เบรคแตก
วิเชียรรู้ใช้ไม้อ่อนกับเธอไม่ได้ในตอนนี้ จึงพยักพเยิดให้ลลิดาลุกออกไปรออยู่ที่รถ กลัวเรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้ เขาต้องการคุยกับบุตรสาวตามลำพัง ขณะเดียวกันมาลัยที่ยืนอึดอัดอยู่ ก็ถือโอกาสตอนนั้นออกไปด้วย
ร่างสูงในวัยสี่สิบแปด แต่มีใบหน้าราวกับคนโกงอายุ เขาดูไม่แก่เลย ผลของการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ หากมองเผินๆ คู่พ่อลูกนี้เสมือนพี่ชายกับน้องสาวเสียด้วยซ้ำ จ้องเขม็งมายังมดตะนอย เด็กสาวเอาแต่ใจที่ไม่ยอมโตสักที พลางถอนหายใจพรืด
“เมื่อคืนพ่อกับลลิดาติดอยู่ในลิฟต์ ใช้เวลานานกว่าชั่วโมงถึงจะพากันออกมาได้”
พร้อมคำอธิบายที่ทำให้คนฟังปรับเปลี่ยนสีหน้าตึงเครียดผ่อนคลายลง ทว่าไม่ได้เชื่อซะทั้งหมด หล่อนยังคงปั้นหน้าบึ้ง รอให้ผู้เป็นพ่ออธิบายต่อ
“แบตโทรศัพท์พ่อหมด ลลิดาเองไม่ได้เอาโทรศัพท์ไป ก่อนหน้านั้นพ่ออนุญาตให้ รปภ.กลับบ้านก่อน เพราะเลยเวลาของเขามามากพอแล้ว ถึงไม่มีใครอยู่ในห้องวงจรปิด”
“หมายความว่าไง พ่อไม่ได้รอให้อีกคนมาสับเปลี่ยน..”
“ก็เพราะคิดว่าตัวเองอยู่ ถึงได้ชะล่าใจจนเกิดเหตุยังไงล่ะ ลิฟต์ค้างไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก พ่อมั่นใจเพราะเอกสารสำคัญบนโต๊ะทำงานพ่อหายไปด้วย”
“นี่คือสาเหตุที่ทำให้พ่อ กลับบ้านช้า?”
วิเชียรชะงัก หรี่ดวงตาจากการมองลูกสาวปกติเป็นวงรีแคบ เขาเดาไม่ออกลูกคิดอะไรอยู่ แต่คำถามเสียงทุ้ม แสดงออกถึงการไม่เชื่อกัน พร้อมกิริยาหาเรื่องมันทำให้เขาไม่อยากคุยต่อ และก่นด่าตัวเองต่างๆนาๆ อุตส่าห์ไล่ลลิดาออกไป ยอมเสียเวลามานั่งอธิบายให้เด็กคนนี้ฟังทำไมหนอ เมื่อในหัวหล่อนมีแต่ความคิดที่อคติ มากเกินกว่าจะเชื่อง่ายๆได้
ว่าแล้ววิเชียรก็ลุกพรวด เก้าอี้ถอยหลังออกไปอย่างแรงจนส่งเสียงดัง พาลทำคนตรงข้ามตกใจลุกขึ้นตามไปด้วย เธอขมวดคิ้วมองหน้าพ่ออย่างไม่เข้าใจ และเตรียมจะอ้าปากเถียง แต่รายนั้นกลับหันตัวหนี เร่งฝีเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว
การอ้าปากค้าง ชะงักกลางคันในท่ายืนนิ่งนั้นคือเธอกำลังโกรธจัด ถึงกับกำหมัดแน่นจนขึ้นเส้นปูด
“คุณพ่อ เดินหนีนอยได้ยังไงกัน..”
ดวงตาคู่เคยหวาน ยามนี้คมกริบทอดมองแผ่นหลังกระทั่งหายลับ ตาไม่กะพริบ
หมดคาบเรียนสุดท้ายของวันนี้ ร่างบางที่กำลังเดินลงบันไดมาอย่างนวยนาดพร้อมกันกับอัญชันเพื่อนสนิท สิ่งเดียวที่ประจักษ์อยู่ในหัว ไม่ใช่ตำราเรียนซึ่งอาจารย์เพิ่งจะเผยแพร่ให้หมาดๆ แต่มันคืออดีตล้ำก่อนหน้านั้นไปอีก
“เฮ้อ~”
“วันนี้แกใช้จมูกเปลืองมากรู้ป่าว เป็นอะไรเนี่ย เห็นถอนหายใจหลายรอบแล้ว”
“เรื่องเดิม”
ความสนิททำให้เธอคิดนอกกรอบ อย่างอัญชันคงจะปิดบังได้แค่ตอนต่างฝ่ายต่างอยู่บ้านตัวเองเท่านั้น แววตาของเธอย่อมบ่งบอกทุกอย่าง แม้กระทั่งตอนนี้ เพียงแค่เธอพูดออกมาสองพยางค์
“ทะเลาะกับพ่อ?”
