บทที่ 9 น้ำตาลใกล้มด
หลายวันหลังจากนั้น ดาราผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ นางรู้ภาษามากขึ้น หัวเราะบ่อยขึ้น และเริ่มรู้สึกว่านัยน์ตาของลักษมินทร์ยามอยู่ด้วยกันสองแต่สองแฝงความนัยบางอย่าง ลักษมินทร์อยู่กับนางที่ตำหนักเกือบจะตลอดเวลาที่ไม่ได้ถูกเรียกตัวไปเข้าเฝ้าหรือทำงานในวังหลวง เขาอ่านและประทับตราเอกสารต่างๆเงียบๆในห้องหนังสือ และบางวันดาราก็เข้าไปนั่งร้อยดอกไม้อยู่ด้วยใกล้ๆ
แก้วจะไม่เข้ามารบกวนความสงบของทั้งสองเลยในเวลาแบบนี้ หรือคิดดูดีๆ เด็กสาวอาจจะเหงาปากเกินทนในความเงียบยาวนานแบบนั้น อกแตกตายเสียก็เป็นได้ เลยตัดสินใจขอตัวไปช่วยงานและซุบซิบข่าวกับเหล่านางกำนัลทั้งหลายหลังวังดีกว่า
ลักษมินทร์ชื่นชมฝีมือร้อยดอกไม้ของดาราอย่างจริงจัง เขาพิศวงทุกครั้งที่นางแปรกองดอกไม้ใบไม้ให้กลายเป็นม่านหรือบายศรีได้ราวกับมีเวทมนตร์ ประดิดประดอยตกแต่งรูปแบบเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางวันก็ร้อยมาลัยมะลิพวงเล็กๆมาให้เขาก่อนออกไปเข้าวังหลวง โดนสิงห์ศัตรุตแซวอยู่หลายรอบจนที่สุดก็ชินไปเอง ดารายังแขวนม่านสายดอกรักไว้ตามหน้าต่างห้องให้ต้องลมรำเพยตามแบบธรรมเนียมวังศรีบุษย์ หอมสะอาดงดงามจนเป็นที่ร่ำลือ นางกำนัลพากันเรียกตำหนักเจ้าชายลำดับที่สามเล่นๆว่า ตำหนักดอกรัก
หากจะว่ากันตามความเป็นจริง สิ่งที่ดาราทำทั้งหมดในศรีบุษย์ถือเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง นางกำนัลที่ร้อยดอกไม้เก่งกว่านางก็มีเยอะแยะไป แต่ด้วยความที่ชาวทะเลฐิรังกาไม่มีศิลปะเรื่องพรรค์นี้สักเท่าไร ฝีมือของดาราจึงออกจะน่าทึ่ง ทีแรกดาราก็ไม่เข้าใจนักว่าลักษมินทร์เยินยออะไรพวงมาลัยของนางนักหนา แต่พอได้เห็นแก้วกับเหล่านางกำนัลฐิรังการ้อยดอกไม้บ้าง นางก็เข้าใจ พามาสอนร้อยดอกไม้รูปแบบแปลกๆ สวยงามต่างจากมาตรฐานบ้าง
สามสัปดาห์ผ่านไป ลักษมินทร์ก็ตัดสินใจย้ายกลับมานอนในห้องบรรทมแทนที่จะนอนหลังแข็งบนเบาะต่วนในห้องหนังสือ
คืนแรกดารานอนไม่หลับจนถึงเช้า เจ้าชายฐิรังกาไม่ได้ล่วงเกินนาง เพียงแค่นอนตะแคงกอดนางจากด้านหลังไว้หลวมๆ สูดกลิ่นหอมสะอาดเจือกลิ่นดอกไม้โดยไม่ได้กล่าวอะไร กายทั้งสองซ้อนกันชิดใกล้ แบ่งปันไออุ่นแต่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเกินกว่านั้น กลับเป็นดาราเองที่รู้สึกแปลกๆ คล้ายกึ่งเสียดายแต่ก็กึ่งโล่งใจ
“อ้าว! แบบนี้ก็ไม่ถึงไหนน่ะสิเพคะ!”
นี่คือคำวิจารณ์ทันควันของนางแก้ว หลังนายหญิงทูนหัวบอกนางว่านอนหลับด้วยกันเฉยๆ เด็กสาววางมือจากโถพระสำอางอัญชันที่กำลังใช้แต่งคิ้วให้ดารา แล้วจับมืออีกฝ่ายกล่าวอย่างเคร่งเครียดปานเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
“เจ้านางฟังอีแก้วนะเพคะ ถ้าเป็นอย่างนี้ละก็ เจ้านางต้องเป็นฝ่ายรุกไปเลย ไม่อย่างงั้นจะมีพระโอรสธิดาน้อยๆมาเป็นขวัญเมืองฐิรังกาได้ยังไงกัน”
“อูรด...?”
