บทที่ 6 เจ้าสาวขี้กลัว
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์หลังจากนั้นไม่ได้น่าพิสมัยไปเสียทั้งหมด
ราชทูตลาไปพักผ่อนยังเรือนรับรองที่ฝ่ายฐิรังกาเตรียมไว้พร้อมกับขบวนบรรณาการ ส่วนดาราถูกลักษมินทร์จูงมือแยกไปคนเดียว จากลาพวกคนจากศรีบุษย์ทั้งหมดซึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจอยากจะติดตามนางสักเท่าไร ส่งถวายให้แล้วเป็นอันจบกัน ลักษมินทร์ออกจะแปลกใจไม่มีนางกำนัลพี่เลี้ยงขอถวายตัวรับใช้หญิงสาวอยู่ที่ฐิรังกาด้วยเลย แต่ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมก็ให้นึกไปว่าธรรมเนียมศรีบุษย์คงทำกันแบบนี้
เจ้าชายลำดับที่สามประทับเหนือแท่นขาสิงห์ใกล้กับเหล่าเชษฐาอนุชา อุ้มดารามาใส่ตักไม่วาง เสนาอำมาตย์ต่อแถวกันเข้ามาถวายพระพรแก่เจ้าชายสี่พี่น้อง และจัดเครื่องเสวยยกมาตั้ง
ดาราแทบจะเป็นลมเอาจริงๆ เมื่อเห็นอาหารแต่ละอย่าง นอกจากเนื้อกระต่ายและเนื้อกวาง สิ่งที่น่าสยดสยองสำหรับนางแน่นอนว่าคือเนื้อโค ในเมืองศรีบุษย์นั้น โคอันเป็นพาหนะทรงขององค์อิศวรมีฐานะเหมือนเทพบุตรองค์หนึ่ง พ่อโคแม่โคจะเหยาะย่างอย่างสง่างามไปตามถนนหนทางโดยที่ทุกคนหลีกทางให้ สามารถเที่ยวกินพืชผักของชาวไร่และแม่ค้าร้านตลาดได้ตามใจชอบ ถือเป็นนิมิตมงคลจากเทพเสียอีก เด็กน้อยทั้งหลายก็พากันเอาผลไม้งามๆไปป้อนให้พระโคที่มีลักษณะดีเพื่อขอพร การฆ่าทำร้ายโคแม้ไม่ได้เจตนาก็ถือเป็นบาปมหันต์
ลักษมินทร์ขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกว่าร่างเล็กบนตักนั่งตัวแข็งทื่อ เขาก้มลงมอง ใจหายเล็กน้อยเมื่อเห็นนางหน้าซีดเผือด เนตรอำพันจ้องเขม็งไปที่แกงเนื้อวัว ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกหิวแต่เหมือนจะสำรอกเสียให้ได้ ยิ่งพอหม้อลิ้นวัวเคี่ยวสมุนไพรยกมาตรงหน้า นางก็หวีดร้องในลำคอและหลับตาซุกเข้ากับอกเขา คล้ายเห็นแม่ครัวฉีกเนื้อมนุษย์สดๆก็ไม่ปาน
กฤตพรตเป็นคนแรกที่นึกขึ้นได้ “ท่าจะไม่ดีกระมังเจ้าลักษม์ ชาวศรีบุษย์ไม่กินเนื้อวัว”
“สัตว์ใหญ่อย่างอื่นด้วยนี่ เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา ส่วนเนื้อนกเนื้อกระต่ายไม่รู้กินไหม” สิงห์ศัตรุตเอ่ยขึ้นบ้าง “สั่นน่าสงสารจังแฮะ นี่นางจะเป็นลมรึเปล่าเจ้าพี่ลักษม์”
ลักษมินทร์ลูบหัวหญิงสาวไว้แนบอก สั่งข้าราชบริพารเร็วๆ “เอาหม้อนี้ออกไปห่างๆ สำรับราชทูตศรีบุษย์มีอะไรบ้าง ยกที่นางกินได้มาที”
สุดท้ายแล้วดาราก็ได้เครื่องเสวยแยกต่างหากจากคนอื่นๆ ลักษมินทร์ให้นางนั่งข้างๆ มองดูนางก้มหน้าชิมของในสำรับโดยไม่หันมองพวกเขาอย่างออกจะหลากใจ สำรับของนางมีแป้งขาวแผ่นกลม แกงกุ้งข้นๆ แกงมันฝรั่ง ปลาตะเพียน และไข่ ดูแล้วไม่น่าพิศวงเลยที่ชาวศรีบุษย์ร่างผอมบางอ้อนแอ้นกันเหลือเกิน ดาราเหลือบมองเขาที่กินเนื้อทรายย่างน้ำผึ้งอย่างตื่นๆ แล้วรีบหลุบตาลงม้วนแป้งกินกับแกงเงียบๆ ทำเหมือนอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้