“อืม”
“อีกแล้วเหรอ คราวก่อนเพราะแกไปงอแงที่ท่านผิดสัญญาจะพาแกไปหาที่ติวหนังสือ คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ”
สาวเจ้าเงียบไปหลายอึดใจ ด้วยใบหน้าที่ซังกะตาย กว่าจะพูดก็หลังเดินออกจากตึกมาไกล ห่างคนพลุกพล่านแล้ว
“ผู้หญิงน่ะ”
“หา? โอ้ย!”
อัญชันขึงตาเอาจริงเอาจัง แน่นอนพฤติกรรมนั้นเรียกปลายเล็บจากนิ้วมือ ฝังเข้าไปบนเนื้อเนียนเกือบเขียว พร้อมมองค้อน
“ทำเป็นตื่นเต้นไปได้ แกก็รู้เรื่องนี้พ่อฉันไม่เคยขาด แต่เอามากินในบ้านนี่สิ”
“เฮ้ย จริงดิ?!”
“บ้าจริง ยัยอัญเนี่ย!”
“โอเคๆ จะไม่ตื่นตระหนกแล้ว เล่าต่อๆ”
ครั้งที่สองคือฝ่ามือ โชคดีสาวเจ้าแค่ง้างค้าง ไม่ได้ตีลงมาเต็มแรงตามใจตน ไม่เช่นนั้นมีจุกหรือแสบเป็นแน่
“ก็นั่นไง มีแค่นั้น ฉันไม่พอใจที่พ่อพาเลขานั่นเข้ามาในบ้าน แถมนอนห้องใหญ่ที่เคยนอนด้วยกันกับแม่ ในวันเกิดของฉันก็เท่านั้นแหละ”
“โห เรื่องก็ช่างประจวบเหมาะประหนึ่งแม่น้ำทั้งสี่มาบรรจบไหลลงเจ้าพระยา.. อ๊ะ! โอเคๆ ไม่เล่นละ ฉันก็แค่หยอกหรอกน่า ไม่เห็นต้องจ้องกันแบบนั้นเลย”
“คนกำลังเครียดยังจะเล่น”
อัญชันทำหน้าหงอยก่อนจะยิ้มแฉ่งภายหลัง เป็นจังหวะเดียวกัน กับเสียงริงโทนโทรศัพท์ของเธอดังขึ้นมาพอดี ทำสาวเจ้าลดท่าทางกระฟัดกระเฟียดที่เป็นอยู่ลงไปไม่น้อย
++คุณน้า++
หญิงสาวหยุดการกระทำเพียงเห็นชื่อ กดรับแล้วนำมาแนบหู
“สวัสดีค่ะ คุณน้า”
(สุขสันต์วันเกิดนะลูก)
ก่อนได้พบกับความสดใสทันที ปลายสายแสดงถึงความดีใจที่หลานสาวรับสายของหล่อน
“ค่ะ คุณน้า”
(จริงๆ น้าโทรตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ แต่โทรไม่ติด คงวุ่นๆกันอยู่ใช่ไหมจ๊ะ)
มือบางชะงัก คิ้วคู่สวยหย่อนเข้าหามาชนกัน งุนงงกับคำบอกเล่านั้น
โทรไม่ติดได้ยังไง?
แต่ต้องสลัดความคิด เพื่อฟังปลายสายต่อ
(ว่างๆมาเที่ยวหาบ้างสิ ทางนี้เขาคิดถึง ตาพูกับตาพีกลับมาแล้วนะ)
และยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินคำบอกเล่าที่น่ายินดี ผู้ชายที่ปลายสายพูดถึงเป็นคู่แฝดลูกพี่ลูกน้องกับเธอ เคยสนิทกันมากในวัยเด็ก มักจะเจอกันทุกสุดสัปดาห์ ก่อนถูกส่งไปเรียนเมืองนอก ส่วนคนที่เธอคุยอยู่คือน้องแท้ๆของแม่ เครือญาติของเธอซึ่งอยู่ชานเมือง ห่างจากเธอออกไปไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้ถึงขนาดไปหาได้ทุกวัน
สาวเจ้ายิ้มกริ่ม ให้กับสมองของตัวเอง ที่อยู่ๆเสือกดิ้นพล่านไปนึกถึงเรื่องหนึ่ง
“จริงเหรอคะ งั้นเดี๋ยวหนูนอยไปวันนี้เลยค่ะ หมดคาบเรียนสุดท้ายพอดี”
(งั้นเหรอ ดีจัง ว่าแต่มากับใคร? นอยให้คนขับรถพามานะลูก อย่ามาคนเดียว)
“แงๆ คงไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้นอยพารถมาเอง ไม่อยากกลับไปที่บ้านแล้ว มันคนละทางกัน เสียเวลา นอยขับไปเองดีกว่า สะดวกกว่า ตอนถึงจะได้ไม่ค่ำเกินด้วย อีกอย่างอยากจะค้างคืนด้วยค่ะ อยากอยู่กับคุณยาย”
(แล้วคุณพ่อเขาจะไม่ว่าเอาเหรอ โทรบอกท่านด้วยนะ จะมายังไงก็..)