“ลูกน่ะเพคะ ลูก!” นิ้วเปื้อนอัญชันชี้จิ้มๆตรงที่ท้องแบนราบ ทำไม้ทำมือให้เห็นขนาดครรภ์ ดาราสั่นหัวดิก
“ไม่ๆ ไม่ลูกนะ” แค่ความคิดที่ว่าอีกฝ่ายจะต้องทำมากกว่าร่วมหมอนเฉยๆนางก็ทนไม่ไหวแล้ว นี่ก็นอนไม่หลับกระสับกระส่ายไปทั้งวัน นางไม่พร้อมจะเป็นแม่คนด้วย
แต่เรื่องที่น่าสยดสยองกว่านั้น...คือนางจะให้กำเนิดลูกจัณฑาล
ดาราอึดอัดใจกับความคิดดังกล่าว นางอยากหยุดมันไว้เพียงแค่นี้ อย่าต้องมีเด็กผู้บริสุทธิ์ต้องมารับกรรมต้องคำสาปของทวยเทพเพราะแผนหลอกลวงครั้งนี้เลย... ดาราพยายามจะหยุดยั้งหรือไม่ก็ยืดเวลามีลูกออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้... แต่ก็นั่นแหละ มันจะเป็นไปได้หรือ
นัยน์ตาสีนิลคู่คมปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด ไออุ่นและกลิ่นอายแบบบุรุษที่นาบกับด้านหลังของนางทั้งคืน รวมถึงมือใหญ่ที่ชอบลูบเรือนผมของนางไปมาราวกับไม่อยากหยุด ดารารู้ดี ลักษมินทร์ต้องการนาง ต้องการมากกว่าแค่สัมพันธ์ทางกาย ทุกครั้งที่เขายังเก็บพวงมาลัยมะลิที่เหี่ยวแห้งแล้วกลับมาถึงตำหนักยามเย็น หรือมีผ้าไหมพับใหม่เพิ่มมาในหีบเสื้อผ้าของนาง ดารารับรู้ได้เสมอว่าตนเป็นที่รัก
เพียงแต่ทั้งหมดนี้เป็นดั่งภาพฝัน ดั่งละครฉากหนึ่ง... นางคืออรอุมาบนเวทีนี้ แต่บทต่อไปเล่า... นางจะยิ้มหัวเราะแบบนี้ได้ตลอดไปจริงๆหรือ ถ้านางกล้าปล่อยหัวใจให้ตอบรับรัก ลักษมินทร์ก็จะรักนางตลอดไปหรือ นางจะมีชีวิตเปี่ยมสุขได้จริงๆน่ะหรือ!?
ไม่หรอก... เสียงหนึ่งตอบอย่างสงบจากก้นบึ้งของหัวใจ สักวันเขาอาจตีจากไป เหมือนกับอาลัมพายน์หนุ่มรูปงามผู้นั้น ทิ้งสตรีผู้มอบกายใจบนกองเถ้าถ่าน หลังก่อไฟสังเวยตนแก่พระกามเทพ
นางแก้วทำหน้ามุ่ย ถอนใจเฮ้อ “ทำไมไม่อยากมีล่ะเพคะ นึกภาพเจ้าฐิรังกาตัวน้อยๆ สักสี่ห้าองค์วิ่งเล่นกันรอบพระราชวัง น่าปลาบปลื้มออกจะตายไป”
เด็กสาวเลื่อนสายตามาสบ เงียบไปสักพักก่อนจะขยับยิ้มมีเลศนัย
“แต่อีแก้วว่าไม่เป็นไรกระมังเพคะ ลองดูคืนต่อไปก่อน นอนกอดกันไปกอดกันมา น้ำตาลใกล้มดแบบเนี้ย...ฮิๆ จะไม่เกิดอะไรเลยก็ให้มันรู้ไป!”
***
แล้วที่สุดมันก็เกิดขึ้น...แม้จะช้ากว่าที่แก้วทำนายไว้สักนิด
ในคืนครบหนึ่งเดือนที่ดารามาอยู่ในตำหนัก หญิงสาวนอนตะแคงขดอยู่ใต้ผ้าห่มในอ้อมแขนของเจ้าชายดั่งเคย ถึงตอนนี้ร่างกายคลายความกลัวความสับสนสิ้นแล้วและใกล้จะเคลิ้มหลับ ลักษมินทร์ไล้ผมนางเล่นไปมานุ่มนวล มันกลายเป็นนิสัยของเขาไปแล้ว
ดาราลืมตาโพลงเมื่อรู้สึกว่าลมหายใจของลักษมินทร์เป่ารดบนลาดไหล่ ร้อนรุ่มคล้ายหอบหายใจเบาๆอย่างข่มความปรารถนาไม่อยู่ นางนอนตัวแข็งขณะที่เจ้าชายหนุ่มค่อยๆเลื่อนมือขึ้นมาตามลำตัวของนางอย่างเชื่องช้า เขาเลิกม่านผมนิ่มไปรวมกันเสียข้างหนึ่ง ก่อนจะประทับริมฝีปากที่ต้นคอเนียนเนิ่นนาน
“เจ้าพี่...!”
