บทที่ 4
มาริลีนจะต้องสวมเสื้อผ้าที่ตัดเย็บด้วยช่างตัดเสื้อผู้มีฝีมือและราคาแพงที่สุดบนถนนบอนด์ สตรีท จะต้องตกแต่งทรงผมด้วยฝีมือช่างที่มากความสามารถ หล่อนจึงสวยเด่นสะดุดตาในห้องบอลล์รูมของทุกคฤหาสน์ ถ้าไม่มีญาติสาวปรากฏตัวอยู่ด้วย
ซึ่งเคาน์เตส แห่งมิลล์บรู๊ค มองเห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ถ้าเฮอเมียอยู่เคียงข้างลูกสาวของนางแล้ว มาริลีนย่อมจะไม่มีทางได้รับคำอภินันทนาการในความงามเลย..
ครั้งแรกที่เฮอเมียได้รับรู้ว่า ตนเองจะไม่ได้รับเชิญให้ไปร่วมงานบอลล์ ซึ่งจัดขึ้นที่เดอะ ฮอลล์ ทั้งที่เธอเฝ้ารอคอยด้วยความตื่นเต้นกระวนกระวายใจอย่างที่สุด เธอถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ
“มาริลีนตัดชื่อหนูออกได้ยังไงกันคะ มาม่า?” เธอถามด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น “เราเคยคุยกันเสมอถึงเรื่องต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตเมื่อเราโตขึ้น แล้วก็เคยคุยกันเรื่องงานบอลล์ด้วย..และตอนที่คุยกันมันก็น่าสนุกออก..เรายังล้อกันเลยว่าเราจะชนะใจผู้ชายได้สักกี่คน แล้วใครจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริง..” เธอพูดพลางสะอื้นไห้ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นมารดาได้แต่โอบและรั้งร่างเข้ามาแนบอก
“เอาละฟังแม่ให้ดีนะลูก..” มิสซิสบรู๊คพูดเสียงเบา “แม่คิดว่ามันถึงเวลาที่ลูกควรจะต้องเผชิญหน้ากับความจริงเสียทีแล้ว เหมือนที่แม่ต้องทำตอนที่แต่งงานกับพ่อของลูกนั่นแหละ..”
เฮอเมียปาดน้ำตา ฟังสิ่งที่มารดาพูดอยู่อย่างสนใจ
“แม่รู้ว่าบางครั้งลูกจะต้องคิดสงสัยอยู่บ้าง ว่าทำไมท่านป้าอีดิธ หรือแม้แต่ท่านลุงจอห์นของลูก จึงมักจะแสดงท่าที่เหมือนเหยียดหยามแม่”
“หนูเคยสังเกตเห็นอยู่เหมือนกัน เวลาที่ท่านลุงกับท่านป้าทำท่าแบบนั้นใส่มาม่า”
“ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะท่านปู่ ได้วางแผนไว้ว่าจะให้พ่อของลูกแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งร่ำรวยมาก..และผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ไกลจากเดอะ ฮอลล์ เท่าไรเลย ทั้งเธอยังแสดงให้ทุกคนเห็นอย่างโจ่งแจ้งอีกด้วยว่า เธอรักพ่อของลูกมาก”
“หนูว่าเรื่องนั้นไม่น่าแปลกใจหรอกค่ะ มาม่า เพราะปาป้าเป็นคนหล่อมาก จนหนูเข้าใจได้เลยว่าพวกผู้หญิงจะต้องมองเห็นว่าปาป้าเป็นเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์อย่างที่สุด”
“แม่เองก็เห็นอย่างนั้นเหมือนกัน” มารดาของเฮอเมียตอบอย่างยอมรับ “ในสายตาของแม่ พ่อเป็นผู้ชายที่ดึงดูดใจอย่างที่สุด เป็นคนที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกด้วย”
ตลอดเวลาดังกล่าว มิสซิสบรู๊คพูดถึงสามีด้วยน้ำเสียงและแววตาที่อ่อนโยน บ่งบอกถึงความรักที่หล่อนมีต่อสามีอย่างสุดซึ้ง
“แต่ว่าแม่เป็นลูกสาวของนายพลคนหนึ่ง ที่อุทิศชีวิตเพื่อประเทศชาติมาโดยตลอด เมื่อเกษียณอายุจากราชการก็มีเงินบำนาญเพียงปีละไม่เท่าไรเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ลูกๆ ของท่านก็ต้องพลอยยากจนตามไปด้วย”
เฮอเมียผุดลุกขึ้นนั่ง หยาดน้ำตาบนนวลแก้มแห้งหายไปแล้ว..
