บทที่ 5
ขณะนี้ เมื่อเฮอเมียเดินผ่านประตูบ้านด้านหน้าเข้ามานั้น เธอก็ได้ยินเสียงเครื่องใช้ในครัวกระทบกันดังอยู่
ซึ่งเสียงแบบนี้แสดงว่าแนนนี่ ผู้ซึ่งดูแลเธอมาตั้งแต่เธอยังเป็นทารก และบัดนี้ได้เปลี่ยนมาทําหน้าที่แม่ครัวกําลังหงุดหงิด เนื่องจากเฮอเมียใช้เวลาไปเก็บไข่นานเกินควร
เฮอเมียอดคิดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้ ว่าควรจะเล่าถึงเหตุผลแท้จริงที่ทําให้กลับบ้านล่าช้าให้แนนนี่ฟังดีหรือไม่ แต่พอเธอโผล่เข้าไปในประตูครัวก็ได้ยินเสียงแนนนี่เอ็ดตะโ เข้าใส่
“มาพอดีที่เดียว..สงสัยว่าคุณหนูคงจะฝันเพลินเหมือนเคยอีกแล้วสินะคะ ทั้งที่อิฉันรีบจะทําอาหารให้เสร็จก่อนที่คุณพ่อจะออกไปเยี่ยมมิสซิสเกรนเยอร์ เพราะเธอส่งคนมา
ตาม..”
“หนูขอโทษค่ะแนนนี่ ที่ใช้เวลานานไปหน่อย” เฮอเมียกล่าว
“คุณหนูน่ะชอบฝันกลางวันอยู่เรื่อย” แนนนี่ทำเสียงดุ “คอยดูเถอะ สักวันหนึ่งคุณหนูคงจะหาทางกลับบ้านไม่เจอแน่ ไม่เชื่อก็คอยดูต่อไปแล้วกัน”
นางรับตะกร้าไปจากเฮอเมียเอาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มต่อยไข่ใส่ชามใบใหญ่ เฮอเมียรู้ว่าแนนนี่กำลังจะทำออมเล็ต
“มิสซิสเกรนเยอร์ต้องการพบปาป้าเรื่องอะไรหรือคะแนนนี่?” เฮอเมียถามอย่างแปลกใจ
“อิฉันคิดว่าแกคงนึกว่าแกใกล้จะตายอีกครั้งแล้วมังคะ” แนนนี่ตอบห้วนๆ “เป็นข้ออ้างอย่างหนึ่งที่จะให้ท่านบาทหลวงได้จับมือแกไว้ แล้วก็บอกว่าพระเจ้ากำลังรออยู่พร้อมด้วยเหล่าเทวทูตทั้งหลาย แต่อิฉันว่าจริงๆ แล้ว พระเจ้าน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ดีกว่านั้นทำนะคะ”
คำตอบของแนนนี่ทำให้เฮอเมียอดหัวเราะไม่ได้
วิธีการพูดเสียดสีประชดประเทียดของแนนนี่นั้น ออกจะแตกต่างกว่าวิธีการพูดของคนอื่นๆ แต่เฮอเมียรู้ดีว่า ที่แนนนี่พูดอย่างนี้ก็เพราะนางรักทุกคนในครอบครัวนี้ และไม่พอใจถ้าใครจะมาสร้างความยุ่งยากให้กับบิดาของเธอ
“เอาละค่ะ ตอนนี้กรุณาออกไปจัดโต๊ะได้แล้วนะคะ มิสเฮอเมีย” แนนนี่ออกคำสั่ง “อิฉันจะไม่ยอมให้คุณพ่อของคุณหนูออกจากบ้านหลังนี้ทั้งท้องว่างๆ แบบนั้นหรอกค่ะ ไม่ว่าท่านจะว่ายังไงก็ตาม”