ดาราพยายามจะหันกลับไปมองและขยับหนี แต่ลักษมินทร์รั้งร่างบางไว้มั่น ไม่ได้กอดรัดรุนแรงแต่ก็ไม่ยอมปล่อย เหมือนยืนกรานว่านางต้องอยู่ตรงนี้ แผ่นหลังของหญิงสาวแนบชิดกับแผงอกแกร่ง แทบจะจมหายไปในอ้อมกอดอุ่นร้อนนั้นเป็นคนคนเดียวกัน ลักษมินทร์พรมจูบเนิบช้าไปทั่วหลังคอระหงและแนวไหล่ โครงสร้างกระดูกของนางในสายตาเขาช่างบอบบางราวกับช่อดอกไม้ ไม่ช้าก็เลื่อนไล้จุมพิตไปยังไรผมอ่อนหอมหวาน สูดกลิ่นมะลิจางตรงนั้นพาให้ใจฟุ้งฝัน
ดาราร้องประท้วงขึ้นอีกครั้งอย่างหวาดหวั่น เริ่มสั่นกลัวจริงๆแล้วเมื่อสวามีที่ใจดีอบอุ่นตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ของนางไม่ยอมฟังเสียงปฏิเสธ ทว่าระดมจูบทุกหนทุกแห่งราวกับอยากกลืนกินนางเข้าไปเสียให้หมดทั้งตัว ลมหายใจของเขาคลอเคลียกับซอกคอของนาง
“เอ๊ะ!?”
หญิงสาวสะดุ้งน้อยๆเมื่อจุมพิตสุภาพของลักษมินทร์เริ่มแปรไป เจ้าชายหนุ่มหลับตาลงจูบบนแอ่งชีพจรที่เต้นเร่าอยู่ใต้ผิวอ่อนไหวนั้น ก่อนจะละเลียดชิมด้วยปลายลิ้นอุ่น พาให้ดาราสะดุ้งหลายครั้งติดๆกัน ผวาร้องออกมาอย่างห้ามไม่ได้เมื่อลักษมินทร์โลมชิวหาหนักขึ้นทุกที ร่างบางสั่นพลิ้วด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ผสมปนเป นางกลัวกับสัมผัสที่ไม่รู้จัก แต่เนื้อตัวที่ไม่เคยต้องมือชายมาก่อนก็สยิวซ่านแปลบปลาบกับการประเล้าประโลมแม้เพียงเล็กน้อย ไม่คุ้นชินจึงไม่รู้จะต้านทานอย่างไรถูก ยิ่งพอริมฝีปากอ่อนโยนจูบเรื่อยมายังขมับและขบเข้าที่ใบหู ดาราก็เสียววูบจนครางอยู่ในลำคอ
“อรอุมา” ลักษมินทร์กระซิบที่ข้างหู เบาเสียยิ่งกว่าสายลมราตรี “อรอุมา... ได้โปรด คืนนี้ให้พี่เป็นของเจ้า เช่นที่เจ้าเป็นของพี่...”
ดาราเข้าใจที่เขากล่าว ตลอดหนึ่งเดือนนางเรียนรู้คำศัพท์เพิ่มมากมาย ลักษมินทร์ก็ไม่ได้ใช้คำเลิศหรูหรือแต่งกลอนเกี้ยวพาราสีใดๆ ไม่เลย... วินาทีนี้เขาต้องการให้นางเข้าใจเขาทุกถ้อยคำอย่างแท้จริง
และทุกคำพูดก็ทำให้นางสั่นสะท้านกว่าเก่า ทั้งสับสน หวั่นไหว ตื่นเต้น กังวล กลัว แต่ที่สำคัญที่สุด คือหัวใจเต้นระรัวอยู่ในอกของนางแทบจะกระดอนหลุดออกมาก็มิปาน ไม่ต่างกับหัวใจของลักษมินทร์ที่เต้นแรงจนแผ่นหลังบางรับรู้ได้
ทว่าวินาทีต่อมา หัวใจเขาก็เต้นชะงัก
“ไม่... เจ้าพี่ ไม่ลูก ข้าไม่ลูก”
ดารารวบรวมคำพูดเท่าที่เรียนรู้มาปฏิเสธออกไป ลักษมินทร์หยุดมืออยู่ที่ต้นแขนของนาง ทุกอย่างพากันเงียบกริบ แช่ทั้งสองแข็งค้างอยู่ในห้วงเวลา ก่อนที่เขาจะถามเสียงเบา