จบจากมื้ออาหาร ลักษมินทร์ก็พาดาราขึ้นม้าขับกลับไปยังตำหนักของเขา ดาราไม่เคยขี่ม้ามาก่อน แต่แทนที่จะกลัวอย่างที่รู้สึกมาเกือบตลอด นางกลับรู้สึกสนุก อาชาสีดำปลอดของลักษมินทร์ขนนุ่มเรียบเป็นมันขลับ แผงคอสะอาดได้รับการตัดแต่งดูแลอย่างดีปราศจากริ้นไร ร่างกายทุกส่วนของมันดูแข็งแรงปราดเปรียวเปี่ยมพลังยิ่งนัก ม้าทรงกษัตริย์เป็นม้าศึกที่ได้รับการฝึกอย่างดี คัดสายพันธุ์ที่ละพยศและมีวินัยจนไว้วางใจได้ บ้างว่ามันรู้ภาษาคนด้วยซ้ำไป ดารานึกอยากจะลองขี่มันห้อตะบึงไปในทุ่งกว้าง ไล่จับสายลมได้ดั่งใจ เจ้าม้าดำก็ดูจะเบื่อหน่ายการเดินช้าๆหยุดทักทายประชาชนเป็นระยะเหมือนกัน
ลักษมินทร์เหมือนจะจับความรู้สึกนั้นได้ เขาลงจากม้าและให้นางนั่งอยู่บนหลังของมันคนเดียว ปล่อยสายบังเหียนไว้ในมือเล็กๆของนางดาราเกาะมันอย่างเกร็งๆในทีแรก แต่แล้วก็กระตุ้นให้มันเดินเหยาะๆไปข้างหน้าได้อย่างตื่นเต้น รอยยิ้มมีชัยของนางทำให้ลักษมินทร์หัวเราะ เจ้าชายหนุ่มเดินตามหลังม้าที่ค่อยๆพานางลัดเลาะจากทางเชื่อมในพระราชวังไปยังสระหลวงและลานหญ้า ก่อนจะผิวปากเรียกเมื่อมันทำท่าจะล้ำเข้าไปในเขตตำหนักของกฤตพรต
“เอ๊ะ!?”
ดาราทำหน้าเหลอหลาเมื่อเจ้าม้าดำหันขวับกลับไปหาลักษมินทร์ทันที ทั้งที่นางดึงบังเหียนให้เลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง ร่างสูงรออยู่ด้วยรอยยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นเล็กน้อยเมื่อม้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะโดดขึ้นบนหลังของมันได้อย่างคล่องแคล่ว ดาราอุทานออกมา ร่างบางถูกโอบไปชิดกับเขาและมือใหญ่เลื่อนมากุมสายบังเหียนไว้ ควบพาทั้งคู่ตรงไปที่ตำหนักของเขาด้วยระดับความเร็วที่ทำให้ดารารู้สึกเหมือนกำลังโบยบินอย่างเสรี ฝีเท้าม้าทรงทั้งเบาและว่องไวเหมือนไม่ได้เหยียบบนพื้นทว่าอยู่บนเมฆอย่างไรอย่างนั้น
แรงลมที่ปะทะใบหน้าดึงให้ผ้าคลุมผมแดงเลื่อนหลุดและเส้นไหมดำอมน้ำตาลสยายปลิว มันกลิ่นหอมเย็นนุ่มนวลอย่างที่ทำให้ลักษมินทร์นึกถึงดอกมะลิยามใกล้รุ่ง
เมื่อมาถึงลักษมินทร์ก็ลงจากม้าและอุ้มนางลงตาม ตำหนักของเจ้าชายลำดับที่สามสร้างจากศิลาและไม้ประดู่ หน้าตาเหมือนตำหนักของเจ้ากฤตพรตเชษฐาร่วมอุทร เนื้อไม้สะอาดขัดเงาและตัวอาคารแขวนผ้าทอสีฟ้าคราม บางส่วนปล่อยให้เห็นเนื้อหินอ่อนธรรมชาติ มีสลักลายเล็กๆน้อยๆตามเสาและคาน สง่าเรียบง่ายแบบฐิรังกานิยม ดารารู้สึกดีกับมันอย่างน่าแปลก วังศรีบุษย์นั้นสีสดจัดจ้านและปั้นลวดลายปิดทองอลังการ แต่ตำหนักเจ้าฐิรังกาดูสบายๆ
