บทที่ 4 ยกนางให้น้องเราดีกว่า
เจ้าชายฐิรังกาทั้งสี่ทรงม้านิ่งฟังราชทูตศรีบุษย์ทูลถวายของขวัญบรรณาการต่างๆ และตรัสคุยกันเองอย่างเบิกบานใจเมื่อบรรดาทาสทาสีออกมาโปรยข้าวตอกดอกไม้ เพื่อบูชาคารวะแก่ฐิรังกานครผู้กำชัย พวกทาสขับเพลงสรรเสริญดังกังวาน เดินหมุนเป็นวงรอบม้าทั้งสี่ตัววนทักษิณาวัตร
จู่ๆ เจ้าชายองค์ที่อยู่ซ้ายสุดก็เงยพักตร์ผ่านฝนกลีบดอกไม้ที่กำลังปลิวว่อนขึ้นมา เนตรนิลคมกริบสบเข้ากับดาราพอดิบพอดี
ดวงพักตร์คมสันนั้นระบายยิ้มน้อยๆกับกลีบบุปผา คิ้วเข้มผ่อนคลายและแสงแดดสาดกระทบมุมนาสิกได้รูป เป็นภาพที่ดูชวนมองและน่าประทับใจยิ่ง ไร้ความดุร้ายป่าเถื่อนอย่างที่หญิงสาวนึกอคติในทีแรกอย่างสิ้นเชิง
ดาราตัวชาวูบ ตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะรีบปิดม่านลงพรึ่บ หัวใจเต้นระรัวอยู่ในอกด้วยความกลัวผสมกับตกใจที่เจ้าฐิรังกาจับได้ว่านางลอบมอง ทำตัวไม่สมเป็นราชธิดา แม้จะปิดม่านแล้วแต่นางก็ยังเห็นผ่านเนื้อผ้าม่านลางๆว่าเจ้าชายองค์นั้นยังคงทอดพระเนตรมาทางนี้อยู่ หญิงสาวเม้มปากขณะที่ท้องไส้ปั่นป่วน
นางชาติข้าเอ๊ย! ดาราก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ นิสัยแอบมองแบบเวลาเป็นนางกำนัลที่ต้องคอยสอดส่ายหูตาฟังข่าวไปรายงานเจ้าหญิงอรอุมาจะทำราชวงศ์ศรีบุษย์เสียชื่อเสียแล้ว หลังจากนั้นนางพยายามนั่งนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ยุกยิกอีก กระนั้นตัวก็ยังสั่นๆกับอนาคตที่คืบคลานเข้ามาทุกทีอย่างน่าสมเพช
“เจ้าลักษม์ ลงจากม้าได้แล้ว ราชทูตเชิญพวกเราเข้าในกระโจมหลวง”
กฤตพรตเอ่ยขึ้นดังๆ เรียกให้ลักษมินทร์ละสายตาจากสิ่งที่กำลังมอง เจ้าชายหนุ่มส่งเสียงรับคำเบาๆ รีบลงจากหลังม้าเป็นคนสุดท้ายในบรรดาสี่พี่น้อง
“ใจลอยไปไหนกัน น้องรัก”เจ้ารามราเมศสรวลขึ้นสบายๆอย่างเคย “สำรวจดูของขวัญอยู่รึ ต้องใจสิ่งใดหรือไม่”
“ทูตศรีบุษย์พูดสำเนียงฟังไม่รู้เรื่องมากกว่า” สิงห์ศัตรุตออกความเห็น รอยยิ้มขี้เล่นร้ายกาจประดับมุมปากข้างหนึ่งขณะเหลือบแลผ่านนางรำอัปสร “เจ้าพี่ราม ดาบโค้งคู่เมืองศรีบุษย์ในหีบนั่น ในฐานะที่ข้านำทัพหน้าตีศรีบุษย์จนแตกพ่าย ข้าขอนะ”