เฮอเมียรีบวิ่งออกไปจัดการตามคำสั่ง พอจัดโต๊ะสำหรับสามคนเสร็จก็ได้ยินเสียงมารดาที่เพิ่งกลับมาจากหมู่บ้าน
มันดูออกจะแปลกเป็นพิเศษที่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้มีอะไรต่อมิอะไรให้ทำมากมายเหลือเกิน ทั้งยังมีผู้คนอีกมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ก็กำลังใจ ถ้าไม่จากแม่ก็พ่อของเธอ ซึ่งผลที่เกิดตามมาก็คือ ทั้งสามคนพ่อแม่และลูกสาว จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันวันละไม่เกินหนึ่งชั่วโมง
ทันทีที่มิสซิสบรู๊คเดินผ่านประตูบ้านด้านหน้าเข้ามาและเหลือบไปเห็นลูกสาวที่กำลังจัดโต๊ะให้เรียบร้อยอยู่ในห้องรับประทานอาหาร ก็ร้องออกมาว่า
“โอ. ลูกจ๋า แม่ดีใจจริงที่หนูอยู่บ้าน มิสซิสเบอเกิลส์น่ะน่าสงสารเหลือเกิน นี่แม่สัญญากับแกไว้ว่าจะส่งยาแก้ไอตำรับพิเศษของแม่ไปให้ หลังอาหารกลางวันแล้ว หนูช่วยเอาไปให้แกหน่อยได้ไหมลูก?”
“ได้สิคะ มาม่า” เฮอเมียรับคำอย่างเต็มอกเต็มใจ
ผู้เป็นมารดาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูพร้อมกับถามต่อว่า
“นี่หนูไปเก็บไข่จากฮันนี้ซัคเคิล ฟาร์มมาใช่ไหม..มิสซิสจอห์นสันได้ข่าวคราวเรื่องลูกชายแกบ้างหรือเปล่า?”
“ยังไม่ได้เลยค่ะ” เฮอเมียตอบ
สีหน้าของมารดาสลดเศร้า เป็นครั้งแรกที่เฮอเมียฉุกใจคิดขึ้นมาว่า ยังจะมีใครสักกี่คนในละแวกนี้ที่จะใส่ใจในความทุกข์ยากของผู้คนที่อยู่ล้อมรอบตัวเช่นบิดากับมารดาของเธออีก..?
ไม่ว่าลูกของใครจะเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา หรือเมื่อคนชราคนหนึ่งเกิดตายลง หรือแม้แต่ทางครอบครัวไม่ได้รับข่าวคราวจากลูกชายที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร และอื่นๆ อีกมากมาย เหล่านี้ล้วนแล้วแต่กลายมาเป็นปัญหาส่วนตัวของบาทหลวงกับภรรยาทั้งสิ้น
ซึ่งถ้าจะกล่าวตามความเป็นจริง เฮอเมียมักจะคิดอยู่เสมอว่า ความสุขของทุกคนในหมู่บ้านคือความสุขของครอบครัวเธอด้วย และในยามทุกข์ก็มักเป็นความทุกข์ของครอบครัวอีกเช่นกัน..