“ตอนนี้หนูเข้าใจแล้วละค่ะ มาม่า..” เธอกล่าว “ว่าที่ปาป้าแต่งงานกับมาม่า ก็เพราะท่านรักมาม่ามาก และไม่คิด
จะสนใจผู้หญิงอื่น และไม่คิดจะสนใจผู้หญิงอื่นแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะร่ำรวยสักแค่ไหนก็ตาม”
“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ” แม่ของเธอตอบอย่างยอมรับ “ทั้งท่านย่าและท่านลุงต่างช่วยกันเกลี้ยกล่อมเพื่อให้พ่อของลูกคิดถึงอนาคตในวันข้างหน้าไว้บ้าง แต่พ่อกลับบอกทุกคนอย่างเปิดเผยเลยว่า นี่คือสิ่งที่เขาต้องการจะทำ..”
“หลังจากนั้นมาม่ากับปาป้าก็แต่งงานกัน แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาโดยตลอด” ดวงตาของเฮอเมียเป็น
ประกาย
“มันเป็นความสุขที่สุดในชีวิตเลยลูก” มิสซิสบรู๊คยอมรับกับลูกสาว “ขณะเดียวกัน ลูกก็ย่อมจะต้องได้รับความเดือดร้อนไปด้วย เพราะไม่เพียงแต่ลูกจะเป็นลูกของแม่เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะลูกเกิดมาสวย เป็นเด็กน่ารักมากอีกด้วย”
เฮอเมียออกจะตกใจกับคำพูดของมารดา ทั้งนี้เพราะมันเป็นอะไรบางอย่างที่มิสซิสบรู๊ค ไม่เคยพูดกับลูกสาวมา
ก่อนเลย
“สิ่งที่แม่กำลังพูดอยู่นี้มันเป็นเรื่องจริง ไม่ได้หมายความว่าแม่จะมายกยอลูกของตัวเอง แม่เชื่ออย่างสนิทใจเลยนะว่า เพราะชีวิตแต่งงานของพ่อกับแม่เป็นชีวิตความสุขมาก และเราสองคนก็รักกันมาก เพราะฉะนั้น ไม่เพียงแต่ลูกที่เกิดมาจะมีหน้าตาสวยสดงดงามเท่านั้น แต่รูปร่างและบุคลิกภาพย่อมจะต้องดีตามไปด้วย”
ซึ่งเป็นความจริงอย่างยิ่งสำหรับปีเตอร์..เฮอเมียคิดอยู่ในใจ
พี่ชายของเธอเป็นชายหนุ่มที่มีความหล่อสะดุดตาและเพราะเฮอเมียมีส่วนละม้ายมารดาอย่างมาก ดังนั้นเธอจึงมั่นใจในความสวยของตัวเองได้เต็มที่
เมื่อใดก็ตามที่มีงานปาร์ตี้ต่างๆ จัดขึ้นที่เดอะ ฮอลล์ บรรดาสุภาพบุรุษทั้งหลายไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดก็ตาม มักจะหาทางเข้ามาชวนเธอสนทนาอยู่ไม่วางเว้น
“สิ่งหนึ่งที่แม่อยากจะให้ลูกจดจำไว้..” มิสซิสบรู๊คกล่าวต่อ “ในชีวิตของคนเรานั้น เรามักจะต้องชดใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งทุกสิ่ง จำไว้นะลูก ว่าไม่เคยมีอะไรในโลกนี้ที่เราจะได้มาฟรีๆ และยิ่งลูกด้วยแล้ว ขณะที่ลูกอาจจะคิดว่ามันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการที่ลูกเกิดมาเป็นคนสวย ลูกก็ยังจะต้องชดใช้ในความสวยนั้นด้วยความรู้ที่ว่า จะต้องมีผู้หญิงอื่นที่อิจฉาริษยาในตัวลูก และจะทำให้ความต้องการในอะไรก็ตามของลูก กลายเป็นสิ่งที่จะได้มาด้วยความยากลำบากมากยิ่งขึ้น”
นั่นคือสิ่งที่มาริลีนได้กระทำและแสดงให้เห็นแล้ว..เฮอเมียคิดอยู่ในใจ..ไม่มีบัตรเชิญจากเดอะ ฮอลล์ ส่งมาที่บ้านนี้อีก และท่านป้าก็มักจะจับตามองเธอด้วยสายตาประสงค์ร้ายแม้จะเป็นตอนที่อยู่ในโบสถ์ก็ตาม
ปีเตอร์กลับมาจากอ็อกซ์ฟอร์ด..ซึ่งทุกคนในครอบครัวต้องเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อส่งเขาไปเรียนต่อที่นั่น เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาไม่เพียงแต่จะเล่าถึงเรื่องน่าตื่นเต้นต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตนักศึกษาของตน แต่ยังเล่าถึงการเดินทางไปเที่ยวกรุงลอนดอนกับเพื่อนสนิทบางคนด้วย..
