บทที่ 7 ชอบก็มองอีกสิ
“อย่า!! หยุดนะ..ได้โปรด..หยุด! อือ!”
ดาราตัดสินใจกัดหัวไหล่ของอีกฝ่ายเข้าจมเขี้ยว กะจะทึ้งให้เนื้อหลุดเลยหากอีกฝ่ายไม่รู้ตัว
ลักษมินทร์สะดุ้งได้สติ “...พ..พี่ขอโทษ อรอุมา”
นามของเจ้าหญิงศรีบุษย์ทำให้ดวงอำพันกลมไหววูบ ก่อนจะนิ่งค้างราวกับเป็นหิน ในหัวดาราเหมือนถูกเขย่าปลุกจากห้วงฝันอันเผลอไผล นางขัดขืนเจ้าชายลักษมินทร์ได้อย่างไร นางไม่ใช่เจ้าหญิงจริงๆเสียหน่อย! ที่นางมานี้ก็เพื่อเป็นชายาของเจ้าฐิรังกาอยู่แล้ว มาถูกกระทำย่ำยีเสี่ยงอันตรายแทนเจ้าหญิงอรอุมา เจ้าลักษมินทร์มีสิทธิ์ทุกประการที่จะทำอะไรกับนางก็ได้
ร่างบางสั่นเทาก่อนจะหลับตาลง บังคับตัวเองให้นอนนิ่งหันไปเสียทางหนึ่งในกิริยายินยอม หวังให้อะไรก็ตามที่จะเกิดจบลงโดยเร็ว ร่างสูงเห็นแล้วแปลกใจ
“อรอุมา?”
น้ำตาอุ่นคลอปริ่ม ค่อยๆไหลลงมาจากใต้เปลือกตาชวนให้ใจหาย
ทรามนัก... ลักษมินทร์สบถด่าตัวเองอยู่ในใจ เขาลืมตัวรีบร้อนทำตามใจทันทีที่เห็นนางนอนลง อย่างกับราชธิดาศรีบุษย์ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างไรอย่างนั้น ถึงต่อให้รับพระราชทานมาเป็นชายาแล้ว เขาก็ควรได้เกี้ยวพาเลี้ยงรักเสียก่อนให้ถูกต้อง ดูเถอะ…นางก็ตัวน้อยๆแค่นี้เอง สูงเพียงอกเขาเท่านั้น อะไรๆมันก็เล็กบอบบางไปหมด เขาจะหักหาญน้ำใจก็อำมหิตนัก
กายกำยำถอยห่างออกไปพร้อมกับจับร่างบางให้ลุกขึ้นนั่ง นัยน์ตากลมโตมองเขาอย่างงุนงงปนหวั่น ลักษมินทร์สูดหายใจลึก ข่มอารมณ์ฝ่ายต่ำที่แล่นริ้วขึ้นมาเมื่อครู่ให้สงบลงแบบบุรุษผู้เจริญแล้วจะทำได้ เจ้าชายหนุ่มสัญญากับตัวเองอยู่ในใจว่าจะปฏิบัติต่อหญิงสาวอย่างเหมาะสม อย่างแรกเขาควรสอนภาษาฐิรังกาให้กับนางบ้าง มิใช่ปล่อยเป็นหญิงใบ้ไว้บำเรอความใคร่เฉยๆ คิดแล้วเขายกนิ้วชี้ที่ตัวนางและกล่าว
“อรอุมา” เขาย้ายมาชี้ที่ตัวเอง นึกอยู่ชั่ววินาทีหนึ่งว่าควรให้นางเรียกเขาว่าอะไร แล้วก็ตัดสินใจเลือกคำมาตรฐานกลางๆที่สุด“เจ้าพี่”
ดารางงๆเล็กน้อยแต่ก็ดีใจที่อีกฝ่ายล้มเลิกความตั้งใจจะขืนบังคับนางแล้ว ภาษากายและถ้อยคำของเขาทำให้นางพอเข้าใจ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งนางจึงตัดสินใจ
“จ้ะพี่...” เสียงใสพูดตามอย่างว่าง่าย ลักษมินทร์ขำกึ้ก มุมปากยกยิ้มขึ้นมา
