ข่าวร้าย
ภาพสลับซับซ้อนและเร็ว มดตะนอยแทบไม่ได้จดจำรายละเอียด กับเหตุการณ์ที่เผชิญอยู่ เธอรับรู้แค่การหมุนของรถ กลิ้งเป็นก้อนหินลงจากเนินเขา นอกนั้นเป็นเสียงโครมคราม พร้อมกันกับความตกใจที่มีมากกว่าความรู้สึกเจ็บปวดของบาดแผล
ตุบ!
ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณ ความเจ็บปวดเริ่มสำแดงฤทธิ์ ในขณะปราศจากสติและการควบคุม สาวเจ้านอนนิ่ง ค่อยๆลืมตาคู่สวย แต่บัดนี้อาบไปด้วยเลือดข้างหนึ่ง เนื่องจากคิ้วแตก ปรือหรี่ขึ้นเป็นวงรีแคบ ความพร่ามัวของม่านตาทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย โชคดีที่คาดเข็มขัดนิรภัย และอยากขอบคุณตัวเองที่ไม่ได้ขับเร็วไปกว่านี้ มิเช่นนั้นแรงกระแทกคงนำพารถกระเด็นตกลงไปสู่ก้นเหว ไม่หยุดนิ่งอยู่ตรงขอบปากแบบนี้แน่
“ชะ ช่วยด้วย..”
หญิงสาวพยายามขยับปาก แต่ความเบลอเหมือนจะเป็นอุปสรรคกับเธอมากเกิน เธอทำได้แค่นั้น เสียงร้องขอให้ช่วยที่คิดว่าดังพอๆกับตะโกน ทั้งที่จริงมันคือเสียงกระซิบ
ความเจ็บปวดค่อยๆวิ่งพล่านไปทั้งตัว นาทีนี้แทบไม่รู้เลยมีบาดแผลฉกรรจ์ตรงจุดไหนบ้าง รู้เพียงเธอปวดระบมไปหมด โดยเฉพาะเท้า รู้สึกเหมือนมันติดอยู่กับอะไรบางอย่าง เจ็บซะจนขยับไม่ได้
แวบแรกในสัญชาตญาณคิดลบ เธออาจจะขาขาดแล้ว!
“ดะ ได้โปรด ใครก็ได้..”
สาวเจ้าพยายามปลดเข็มขัด อวัยวะสิ่งเดียวที่ใช้ได้อยู่ คือมือข้างขวา และซ้ายที่ถูกขีดข่วนเป็นแผลเหวอะหวะผลจากเศษกระจกแตกกระจายยับเยิน เกลื่อนเต็มถนนเป็นเกล็ดขนาดเล็กกว่าลูกแก้ว
มดตะนอยหลับตาลง ในใจฉุกคิดถึงความตาย เธอจะรอดไหมหากรถคว่ำแรงขนาดนี้ อย่าว่าแต่บาดแผลที่ขับเลือด หรือหัวกระแทกไปมาจนมึนงง คอก็เหมือนจะมีปัญหา และเท้าข้างขวาที่ตายสนิท
ใครจะรู้วินาทีนั้นเธอคิดถึงวิเชียร
“พ่อ..ฮึก..” พร้อมน้ำตาที่ไหลพรากลงมาเป็นทาง "พ่อขา~ นอยเจ็บ..”
ก่อนจะสลบเหมือดพร้อมกับความเจ็บปวดที่ไหลกันเข้ามารุมล้อม จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานพอควร ถึงจะฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ด้วยเสียงตะกุกตะกักเป็นตัวปลุก และโทรศัพท์ในกระเป๋า ที่ไม่มีปัญญาแม้จะเอื้อมไปหยิบมาแนบหู
นี่คงจะนานจนปลายทางต้องโทรมา ไม่ก็ต้นทางซึ่งอยากจะรู้ว่าตนถึงที่หมายอย่างปลอดภัยหรือเปล่า ด้วยความเป็นห่วง
ไม่รู้มันคือโชคร้ายหรือโชคดี ที่อยู่ๆเม็ดฝนก็พากันหล่นลงมา ดับรอยรั่วใต้ท้องรถเสี่ยงเป็นชนวนทำไฟลุกไหม้ได้
ท่ามกลางบรรยากาศที่มืดสนิท หลังจากการนอนหมดสติติดกับซากรถของตัวเอง ลามเข้าสู่ช่วงกลางคืน
ตรงนี้คือที่ไหน..
