าพานางหนีไป”
ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าใคร แต่หากจะเป็นใครสักคนมาช่วยก็ยินดีก็ในเมื่อตอนนี้ ฝ่ายมือสังหารกลับเพิ่มจำนวนอีกเท่าตัว
โจวเหวินหรงฉุดมือจื่อหรานที่พ่วงเอาฮุ่ยหนิงมาด้วย พาก้าวเท้าออกจากห้องพักไปอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็วางใจได้ว่ากวงซีหมิงจะสามารถรับมือเหล่ามือสังหารได้ เมื่อไม่มีใครเป็นตัวถ่วง
“จะพา ข้าไปไหน”จื่อหรานถามขึ้นหลังจากออกมาแล้ว ฮุ่ยหนิงบีบมือเบาๆ เหมือนจะเตือนว่าอย่าสงสัยอะไรอีกเลยรีบตามเขาไปเถอะ
“ตามมาเงียบๆ หุบปากของเจ้าเสีย”
น้ำเสียงดุดุ จื่อหรานยอมนิ่ง และเดินตามไปไม่ปริปากพูดอะไรอีก เข้าใจสถานการณ์ดีเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนเหตุใดต้องการสังหารจื่อหรานเหตุใดต้องมีคนคอยคุ้มกันถึงสองคนจะว่าเป็นฝีมือของท่านลุงที่ส่งคนมาคุ้มกันก็ไม่อาจเพราะที่นี่คือวังหลวง
โจวเหวินหรง พาทั้งสองนางเดินลัดเลาะไปตามทางเดินแคบๆ ที่ข้างๆเป็นผาหินแต่อยู่ในเขตอุทยานหลวง
"จะพาเราไปไหนแล้วเจ้าคือใครกันทำเช่นนี้เท่ากับลักพาตัวผู้คัดตัวนางในโทษถึงตาย"