“เจ้า - พี่”
“จ้าวพี่”
ตามมาจากนั้นเป็นคำสองคำที่จำเป็นและมีประโยชน์ที่สุด “ใช่” ลักษมินทร์พยักหน้าไปพร้อมกับพูดคำนั้น ดาราดูจะเข้าใจว่ามันหมายถึงนางพูดถูก แล้วก็มองดูเขาส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่” โชคดีนักที่สองคำนี้ฟังคล้ายกับภาษาศรีบุษย์และภาษาในสายเดียวกัน มันมีร่องรอยของเสียงพยัญชนะต้นที่เหมือนกันอยู่
ดังนั้นเมื่อลักษมินทร์ขยับเข้าไปใกล้นางหมายจะดึงมานั่งตัก ด้วยเขาปรารถนาจะชิดใกล้กับนางอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เหมือนเช่นแรกเจอที่นางช่างเหมาะเจาะอยู่ในอ้อมแขน ดาราจึงขยับหนี ส่ายหน้าและรีบทดลองใช้ความรู้ใหม่หมาดๆทันทีสองคำตามลำดับ
“เจ้าพี่ ไม่” เหมือนระแวงว่าจะไม่เข้าใจ นางเลยย้ำซ้ำอีกหน “เจ้าพี่ ไม่!”
“อา... ให้ตายสิ” เจ้าชายหนุ่มหัวเราะออกมาทันที อดเสียดายไม่ได้ทว่าลึกๆชอบใจนัก “เจ้าหัวไว ถูกต้องแล้วล่ะ เจ้าควรปฏิเสธ มิใช่ฝืนยอมอย่างเมื่อครู่”
“เจ้าพี่ ไม่”
“ฮ่ะๆ พี่รู้ พี่รู้แล้ว... ไม่ก็ไม่” เขายืดกายถอยห่างออกมา ดารายิ้มกว้างที่คำพูดสองคำง่ายๆนั้นใช้ได้ผลชะงัด ลักษมินทร์มองนางด้วยสายตาน่าเอ็นดูเหลือแสน
มือใหญ่ยกขึ้นมาอีกครั้งและดาราก็มองตามว่าเขาจะทำอะไร นางหลับตากะจะร้องว่า ‘ไม่’ อีกครั้งเมื่อเขาเอื้อมมาใกล้ใบหน้า แต่แล้วก็นั่งนิ่งเมื่อร่างสูงเพียงแค่ปลดสายรัดเกล้าปัทมราชออกจากศีรษะของนาง
“ถอดออกเถอะ หนักแย่แล้วหรือมิใช่”
เสียงทุ้มกล่าวระเรื่อยอ่อนโยน แม้ไม่เข้าใจความหมายก็ทำให้ดารารู้สึกสงบลง นางคิดว่าเขาคงไม่ชอบเครื่องประดับมากมายนักกระมัง เมื่อดูตำหนักและพระราชฐานฐิรังกาที่เรียบง่าย
มืออุ่นค่อยๆถอดต่างหูของนางทีละข้างอย่างระมัดระวัง และสายตาของลักษมินทร์ก็จับอยู่ที่เครื่องทองนั้น ดาราใช้โอกาสนั้นมองพินิจใบหน้าของเจ้าชายหนุ่มตรงๆในระยะใกล้แล้วก็รู้สึกว่าหน้าร้อน ดวงพักตร์คมเข้มนั้นยิ่งเห็นใกล้ๆยิ่งดูงามสง่าไม่น้อย ดวงตาสีมณีนิล จมูกโด่งเป็นสัน และปากหยักลึกที่ระบายยิ้มน้อยๆติดอยู่เกือบตลอด ประกอบกันเป็นโครงหน้าที่ได้สัดส่วนสมบูรณ์ ผิวพรรณของชายหนุ่มเป็นสีทองแดงทว่าบนใบหน้าดูจะสีอ่อนเนียนกว่าแขนขาเล็กน้อยไม่ได้กร้านกระด้าง มันทำให้ดารานึกถึงเหล็กที่ขึงด้วยผ้า ลักษมินทร์ให้ความรู้สึกที่ทั้งแข็งแกร่งและนุ่มนวลอยู่ในที