รามราเมศสรวลขึ้นอีกครั้งเป็นทีว่าอนุญาต โอบไหล่อนุชาคนเล็กสุดเข้าในกระโจมสีแสดที่ฝ่ายศรีบุษย์เตรียมไว้ ลักษมินทร์หันไปมองสัปคับอีกครั้ง แต่ก็เห็นเพียงที่ประทับอันว่างเปล่า ไม่มีร่างเล็กนั่งหลังม่านสีทองใสนั้นแล้ว
ภายในกระโจมสีแสดมีสายดอกรักร้อยไว้รอบกระโจม กลิ่นเครื่องหอมที่ทำจากกุหลาบอบแห้งปรุงด้วยกระดังงาฟุ้งตลบอบอวล ส่งให้บรรยากาศอ่อนหวานยวนใจ ชนชาวศรีบุษย์ดูจะมีความรักในมวลไม้นานาพรรณอย่างลึกซึ้งแบบที่ชาวทะเลฐิรังกาไม่อาจเข้าใจได้ เบาะกำมะหยี่ดำสำหรับเป็นที่ประทับของเจ้าชายทั้งสี่มีนางกำนัลในชุดสีสดใสก้มกราบรอปรนนิบัติอยู่พรั่งพร้อม ราชทูตเชิญให้พวกเขานั่งลงด้วยสำเนียงแปร่งๆนั่น ก่อนจะกล่าวเชิญเสด็จเจ้าหญิงแห่งศรีบุษย์
“ดังที่ได้ผูกคำมั่นสัญญากันไว้ ท้าวศรีบุษย์ขอน้อมถวายราชธิดา เจ้าฟ้าหญิงอรอุมาเทวี แก่เจ้ารามราเมศปิ่นธานีฐิรังกา ให้พระนางได้รับใช้สนองพระเดชพระคุณที่มีน้ำพระทัยเมตตาเมืองศรีบุษย์ และร่วมสืบสายวงศ์วานอัศวิน”
ดารากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ตัวเย็นเฉียบตั้งแต่หัวจรดเท้าและสั่นระริกหนักขึ้นทุกคำที่ราชทูตพูดออกมา นางสั่นเสียจนสายรัดเกล้ามณีที่ห้อยบนหน้าผากและต่างหูทองระย้าเขย่ากรุ๊งกริ๊งตามไปด้วย เสียงโลหะสั่นกระทบกันนั้นก้องไม่หยุดอยู่ในหูและนางก็คลื่นไส้วิงเวียนแทบจะเป็นลม
อึดใจต่อมา นางกำนัลคนใดคนหนึ่งผลักดาราแรงๆให้ทรุดลงกับพื้นในท่าคลาน หญิงสาวหลับตารู้สึกว่าดวงตาเอ่อคลอ ค่อยๆคุกเข่าขึ้นเมื่อตั้งสติได้และแหวกม่านสีแสดชั้นสุดท้ายขึ้น คลานชดช้อยเข้าไปที่กลางกระโจม แล้วพับขานั่งพับเพียบก้มลงกราบหน้ากลุ่มเบาะกำมะหยี่ของเหล่าเจ้าชายฐิรังกา
เสียงราชทูตเริ่มแนะนำเจ้าฐิรังกาทั้งสี่ต่อนางในภาษาศรีบุษย์ แต่ดาราไม่ได้เงยหน้า สายตาจากมุมของนางเห็นเพียงพื้น เหลือบไปพอเห็นเบาะกำมะหยี่ดำและชายอาภรณ์สีเทาของเจ้าชายแต่ละองค์เท่านั้น
ราชทูตร่ายยืดยาว เขาไม่ใส่ใจว่านางจัณฑาลจะฟังหรือไม่ เพียงจะทำให้ถูกต้องตามธรรมเนียมให้มันจบๆ “ที่ประทับหน้าสุดนี้คือพระผู้ทรงอาชา เจ้ารามราเมศ ยุวราชผู้สืบสันตติวงศ์จากท้าวฐิรังกา จอมทัพผู้ถืออาญาสิทธิ์เท่ากับพระเจ้าแผ่นดินทุกประการ ทางเบื้องขวา เจ้ากฤตพรต จอมปราชญ์ศาสนูปถัมภก พระองค์ทรงเสนอการวิวาห์เชื่อมสัมพันธไมตรีในครั้งนี้”