ลักษมินทร์ขยับยิ้มที่เห็นว่าเจ้าสาวของเขาดูจะชอบบ้านใหม่ของนาง เขาพาดาราเข้าไปสำรวจดูห้องหับภายในและอุทยานด้านหลัง เจ้าสาวของเขาชอบสวนดอกไม้และลานหญ้ากว้างอีกเช่นกัน นางแย้มยิ้มน่ารัก ทำให้หน้าจิ้มลิ้มยิ่งน่าเอ็นดูกว่าเก่า เจ้าชายฐิรังการู้สึกตัวว่าหลงนางเข้าเต็มเปาเสียแล้ว
ดาราเก็บดอกแก้วมาแซมเกล้า พันปอยผมกับดอกจำปีให้มันทิ้งตัวลงมาที่ข้างหู ดอกไม้ทำให้นางนึกถึงศรีบุษย์และนางก็อยากจะให้มันมาอยู่กับตัว โดยเฉพาะเมื่อนางอยู่ในแผ่นดินที่ต่อไปอาจจะไม่ได้ยินแม้แต่ภาษาศรีบุษย์อีกแล้วแม้สักคำ สีหน้านางคงหม่นลงไปถนัดเพราะลักษมินทร์รีบลูบหัวนางเข้ามากอดทันที กระซิบปลอบขวัญด้วยถ้อยคำที่นางไม่เข้าใจ
“เป็นอะไรไป ไม่ชอบดอกไม้พวกนี้หรือ หรือว่าคิดถึงบ้านเสียแล้ว”
เจ้าชายหนุ่มพึมพำ สงสารและเห็นใจนักที่เห็นว่าชายาผู้ซึ่งเขาเพิ่งจะได้มาหมาดๆพูดภาษาฐิรังกาก็ไม่ได้ ที่ทางกระไรก็ไม่รู้จัก พี่เลี้ยงเพื่อนเล่นที่คุ้นเคยก็ไม่มี เป็นสถานการณ์ที่ว้าเหว่สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งอย่างมาก เขาจึงเอ่ยกับนาง แม้ว่านางจะไม่เข้าใจ
“อย่าเศร้าไปเลย ในเมื่อเจ้าเป็นชายาของพี่แล้ว แม้นว่าเจ้าไม่พึงใจที่นี่ตรงไหน พี่จะเปลี่ยนให้ดั่งใจเจ้าทุกอย่าง จะหาของสนุกสวยงามทั้งหลายมากำนัลเจ้า ให้เป็นสุขยิ่งกว่าวังของพระบิดาเจ้าเสียอีก ดีหรือไม่เล่า อย่าร้องไห้เลยนะ”
ดาราหลับตาฟังเสียงทุ้มของเขา ถึงจะไม่เข้าใจความหมายแต่น้ำคำทำนองอ่อนโยนก็ทำให้นางรู้สึกดีอย่างประหลาด นางไม่ชินเลยที่มีคนพูดด้วยดีๆแบบนี้... หญิงสาวค่อยๆดันแผ่นอกแกร่งออกเบาๆ รู้สึกเศร้าและเหนื่อยขึ้นมา ความเครียดเมื่อยล้าจากการเดินทางไกลผสมจิตวิตกกังวลสะสมกันเป็นปมเหมือนจะคลายหลุดออกในนาทีนี้ นางจึงประกบมือเข้าหากัน ยกไปทาบแก้มแล้วเอียงคอหลับตาทำท่านอน ลักษมินทร์ดูจะเข้าใจ เขาช้อนร่างหญิงสาวขึ้นมาอย่างง่ายดายราวกับเด็กและพาเข้าตำหนัก ดาราร้องประท้วง อยากให้ร่างสูงปล่อยลงแต่เขาก็พานางไปถึงเตียง
สถานการณ์ล่อแหลมขึ้นมาในทันใดเมื่อทั้งสองอยู่ด้วยกันบนเตียงสี่เสากลางห้องบรรทม ลักษมินทร์ชะงักอยู่เหนือร่างของดาราหลังจากวางนางลงกับที่นอนนุ่ม ภาพสาวน้อยนอนหงาย เรือนผมแผ่ออกบนผ้าปูที่นอนไหมในชุดเจ้าสาวแดงเพลิง ดูชวนเชิญเสียจนใจเต้นตึก
วินาทีต่อมาก่อนจะทันรู้ตัว สันจมูกคมก็ฝังลงกับซอกคอนวลน้ำผึ้งและดาราร้องเสียงหลง รู้สึกเหมือนถูกคุกคามจนสั่นขนลุก นางข่วนดิ้นขัดขืนเจ้าชายหนุ่มสุดชีวิตแต่ก็สู้ไม่ได้ เหมือนกับลูกแมวพยายามตะปบเสือโคร่ง ลักษมินทร์จูบซุกลงไปตรงเนื้ออ่อนนั้น เพียรค้นหาแหล่งที่มาของกลิ่นมะลิวัลย์อันเย้ายวน สร้อยสังวาลขวางเกะกะถูกปลดทิ้งพร้อมกับสองมือกร้านสอดเลื่อนเข้าใต้เนื้อผ้าชั้นดี