ก็มนุษย์เหมือนกับนาง ไม่มีอะไรคล้ายยักษ์เขี้ยวโง้งตาแดงที่เขาร่ำลือกันสักนิด ใครหนอช่างปั้นเรื่องเช่นนั้นได้
นัยน์ตาคมคู่นั้นเงยมองนางแล้วขยับยิ้ม
“กระไร... ชอบหน้าตาพี่หรือ”
เขาเย้าเล่นไปอย่างนั้นแม้รู้ว่านางไม่เข้าใจ แต่สายตาเหมือนต้องมนตร์ของนางยามจ้องดูเขามันก็ชวนให้หยอกจริงๆนั่นแหละ
ร่างสูงขยับหน้าเข้าไปใกล้ “ถ้าชอบก็มองอีกสิ... มองพี่เพียงผู้เดียว ดีไหม”
ดาราเริ่มตาพร่าไม่รู้เขาพูดอะไร รอยยิ้มของลักษมินทร์ชวนมองอย่างยากจะถอนสายตา
ฉับพลันริมฝีปากอุ่นก็เข้ามาจูบนางทีหนึ่งอย่างรวดเร็วเกินจะรู้ตัวทัน ดาราหวีดร้องออกมาทันที แก้มแดงก่ำขึ้นมาขณะที่เจ้าชายหนุ่มสรวลสันต์ จูบเล็กๆนั้นปลุกความอุ่นร้อนบนปากของนางเมื่อตอนที่จูบกับเขาครั้งแรกในกระโจมถวายตัว หญิงสาวยกมือปิดปาก
ความจริงลักษมินทร์มีแต่แตะจูบนางอย่างออกจะสุภาพและผิวเผิน ไม่ได้ลิ้มรสหรือล่วงล้ำอย่างจุมพิตสิเน่หาระหว่างหญิงชายจริงๆ จะเป็นเพราะเขาค่อนข้างเอาแต่ใจน้อยกว่าพี่น้องคนอื่นอยู่แล้ว หรือเพราะเขาเกรงหญิงสาวจะตื่นตระหนกจนเป็นลมก็ไม่รู้ได้ แต่สำหรับดาราแค่จุมพิตเอ็นดูน้อยๆเช่นนี้ก็ทำให้จิตใจนางสับสนปั่นป่วนมากพออยู่แล้ว
บทเรียนคำศัพท์หลังจากนั้นเคล้าด้วยเสียงหัวเราะ ลักษมินทร์เริ่มจากคำง่ายๆที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น กิน นอน น้ำ ฯลฯ ดาราพยายามพูดและจำอย่างกระตือรือร้น เวลาหัวเราะและสอนนางเขาดูใจดีน่ารักมาก การที่เจ้าชายฐิรังกาตั้งใจจะสื่อสารกับนางไม่ใช่นึกแต่จะจับลุกจับนั่งเป็นตุ๊กตาทำให้ดาราหัวใจพองโต นางกำนัลจัณฑาลอย่างนางเกิดมาก็มีแต่คนออกคำสั่งอยู่ตลอด การที่ใครสักคนสนใจจะรับฟังนางจึงทำให้หญิงสาวเป็นสุขราวกับนกน้อยโผบินจากกรง
ไม่นานร่างเล็กก็หาวหวอด “นอน” นางตบๆที่นอน เลื่อนตัวลงตะแคง “นอน”
“ใช่ นอน... หลับสักหน่อยเดี๋ยวพี่จะปลุกตอนมื้อค่ำ”
ลักษมินทร์ลูบหัวนางเบาๆ เขาไม่คิดว่าจะหักห้ามใจได้หากนั่งมองหญิงสาวนอนหลับใหลไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงดึงผ้าแพรมาห่มให้ ก่อนจะออกไปพักเสียอีกห้องหนึ่ง
***
“จับไว้! นั่นไม่ใช่เจ้าหญิงอรอุมา!”