ทำไมถึงไม่มีใครเห็น หรือผ่านมาเจอเธอเลย..
หรือว่า เธอได้ตายไปแล้ว..
“ฮึก จะ เจ็บ.. เจ็บ”
พอคิดเช่นนั้น สัญชาตญาณที่ยังพอเหลือสั่งร่างกายขยับ สาวเจ้าถึงได้พบความเจ็บปวดอีกครั้งจนต้องร้องเสียงหลง
ใบหน้าสะสวย ตรงขมับเสี้ยวข้างด้านขวาอาบไปด้วยเลือดแห้งกรัง เป็นอุปสรรคทำให้เธอเจ็บแปลบ ยามขมวดคิ้วนิ่วหน้าระบายความปวด เมื่อรู้ตนยังไม่ตายจึงเร่งตั้งสติ กะพริบตาถี่เพื่อปรับความชัดเจนของม่านตา
และอย่างกับฟ้าเปิด สวรรค์ได้ยินเสียงคร่ำครวญร้องขอชีวิต เลยส่งเทพบุตรมาให้เธอ พร้อมกับลำแสงสีขาวจากอะไรสักอย่าง อาจมาจากไฟหน้ารถ หรือไม่ก็ไฟฉายที่ถูกสร้างมาอย่างดี ไว้ต่อสู้กับความมืดโดยเฉพาะ
มดตะนอยปิดตาแน่น ดวงตาที่ล้าและหนักอึ้งไม่สามารถรับแรงปะทะจากความสว่างนั้นได้ โล่งใจที่มันถูกปิดกลับมามืดเหมือนเดิมโดยไว หลังคนใช้ไฟฉายนั้นมองเห็นเธอ
สวบ สวบ สวบ
เสียงเดินตรงเข้ามา ทำใจของเธอเริ่มชื้น น่าแปลกเพียงเห็นแค่แสงไฟ ไม่ทันรู้แน่ชัดเบื้องหลังเป็นใคร กับรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยๆ มันทำให้เธอไม่ต้องทนนอนหนาวในสภาพใกล้ตาย ทุกข์ทรมานและโดดเดี่ยวจนถึงเช้าแบบนี้
“นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว”
ความเหลือเชื่อไม่ได้มีแค่นั้น เมื่อประโยคเสียงทุ้มของใครคนนึง พร้อมใบหน้าที่แสนคุ้นเคย ซึ่งเจอครั้งเดียว แต่อยู่ในฝันเสียส่วนใหญ่โผล่ให้เห็นซึ่งๆหน้าจนน่าทึ่ง
“คะ คุณ”
เธอเห็นเขาโน้มตัวลงมา ด้วยสีหน้านิ่งสนิท กับประโยคภาษาอังกฤษ ที่ถึงน้ำเสียงจะทุ้มห้วนไม่ค่อยเข้าหู แต่จัดว่าฟังง่ายและเป็นเจ้าของภาษาในกลุ่มผู้ดี
เขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอ และภาพสุดท้ายคือเธออยู่ในความดูแลของเขา ก่อนจะหลับไปอีกครั้งนึง
นานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ในห้วงนินทราอันไร้ความฝัน ทั้งที่เพิ่งจะผ่านพ้นเรื่องราวอันเลวร้าย ความเงียบสงัดเกินขอบเขตปลุกให้หล่อนตื่น ร่างบางตัวเล็กสมชื่อบนเตียงนอนขนาดกว้างขยับเขยื้อนเบา แต่แผลมากมายซึ่งถูกพันด้วยผ้าก็อตขาวทำให้ริมฝีปากเบ้เบะ กว่าเปลือกตาจะเปิดออกต้องอาศัยความทุเลาอยู่หลายอึดใจ
ที่นี่ที่ไหน?
วินาทีแรกที่เธอเห็นคือเพดานสีขาว ลักษณะแปลกพิลึกไม่เคยเห็นมาก่อน จากนั้นความใคร่รู้กระเตื้องให้ต้องฮึดสู้ ดวงตากลอกไปมาพลางไปหยุดอยู่ปลายเตียง สิ่งที่เห็นคือขาข้างหนึ่งถูกตรึงอยู่ ขณะเดียวก็หุ้มเฝือกอยู่ด้วย
หากให้เดาความอึดอัดตรงหัวนี่ คงถูกพันด้วยผ้าพันแผลไม่ต่างกัน
“เกิดอะไรขึ้น?”