มันทำให้เธอมีความรู้สึกเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่ใหญ่มาก มันทำให้เฮอเมียรู้ว่ามันเป็นชีวิตที่แตกต่างกว่าชีวิตแบบของท่านเอิร์ลและภรรยาที่มักแวดล้อมอยู่ด้วยผู้รู้จักมักคุ้น แต่ไม่มีใครเลยสักคนที่จะรู้จักจิตใจของกันและกันอย่างแท้จริง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มันทำให้เธอรู้สึกรานร้าวในหัวใจขึ้นมาอีก เมื่อคิดถึงว่า บัดนี้ มาริลีนไม่ได้ทำตัวเป็นเพื่อน
กับเธออีกต่อไปแล้ว จะมีอยู่ก็แต่สายสัมพันธ์ในความเป็นญาติที่ไม่ต้องการเห็นหน้าเธออีกต่อไป
มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกว่าสมัยที่ยังเป็นเด็กและแข่งกันเรียนแข่งกันเล่นมาโดยตลอดอย่างมาก
ในครั้งกระนั้น เด็กหญิงทั้งสองมีอะไรมากมายหลายสิ่งที่สามารถทำร่วมกันได้ ทั้งสองต่างอยู่ในคฤหาสน์เก่าแก่หลังใหญ่ ซึ่งเป็นคฤหาสน์ประจำตระกูลบรู๊คมาหลายชั่วอายุคน เมื่อเบื่อบรรยากาศภายในบ้านก็จะออกไปอยู่ในสวนไม้ดอกที่ได้รับการตกแต่งไว้อย่างสวยงาม แต่ส่วนใหญ่มักจะขลุกกันอยู่ในคอกม้า
ท่านเอิร์ลมิได้สมรสจนล่วงเลยวัยหนุ่มไปค่อนข้างมากและเหตุนี้ทำให้น้องชายของเขามีลูกสาวที่อายุไล่เลี่ยกับลูกสาวของตน และเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กๆ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน จะถูกเลี้ยงดูให้เจริญวัยขึ้นมาด้วยกัน
ซึ่งนับเป็นความเมตตาอย่างยิ่งที่บิดาและมารดาของเฮอเมียได้รับ ขณะเดียวกัน มันทำให้เธอได้สำนึกถึงความแตกต่างทางด้านฐานะระหว่างท่านลุงกับบิดาของเธอด้วย
อย่างไรก็ตาม เธอได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กถึงความแตกต่างอันสำคัญโดยเฉพาะในเรื่องของความสุข ทั้งนี้ เพราะบรรยากาศแห่งความสุขภายในบ้านพักของบาทหลวงนั้น ถ้าจะเปรียบก็ราวความสว่างเรืองรองแห่งแสงอาทิตย์ที่ฉายฉานอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่บรรยากาศที่เดอะ ฮอลล์ จะดูหมองหม่นซึมเซา และบ่อยครั้งที่มักจะรุ่มร้อนด้วยความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน
หลังจากเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปี เฮอเมียก็ยังได้รับรู้ต่อไปอีกด้วยว่าแท้ที่จริงแล้วทั้งท่านลุงและท่านป้าของเธอนั้นแทบจะไม่มีทางเข้ากันได้เลย..
ขณะอยู่ต่อหน้าผู้คน ท่านเอิร์ลกับภรรยาจะแสดงความรักใคร่ไยดีต่อกัน ทั้งสองจะช่วยกันรับรองแขกเหรื่อด้วยมารยาทอันสุภาพ แต่ทุกความรู้สึกที่แสดงออกนั้น ถ้าใครบางคนจะช่างสังเกตอยู่สักหน่อยก็จะสัมผัสได้ว่า แท้ที่จริงแล้วไม่ได้มีความจริงใจแฝงอยู่ด้วยเลย
แต่เมื่อไม่มีใครนอกจากมาริลีนกับเฮอเมีย ก็จะเห็นได้ชัดว่าเคาน์เตส มองเห็นว่าสามีของเธอนั้นเป็นบุคคลที่น่าเบื่อหน่ายอย่างที่สุด ขณะที่ท่านเอิร์ล ซึ่งปรกติแล้วเป็นบุคคลที่ชอบใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ก็แสดงความไม่ชอบในเกือบจะทุกสิ่งที่ภรรยาทำหรือเสนอแนะขึ้น
สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันหมายถึงความตึงเครียดที่เกิดอยู่ระหว่างสองสามีภรรยา และเป็นสิ่งที่เฮอเมียผู้อ่อนไหวต่อความรู้สึกและมีนิสัยเป็นคนช่างสังเกต สามารถจับได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน
เมื่อใดก็ตามที่ไม่มีแขกมาพักที่บ้าน เด็กหญิงทั้งสองจะรับประทานอาหารด้วยกันชั้นล่าง แต่บ่อยครั้งที่เฮอเมีย
จะวิ่งกลับมาบ้าน พอใจที่จะรับประทานอาหารง่ายๆ ที่แนนนี่เตรียมให้ มากกว่าอาหารรสเลิศที่จะต้องมีคนรับใช้คอยเสิร์ฟและดูแลถึงสามคน ไม่นับพ่อบ้าน..