เสียงโหวกเหวกลั่นทำให้ดาราสะดุ้งสุดตัว นางผุดลุกขึ้นฟังเสียงภาษาที่ไม่เข้าใจ สังหรณ์อันตรายทำให้ขาทั้งสองรีบพาตัวเองหนี ทหารฐิรังการ่างสูงใหญ่นับสิบถือหอกดาบกรูกันเข้ามาทางหน้าตำหนัก ดารารู้ทันทีว่าพวกเขาต้องการตัวนาง
ร่างบางวิ่งออกมาที่สวนหลังตำหนัก กลิ่นดอกไม้นานาพรรณยามนี้ฉุนจัดชวนวิงเวียน ม้าทรงสีดำของลักษมินทร์ยืนเล็มหญ้าอยู่ตรงนั้น มันเงยคอขึ้นมองนางด้วยดวงตาแฝงคำถาม ดาราโผเข้าไปหามัน ทันทีที่หาทางปีนไปบนหลังมันได้ก็ชักสายบังเหียนควบสุดชีวิต นางขับม้ากระโจนเข้าในตำหนัก วิ่งฝ่าพวกทหารออกไปทางประตูหน้าท่ามกลางความวุ่นวาย ปลายดาบเล่มหนึ่งฟันเกี่ยวถูกชายผ้าแดงขลิบทองของชุดเจ้าสาวขาดวิ่น แต่ดาราไม่สนใจ นางกระตุกสายบังเหียนให้เจ้าม้าวิ่งควบเร็วขึ้นอีก เร็วจนสายลมตีบาดผิวแก้มเจ็บปวด
“จับมัน! จับนางนั่นไว้ให้ได้!”
“ห้ามยิงธนูเป็นอันขาด!! ผู้ใดฆ่าม้าทรงประจำองค์ลักษมินทร์มีโทษประหาร!”
ม้าดำวิ่งฉิวไปตามทางเดินเชื่อมในพระราชวังขามา เสียงทหารตะโกนตามไล่หลังแต่ดาราไม่กล้าหันไปมอง ฉับพลันทหารอีกกลุ่มก็โผล่ขึ้นมาดักหน้า พร้อมๆกับเหล่าราชองครักษ์โพกผ้าลายขับม้าเข้ามาทางซ้ายและขวา ในที่สุดดาราก็ถูกล้อมอย่างง่ายดาย
อะไรบางอย่างแข็งๆฟาดนางเข้าที่หลังศีรษะจนล้มตกลงมาจากหลังม้า ใบหน้างามกระแทกลงกับพื้นหินปูทางเดินร้อนฉ่า ก่อนจะถูกกระชากผมให้เงยขึ้น ปลายทวนเงินคมปลาบนับสิบจ่อรอบทิศที่ตำแหน่งคอ หัวหน้าราชองครักษ์ทำเสียงหึหยามหยันในคอก่อนจะผลักหัวนางลงไปกับพื้นด้วยความรังเกียจ
“จัณฑาล... หน้าตารึก็งาม แต่เลือดชั่วช้าแรงนัก บังอาจมาหลอกลวงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน” ผู้พูดส่ายหน้าไปมาก่อนจะถ่มน้ำลายใส่ “จับมันไปจำตรุไว้ รอประหารตอนตะวันตกดิน!”
“เกิดอะไรขึ้น! ใครทำอะไรอรอุมา!”
