โดดเดี่ยว
ห้องทำงานขนาดกว้างแต่เงียบ ยามนี้มีร่างสูงผู้เป็นเจ้าของนั่งนิ่งไร้ความรู้สึก หลังโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารวางกองพะเนิน แทบไม่โดนแตะ เมื่อมีเรื่องสำคัญจะต้องทำมากกว่า
ความคิดของเขาโลดแล่นประดุจเพลิงลาวา ความร้อนชนิดเผาเหล็กให้อ่อนข้อได้ ขณะย้อนกลับไปนึกถึงการกระทำของใครอีกคน
เด็กคนนั้น ช่วงวัยห่างกันกับเขา ไม่เว้นแม้กระทั่งวุฒิภาวะ
เสียงกรีดร้องเหนือการคุม หลังความตกใจทำสติขาดสะบั้นยังก้องกังวานในหัวเขา ร่างบางลืมแม้กระทั่งความเจ็บปวด ลืมไปจนหมดถึงร่างกายซึ่งแหลกสลายเกือบตายไม่ต่างกัน
เมื่อไม่กี่ชั่วโมง เธอผ่านนาทีชีวิต เจ็บกายจนต้องร้องขอใครสักคนมาช่วย ทว่าตอนนี้กลับต้องมาเจ็บที่ใจ
ใช่ เขาเข้าใจมันดี ความรู้สึกนั้นเขาเคยผ่านมันมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว บางเรื่องเขาเพียงลำพังใช่ว่าจะจัดการเองได้ บางเรื่องร้ายแรงชนิดอยากจบมันด้วยความตาย หากไม่เข้มแข็งพอที่จะยืนหยัดต่อในโลกอันแสนโหดร้ายนี้ที่ไม่ได้ใจดีกับคนทุกคน คงจะเหลือแค่ชื่อที่มีให้คนไม่ดีได้จดจำกัน
แต่เธอจะเป็นแบบนั้นไม่ได้
“เราจะต้องกลับยุโรปกันครับนาย ทางโน้นมีปัญหาอยากให้นายไปจัดการแบบเร่งด่วน”
คัสเตเว่น ลูกน้องคนสนิทที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเดินมั่นคงเข้ามาแล้วโค้งคำนับ ก่อนจะเอ่ยประโยคเรื่องที่รับรู้มาด้วยน้ำเสียงแหบทุ้ม ดึงสติผู้เป็นนายหลุดจากภวังค์ภายในพริบตาเดียว
สงครามไม่ได้สนใจในประโยคที่เขาบอกเล่านั้นมากนัก กลับรู้สึกหน่ายเสียด้วยซ้ำ ราวคุ้นชินต่อความยุ่งเหยิงที่มักจะมาพร้อมกับความบาดหมางให้ต้องเผชิญและแก้ปัญหาอยู่บ่อยๆทุกทีที่เขาไป
“อืม” แต่วินาทีนี้ปัญหาที่เขาจะต้องแก้คือเรื่องที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวเขามากกว่า “ต่อสายหาพาสคาล”
“แต่ว่านายใหญ่..”
“พ่อเอาไว้โทรทีหลัง โทรหาพาสคาลก่อน”
ดวงตาสีน้ำข้าวประดุจลูกแก้วทิ้งจากจุดเดิมละมาจ้องเขม็งคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง ความน่ายำเกรงภายใน แฝงอยู่ตัดบทบาทเดิมให้คัสเตเว่นมลายหายสิ้น ดึงความขี้ขลาดและประหม่าเข้ามาแทน เขาหลบตาก้มหน้างุดทันควัน ก่อนจะลนลานหาสมาร์ทโฟนในกระเป๋าเสื้อสูท เพื่อทำตามอย่างที่นายว่า
“ครับ”
คัสเตเว่นรู้ดี นายน้อยกำลังจะช่วยเด็กผู้หญิงสิ้นไร้ไม้ตอกคนนั้น ซึ่งบัดนี้ไม่เหลือใครในครอบครัว แต่เขาไม่เห็นด้วย สำหรับเขาหล่อนธรรมดาเกินกว่าคนเป็นนายจะลดตัวลงไป มันช่างเสียเวลา และเสี่ยงผิดกฎขององค์กรโดยใช่เหตุ
ทว่า ลูกน้องอย่างเขาก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจหรือทักท้วงแทนนายหรือไม่ใช่?