และเมื่อเฮอเมียกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น เธอจะโถมเข้ากอดมารดาไว้ แล้วก็พูดตามประสาเด็กว่า
“มาม่าขา..หนูรักมาม่าเหลือเกิน หนูอยากอยู่กับมาม่าทุกวันเลย หนูรักบ้านหลังเล็กๆ ที่อบอุ่นของเรา และหนูอยากให้ทุกๆ คนมาอยู่พร้อมหน้ากันด้วยค่ะ”
เนื่องจากมิสซิสบรู๊คเข้าใจดีว่าลูกสาวของนางมีความรู้สึกอย่างไร นางจึงจำต้องใช้วิธีการตามแบบของตนเองเพื่ออธิบายให้เฮอเมียเข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงต้องศึกษาหาความรู้เท่าที่สามารถจะหาได้จากครูผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งคุณลุงได้ลงทุนว่าจ้างมาด้วยราคาแพงมาก
“แม่กลัวเหลือเกินนะลูกรัก ว่าถ้าหนูไม่ไปเรียนหนังสือที่เดอะ ฮอลล์ละก้อ ปาป้าจะต้องลงมือสอนหนูเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะนอกจากปาป้าจะลืมแล้วหนูก็เห็นว่าบ่อยครั้งท่านมีภารกิจมาก ยุ่งกับการรับใช้พระเจ้าอยู่ตลอดเวลา”
“หรือไม่เช่นนั้นนะ..” มิสซิสบรู๊คกล่าวต่อ “เราก็อาจจะต้องไปเกลี้ยกล่อมให้มิสคันนิ่งแฮมซึ่งก็แก่มากแล้ว แถมเวลานี้ก็ใกล้จะตาบอดเต็มที แต่ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นครูให้มาช่วยสอนหนูให้มีความรู้ในวิชาสำคัญๆ บางวิชาอยู่ดี”
“มาม่าคะ หนูเข้าใจดีค่ะว่ามาม่ากำลังสอนอะไรหนูอยู่” เฮอเมียซึ่งตอนนั้นอายุสิบสี่ปีแล้ว กล่าวกับมารดาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แล้วหนูก็สำนึกในบุญคุณของมิสเวดอย่างมากเลยค่ะ ที่พยายามสอนเราทุกวิชาที่เธอมีความรู้ ขณะเดียวกันสิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่าแต่ละบทเรียนที่มิสเวดสอนก็คือหนูได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องสมุดที่เดอะ ฮอลล์ได้ด้วยค่ะ” สาวน้อยหัวเราะเสียงใสก่อนกล่าวต่อว่า
“ผู้ดูแลที่ดินของท่านลุงยังบอกเลยนะคะมาม่า ว่าที่บ้านนั้นไม่มีใครสนใจเรื่องหนังสือเท่าหนูสักคน และเวลาที่เขาทำรายการหนังสือที่จะจัดใส่ห้องสมุดแต่ละครั้ง หนูแน่ใจเลยค่ะ ว่าเขาจะต้องใส่ชื่อหนังสือที่หนูชอบเข้าไว้ด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นลูกก็โชคดีมากเลยละ” มิสซิสบรู๊คยิ้มให้ลูกสาว
และนั่นเป็นสิทธิพิเศษอีกอย่างนึงที่เฮอเมียได้รับ มันไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะเข้าไปในห้องสมุด โดยเฉพาะเวลาที่ท่านเอิร์ลกับภรรยาไม่อยู่บ้าน
แต่เธอรู้สึกว่ามันเป็นความผิดถ้าจะเอาหนังสือเหล่านั้นมาเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยเฉพาะเวลาที่ท่านเอิร์ลกับภรรยาของท่านไม่อยู่บ้าน