สุรเสียงสีหนาทลั่นขึ้นมาไม่ไกล อึดใจถัดมาศาสตราวุธทั้งหลายก็ถอนไปจากดาราและร่างบางถูกดึงไปกอดไว้แน่น น้ำตาร้อนท่วมเอ่อในดวงตาของนางและหัวตรงที่ถูกตีปวดแปลบ ซวนซบกับอ้อมอกแกร่งนั้นเกือบจะหมดสติ ลักษมินทร์หอบหายใจจากที่รุดมา เนตรนิลคมดุลุกด้วยเพลิงพิโรธและตวาด
“มึงกล้าดียังไงทำร้ายเมียรักของกู!!” หางเสียงแตกพร่าเมื่อฝ่ามือสัมผัสถึงโลหิตที่ไหลหยดจากแผลบนศีรษะเล็ก“มึงอวดโอหังนัก...กูจะตัดตีนสินมือที่ทำเมียกูให้กากินให้หมด!”
ราชองครักษ์และบรรดาทหารทั้งหลายรีบก้มกราบบังคมขอพระราชทานอภัยโทษ
“ทูลฝ่าบาท ขอทรงโปรดประทานอภัย” หัวหน้าราชองครักษ์รีบอธิบาย “กระหม่อมจะทำโดยคิดคดก็หาไม่ ทว่านางนี้มิใช่ราชธิดา อริราชศัตรูศรีบุษย์มันทำเล่ห์เลวทราม ถวายนางจัณฑาลมาให้ฝ่าบาทแทนราชธิดาองค์จริง”
ลักษมินทร์นิ่งงันไปขณะที่หัวใจแข็งเป็นหิน ขนงคมได้รูปมุ่นเข้าหากันก่อนจะสั่นหน้าช้าๆ
“ไม่จริง... เราไม่เชื่อเรื่องนี้”
“ทูลฝ่าบาท ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ข้อมูลจากราชทูตศรีบุษย์พะย่ะค่ะ นี่คือพระราชโองการให้จับนางจัณฑาลจากใต้ฝ่าละอองพระบาทรามราเมศ” ราชองครักษ์อีกนายชูม้วนเยื่อกระดาษขึ้นเหนือเกล้า “เมื่อบ่าย ราชทูตศรีบุษย์เข้าเฝ้าสารภาพความจริงและขอเข้าเป็นข้ารองบาทเจ้าเหนือหัว ราชทูตกราบทูลว่าไม่อาจทนรองบาทท้าวศรีบุษย์ผู้วางแผนสกปรกคดโกงต่อไปได้ จึงกลับใจมาสวามิภักดิ์กับฐิรังกา”
ลักษมินทร์หยิบม้วนกระดาษนั้นคลี่ออกอ่าน เนตรนิลไล่ไปตามตัวอักขระหวัดๆอย่างรวดเร็ว ดาราตัวชาวาบเมื่อเห็นเจ้าชายหนุ่มมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ ก่อนจะกลายเป็นว่างเปล่า ดวงตาสีรัตติกาลเปลี่ยนเป็นสีด้านๆและใบหน้าคมกระด้างเย็นชา เขาไม่มองนางอีกเลย แต่วางแผ่นกระดาษส่งให้ราชองรักษ์และปล่อยนางล้มลงกับพื้น
ดาราตัวสั่นเทิ้ม เลือดสีแดงสดหยดลงกับพื้นหินขณะพยายามใช้แขนยันตัว นางเห็นลักษมินทร์ชักกริชฝังไพลินคู่กายออกมา แล้วมือใหญ่ก็จับบังคับคางนางเงยขึ้นจากด้านหลัง พาดใบกริชแหลมบางเข้าตรงคอหอย
“ทูลเจ้าพี่รามว่าไม่ต้องรอประหาร” เสียงทุ้มกล่าวนิ่งไร้ความรู้สึกใดๆ “เราจะตัดคอนางจัณฑาลด้วยมือเราเอง”
กริชคมปาดเชือดเข้าที่คอ เส้นเสียงถูกตัดขาดก่อนนางจะทันเปล่งเสียงกรีดร้องพร้อมๆกับท่อหลอดลม และทุกสิ่งพลันย้อมด้วยสีแดงฉาน