ความเงียบ และทำตามคำสั่งเท่านั้นที่สามารถดำรงชีวิตสงบสุขให้คงอยู่
ในบ้านหลังเดียวกัน ห้องนอนสีขาวสะอาดตา ถูกจัดให้ดูโล่งน่าอยู่ทุกวี่วันอย่างสม่ำเสมอ บัดนี้มีผู้ครอบครองชั่วคราวคนใหม่ เป็นหญิงสาวเอเชียแปลกหน้าคนหนึ่ง หากแต่อารมณ์ที่แผ่ออกมาแตกต่างกันลิบ
ทำบรรยากาศรอบห้อง ถูกรอบล้อมไปด้วยแสงสว่างแห่งความสดใส เมื่อกระทบกับกระจกและผ้าม่านบางสีขาว ขณะปลิวลอยด้วยแรงลมส่งผลให้ห้องนั้นมีชีวิตชีวามากขึ้น กลับถูกกลบด้วยความรู้สึกเสียใจ เศร้าโศกปานคนใจใกล้ขาดจนหม่นหมอง
ใช่ มดตะนอยได้รับข่าวร้าย
สาเหตุที่ทำให้เธอนั่งเหม่อเป็นหุ่นอยู่แบบนี้
“พ่อตายแล้วจริงๆนะเหรอ..”
น้ำตาเธอไหลนองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนนับไม่ถ้วน ดวงตาคู่กลมสวยแสบร้อนไปหมด แก้มเปียกปอนไม่เหลือเคล้าโครงเดิม ยิ่งรอยฟกช้ำจากบาดแผลเมื่อวาน ก็เหมือนเสกให้เธอกลายเป็นอีกคนเข้าไปใหญ่ สาวเจ้าแลดูโทรมจนไร้ราศีคุณหนูจับ
“พ่อตาย.. ฮึก”
หญิงสาวกระชับเข่าที่กอด เมื่อนึกถึงภาพก็ยิ่งบีบหัวใจให้ปวดตุบ
//ข่าวต่อมา ข่าวสะเทือนใจครับท่านผู้ชม ค่ะ.. เป็นข่าวที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย นักธุรกิจไฟแรง เป็นที่จับตามอง เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโครงการใหม่กำลังถูกสร้างขึ้นในตอนนี้..เสียชีวิตแล้วค่ะ..//
เธอแทบไม่ได้ฟังเนื้อหาข่าว นับตั้งแต่ภาพในจอเผยรูปพ่อของเธอตรงมุมขวา และมีภาพเคลื่อนไหวอยู่ในจอนั้นเป็นสิ่งประกอบเนื้อหาการบรรยาย เธอเห็นรถตำรวจ เห็นผู้คนรุมล้อมมากมาย ยืนยันว่าวิเชียรได้ตายแล้วจริงๆ ก่อนจะหลับตาลงก็ตอนได้ยินเสียงขู่ของใครบางคน เมื่อวาน
'พ่อของเธอถูกลอบฆ่า'
'คุณรู้ได้ยังไงคะ? แล้วพ่อฉันไปมีปัญหากับใครถึงได้ถูกทำแบบนั้น'
เขาอยู่ในสภาพไม่เป็นมิตร ความนิ่งสงบเกินคนปกติ บ่งบอกถึงความเกลียดชังที่มีต่อเธออย่างชัดเจน เธออยากรู้เรื่องราวของผู้เป็นพ่อ แต่ความกลัวที่มีมากมายต่อคนตรงหน้าหลังเผยกิริยาก้าวร้าว กลับทำให้เธอไม่กล้าถามต่อ เพียงได้ยินคำขู่ก็ยิ่งทำให้เธอใบ้กิน สัญชาตญาณสั่งเธอให้เงียบเพื่อตั้งสติ แล้วจะรอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง เพียงแค่เขาเดินออกไป
การตายของพ่อมีเงื่อนงำ สำหรับเธอคนตรงหน้าจึงเชื่อใจไม่ได้!
'บอกหนูมาเถอะค่ะ หนูขอร้อง..'
'ไม่ต้องขอ เดี๋ยวก็ได้ร้อง'
'ทำไมถึง..'