“ค่าา แล้วเจอกันนะคะคุณน้า”
(ใจร้อนจริงเด็กคนนี้ โอเคจ้ะ เดี๋ยวน้าทำของอร่อยๆ เอาไว้รอ)
“ฮื้ออ~ ขอบคุณครับ”
“แกจะไปจริงเหรอ?”
อัญชันถามทันทีที่วางสาย มดตะนอนถอนหายใจพรืด พลางพยักหน้า ขณะมือและตาสอดส่องของในกระเป๋าไปด้วย โชคดีเธอเป็นคนมีนิสัยเก็บเสื้อผ้าไว้บนรถ จึงสะดวกในยามเดินทาง ไม่ต้องเสียเวลาไปหาเอาข้างหน้า และนั่นอาจเป็นผลเสียของเธอ เพราะเหมือนปิดกั้นโอกาสคนอื่นๆ หากใครจะขอติดรถไปกับเธอแบบกะทันหัน เนื่องจากการจัดแจงพื้นที่ไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่
“เป็นวิธีเดียว ที่ทำให้ฉันไม่เจอพ่อในตอนนี้”
“แกไม่กลัวพ่อแกโกรธจน..”
“พ่อไม่กล้าบุกบ้านคุณยายหรอก”
“ขับรถไปเองอะนะ? อีกอย่าง..แกจะหลบหน้าพ่อไปได้ตลอดเหรอ ถ้าเขารู้แกไปค้างบ้านญาติแม่ จากที่ไม่ได้โกรธ คงระเบิด..บึ้ม”
อัญชันทำหน้าเหยเก ประหนึ่งกำลังขู่เธอ แต่เธอกลับมองว่านั่นเป็นเรื่องที่โคตรตลก พ่อของเธอไม่มีทางสนใจไปมากกว่านี้หรอก อย่างมากก็แค่บ่นยาวหลังจากเธอกลับมา และกักบริเวณ
“ช่างเขาเถอะ ตอนนี้ที่ควรสนใจสุด คือความรู้สึกของฉัน ไม่อยากเจอ อย่างหนีไปให้ไกลๆเลย”
“นอย..”
ร่างบางพยักหน้า ให้กับมือที่คว้าเธอไว้ พร้อมแววตาละห้อยแกมไม่อยากให้ไป จังหวะเปิดประตู
“อย่างห่วงเลยอัญ ฉันขับรถเป็น”
“แต่ว่า..”
“ทำหน้าแบบนี้ เหมือนบอกลาเลยนะ ฉันไม่ได้ไปตาย อะไรของแกเนี่ย”
“โอเคๆ งั้นขับระวังๆ ถึงแล้วโทรหาด้วยนะ”
“แน่นอนอยู่แล้วล่ะ”
จากนั้นรถมดตะนอย ก็ค่อยๆเคลื่อนรถออกจากประตูมหาลัยไปเรื่อยๆ
ท่ามกลางการมองอยู่ของเพื่อนสนิทที่ไม่คิดจะละสายตาออกไปแม้แต่วินาทีเดียว ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ใจหวิวๆชอบกล จนกระทั่งรถคันนั้นหายลับไป
ซึ่งนั่นใครจะรู้ สัญชาตญาณของหล่อนจะแม่นยำปานมองเห็น เมื่อเพื่อนสาวออกจากตัวเมืองมาได้เพียงครึ่ง แล้วเกิดอุบัติเหตุ
รถของเธอพลิกคว่ำ หลังเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วปกติ แต่เบรกเกิดใช้งานไม่ได้กะทันหัน จังหวะลงเนิน เส้นทางคดโค้ง และหักหลบรถใหญ่ที่ขับกินเส้นสวนมา