มดตะนอยลากสายตากลับมายังเพดาน ก่อนจะไล่นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ทั้งหมด
เธอกำลังจะไปหาน้านอกเมือง ระหว่างทางรถเกิดมีปัญหาเบรกไม่อยู่ ด้วยความเร็วยามลงทางลาดชันจึงไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้รถพลิกคว่ำ
ความรู้สึกมากมายในนาทีระทึกถาโถมเข้ามาให้สัมผัสกันอีกครั้ง ก่อนจะเบิกตาโพลงก็ตอน...
‘นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว’
เขา!
O.O
“ไง ตื่นแล้วหรือ”
ร่างบางชะงักกึกในท่านอนหงาย คำถามภาษาอังกฤษเรียกให้เธอหันไป หลังหลุดจากภวังค์
นี่ไม่ใช่ความฝัน
นั่นคือเขา คนในความคิดตัวเป็นๆ ปานหลุดมาจากสมองของเธอ
“คุณ?”
มีคำถามมากมายอยู่ในหัว ขณะม่านตาขยายกว้าง กระนั้นใช่ว่าเธอจะได้คำตอบในบันดลง่ายๆ เธอจะต้องถาม ซึ่งสภาพในตอนนี้ช่างยากเย็นเหลือเกิน
“ถือว่าอึดดี”
ร่างสูงตรงข้างเตียงพยักหน้า เสมือนทึ่งปนยินดีในตัวเธอ สาวเจ้าร่างบาง กระดูกใหญ่กว่าเด็กประถมเพียงนิดแข็งแรงได้ใจ แถมฟื้นตัวไวกว่าที่คิด
“หนูอยู่ที่ไหนคะ ทำไมถึง?”
มดตะนอยใช้คำว่าหนูได้อย่างไม่ต้องคิด เมื่อดูยังไงเขาก็โตกว่า แลดูเป็นผู้ใหญ่นิ่งสุขุมจนชวนประหม่า แถมเป็นคนเดียวกันกับที่เธอสบตาหน้าร้านหนังสือในวันนั้น แถมเอามาเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไร้ยางอาย
“เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง มีเรื่องที่เธอควรรู้กว่านี้”
สงครามตัดบท เลือกที่จะไม่ตอบคำถามเธอมากกว่าการบอกเรื่องสำคัญของตัวเอง
“คะ?”
เขาหรี่ตาลงแคบ ไม่ตอบเช่นเคย และเดินไปเปิดทีวี ต้องการให้จอภาพขนาดใหญ่นั้นเป็นคำตอบ เรียกความสนใจให้คนบนเตียงมองตาม เธอมองมันอย่างคนไม่เข้าใจในทีแรก ก่อนคิ้วจะค่อยๆขมวดชนกัน ตามด้วยการขยายกว้างของม่านตาอย่างเต็มที่ในที่สุด
“ฮะ..”
เสียงของความอึ้งปนช็อค พร้อมริมฝีปากอ้าขึ้น เป็นภาพชวนสะเทือนใจได้เป็นอย่างดี หากคนยืนตรงนี้เป็นคนปกติไม่ใช่มาเฟียอย่างสงคราม ซึ่งเจอความสูญเสียมานักต่อนัก
“มะ ไม่จริง..”
เขาทำได้แค่ยืนมอง มองคุณหนูบนเตียงขนาดกว้าง กำลังพบเจอกับความโชคร้าย ใหญ่ถึงขนาดถ้าไม่ทันตั้งตัว อาจตกอยู่ในสภาวะชักดิ้นชักงอได้
“นะ หนูไม่เชื่อ ฮึก.. คุณเอาอะไรมาให้หนูดู”
ร่างสูงมองภาพนั้นด้วยสีหน้าที่นิ่งตึง ยากต่อการคาดเดา ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น ก็ตอนเธอกรีดร้องอยากคนขาดสติ
“ไม่จริงอะ! ไม่จริง! กรี๊ดดดด!”