เพราะทุกครั้งที่เธอส่งคำถาม มักจะได้สายตาดุดันแลกเปลี่ยนกลับมาเสมอ ราวกับเขากำลังจะบอกให้รู้ว่าการกรีดร้อง เต้นร่าราวกับโดนน้ำร้อนลวก เพื่อจะออกไปสู่โลกกว้าง กลับไปใช้ชีวิตดังเดิม สำหรับเขามันไม่ได้ช่วยอะไร ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น ไม่พอยิ่งดันทุกรังให้สถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้วในตอนนี้ ทวีคูณความยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้น และนั่นเมื่อความอดทนถึงขีดสุด เธอไม่สามารถคาดเดาได้เลยจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
เขาอาจฆ่าเธอ
หรือทำให้ทรมานจนตาย ..
เพียงเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่ตาย แต่ฝากบาดแผลมากมายเอาไว้ให้เจ็บ แค่นี้สำหรับเธอก็แสนจะทรมานเกินพอแล้ว
'หยุดถาม เด็กที่เอาแต่ใจ แถมตอนนี้มอมแมมซะจนดูไม่ได้สุดๆอย่างเธอ ถ้าอยากจะรู้ ก็ขอให้รู้ไว้แค่ว่า... หลังจากนี้โลกใบนี้ที่เธอและฉันอาศัยอยู่ จะไม่ใจดีกับเธออีกแล้ว ก็พอ’
'ฮึก...'
'อีกอย่าง โทรศัพท์อยู่กับฉัน ไม่ต้องหาให้เสียเวลา และอย่าได้หาวิธี เพราะการใช้เครื่องมือสื่อสารของเธอจะทำให้ฉันเดือดร้อน แล้วถ้าฉันเดือดร้อน เธอจะต้องร้อนด้วย!'
มดตะนอยปล่อยเสียงสะอื้นอย่างคนสิ้นหวัง ความปวดร้าวประดังกันเข้ามากลั่นเป็นน้ำตาไหลเป็นทางไม่ขาดสาย ความร้อนฉ่าตรงแก้มส่งผลให้เธอรู้สึกถึงความอ่อนแอคาดว่าครั้งนี้น่าจะหนักที่สุด ก่อนหน้านี้ใช่จะไม่หาวิธีช่วยเหลือตัวเอง พยายามพยุงขาอันปวกเปียกไปยังทางเดินความกว้างขนาด 3 ฟุตก็แล้ว ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาเป็นความระบมเจ็บเจียนตาย มิหนำซ้ำยังถูกต้อนด้วยชายฉกรรจ์ชุดดำกลับมาอยู่ที่เดิมอีก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เธอคิดว่าเขาคือผู้ร้ายได้อย่างไร
ในความคิดของเธอ คนคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่!
ถ้าอย่างนั้นเขาเป็นใครกัน?
ช่วงค่ำในวันเดียวกัน..
ประตูห้องเขาวงกต ชื่อที่เธอตั้งให้เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากคิดว่ามันคือทางออกที่ยากที่สุดเท่าที่เธอเจอมา ถูกเปิดออกโดยใครคนนึง
ร่างบางซึ่งกำลังใช้มุมมืดเป็นที่กำบังตัวเองถึงกับสะดุ้งโหยง ทว่าความทรมานจากความเสียใจทำให้ร่างกายขาดการกระเตื้อง ต่อมความรู้สึกสั่งการเชื่องช้า
เธอมองข้ามไหล่ตัวเอง เห็นเพียงเงาท้วมของผู้หญิง ยืนตระหง่านพร้อมถาดอาหารอยู่มือขวา และนั่นทำให้เธอต้องหันกลับไป กลิ่นหอมของอาหารเพิ่งทำสุกใหม่ไม่ได้ทำให้เธอตื่นเต้นเลยสักนิด
“มื้อค่ำค่ะคุณ”
หล่อนบอก พร้อมกับกดปุ่มเปิดไฟ วางถาดอาหารที่ว่าลงบนโต๊ะตรงหน้า
แต่แล้ว..
กลับต้องรีบกระโดดหลบด้วยสัญชาตญาณ เมื่อวัตถุบางอย่างถูกขว้างมายังหล่อน
เพล้ง!
ผู้มาใหม่ยกมือทาบอกอ้าปากค้าง ตกใจสุดขีดเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกเธอขว้างมานั้นเป็นโคมไฟตรงหัวเตียงนอน แตกกระจายเกลื่อนพื้น พร้อมกับประโยคขับไล่เสียงแหบพร่า
“ออกไป..”