เวลาอยู่กับเฮอเมียตามลำพัง เขามักจะร้องทุกข์กับเธอว่า เขาน้อยใจเพียงไรที่ตัวเองไม่มีเงินมากพอที่จะสั่งตัดเสื้อผ้าจากช่างฝีมือเยี่ยมอย่างที่เพื่อนๆ ทำกันอยู่
“แม้แต่ม้าทุกตัวที่พวกเขาเป็นเจ้าของ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นม้าที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวทั้งนั้น ซึ่งคนอย่างพี่คงไม่มีปัญญาจะหาซื้อม้าสักตัวให้ทัดเทียมกับพวกเขาได้หรอก”
ปีเตอร์ก็เช่นเดียวกับพ่อ คือได้รับอนุญาตให้ขี่ม้าที่อยู่ในโรงม้าใหญ่ของท่านเอิร์ลได้ทุกเวลาที่ต้องการ แต่จะเอาไปไหนด้วยไม่ได้อย่างเด็ดขาดม้าที่เขาใช้อยู่ที่อ็อกซ์ฟอร์ดนั้น ถ้าไม่ขอยืมมาจากเพื่อนก็มักจะต้องหาเช่าจากบางคอกที่ยอมให้เช่าเท่านั้น
“บอกตามตรงว่าพี่เกลียดความยากจนอย่างที่สุด..” เขาเคยร้องใส่หน้าเธอด้วยความขุ่นแค้นมาแล้ว ตอนที่กลับมาเยี่ยมบ้านคราวที่แล้ว
“อย่าได้พูดอย่างนี้ให้ปาป้าหรือมาม่าได้ยินเชียวนะ..” เฮอเมียรีบเตือนพี่ชาย “ไม่เช่นนั้นท่านจะเสียใจได้”
“พี่รู้หรอกน่า” ปีเตอร์ตอบ “แต่เวลาที่พี่ขึ้นไปเดอะ ฮอลล์แล้วเจอวิลเลียมผู้มีเงินล้นฟ้าเข้า เขาจะต้องใช้วาจากระทบกระเทียบพี่ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เที่ยวเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่เกี่ยวกับความยากจนของเราให้พวกเพื่อนๆ พี่ฟัง บางครั้งพี่ก็อยากจะชกหน้ามันให้คว่ำไปเลย..!”
“ตายแล้ว..” เฮอเมียร้องลั่นอย่างตกใจ “พี่อย่าได้ทำอะไรแบบนั้นเขียวนะ ถ้าเรื่องถึงท่านลุงจอร์นละก้อ ท่านก็จะต้องโกรธมาก แล้วทั้งพี่และปาป้าก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เอาม้าไปขี่ได้อีก และพี่ก็คงรู้แล้วว่าเวลานี้ฉันไม่ได้รับเชิญจากทางเดอะ ฮอลล์อีกต่อไปแล้ว”
“ปาป้าเล่าให้พี่ฟังแล้วละ” ปีเตอร์ตอบ “แต่มันเป็นความผิดของเธอเองนี่ที่เกิดมาสวยจนน่าหมั่นไส้”
“เอ๊ะ..นี่พี่กำลังชมฉันอยู่ใช่ไหม?” เฮอเมียถามปนหัวเราะ
“ก็ใช่น่ะสิ” ปีเตอร์ตอบหน้าตาเฉย “นี่นะ ถ้าเธอได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าดีๆ ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปลอนดอนตอนฤดูกาลงานสังคมละก้อ พี่รับรองได้เลยว่าเธอจะได้รับการดื่มอวยพรจากสำนักเซนต์ เจมส์ และตอนนั้นแหละเธอที่พี่จะภาคภูมิใจในตัวเธออย่างที่สุด”
เขาไม่เพียงแต่จะคิดถึงเธอเท่านั้น..เฮอเมียรู้.. แต่เขาต้องการความสะใจ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาอวิลเลียมผู้ทั้งเป็นเพื่อนทั้งญาติสนิท กลับมองเห็นเขาเป็นเพียง ‘ขอทานที่มายืนรอรับการบริจาคอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน..!’
และเนื่องจากปีเตอร์มีนิสัยใจคอละม้ายคล้ายบิดาจู่ๆ เขาก็ระเบิดออกมาว่า
“เฮ้อ..ช่างหัวมันเถอะ ทำไมพี่จะต้องแคร์ด้วย..พี่ตั้งใจแล้วว่าจะต้องทําให้ชีวิตของตัวเองประสบแต่สิ่งที่ดีที่สุด.. จําคําพี่ไว้เลยนะเฮอเมีย ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์หรือด้วยกล ไม่ช้าไม่นานนี้แหละ พี่จะต้องได้ทุกสิ่งที่พี่ต้องการ..!”
“ถ้าจะไม่มีใครเชื่อพี่เลย ขอให้รับรู้ไว้ว่า..ฉันเชื่อ” เฮอเมียตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
จากนั้นสองพี่น้องก็เดินจูงมือกันลงบันไดไปรับประทานอาหาร ซึ่งแม้จะเป็นเพียงอาหารธรรมดาๆ ไม่กี่อย่าง แต่ก็ได้รับการปรุงแต่งอย่างประณีตด้วยฝีมือมารดา ที่พยายามใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจํากัดจําเขี่ยให้เป็นประโยชน์ที่สุด