วิวาห์สัมพันธไมตรี... เสียงกระทืบบาทร้องไห้ของเจ้าหญิงอรอุมาแว่วเข้ามาในหูของดารา
จริงแท้... มันแค่คำสุภาพสวยหรูของการยึดตัวประกัน กษัตริย์ผู้แพ้ถวายธิดาไปเป็นบาทบริจาริกา ให้หมอบแทบเท้าเขา จะโดนกระทำย่ำยีอย่างไรก็ได้
เกาะฐิรังกาเป็นเมืองยักษ์ ชาวแผ่นดินใหญ่จึงไม่เคยถวายตัวใครให้มาก่อนด้วยเกรงว่าจะถูกจับกิน ดาราพลันรู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมาอย่างขมขื่น บางทีคงเป็นนางนี่เองที่จะถูกยักษ์กินเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์
“เบื้องขวาถัดไปคือเจ้าลักษมินทร์ ปราชญ์พิชัยสงครามผู้จัดทัพวางอุบายศึก เป็นอนุชาร่วมอุทรกับเจ้ากฤตพรต ส่วนทางเบื้องขวาสุดคือเจ้าสิงห์ศัตรุต อนุชาร่วมอุทรกับเจ้ารามราเมศ จอมนาวีผู้พิชิตเมืองน้อยใหญ่ตามเกาะในสมุทรด้านบูรพทิศของฐิรังกา”
ดาราหูอื้ออึง ตั้งสติได้อีกทีราชทูตก็กล่าวจบไปนานแล้วและทั้งกระโจมตกอยู่ในความเงียบ นางก้มกราบนิ่งราวกับเป็นทาสที่ไม่สามารถประสบพักตร์กับเจ้าเหนือหัวตรงๆ แต่ความจริงก็คือนางไม่อาจแข็งใจเงยหน้ายืดกายขึ้นมาอย่างทะนงศักดิ์เหมือนคนเป็นเจ้าฟ้าหญิงจริงๆ อย่างไรทั้งชีวิตนางก็เป็นแค่นางกำนัล ในใจมีแต่ความกลัวอย่างเดียว ยิ่งเมื่อรู้สึกถึงสายตาของเจ้าชายทั้งสี่จับจ้องเขม็งมาที่นางแทบทะลุทะลวง ดาราก็ยิ่งไม่กล้าขยับ ได้แต่สั่นอย่างควบคุมไม่ได้
สุรเสียงตรัสนุ่มๆจากเจ้ารามราเมศที่อยู่ตรงหน้าเล่นเอาร่างบางสะดุ้งโหยง ราชทูตรีบแปลให้นางฟังด้วยเสียงติดจะดุด้วยรู้สึกขายหน้า
“ท้าวเธอตรัสว่า ‘เจ้านางจะก้มอยู่อย่างนี้ตลอดเลยหรือ’ ” ราชทูตพูดลอดไรฟัน “เงยหน้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย เร็วๆ!”
ร่างบางที่สั่นสะท้านไปตั้งตัวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ทว่าดวงตาสีอำพันกลมโตนั้นยังจับอยู่ที่พื้นพรม รูปโฉมของหญิงสาวมองจากระยะใกล้เป็นที่สะคราญลานใจแก่เจ้าชายทั้งสี่อยู่ไม่น้อย ไม่บ่อยนักที่เจ้าหญิงเมืองต่างๆ จะมีสิริโฉมเสาวลักษณ์สมคำร่ำลือ ส่วนมากมักเป็นแค่ข่าวหลอกที่ราชสำนักปล่อยเองเสียมากกว่า แต่อนงค์น้อยตรงหน้านี้ แม้ไม่ถึงขั้นงามเลิศเลอชวนคลั่งไคล้อะไร ก็สวยน่ารักในแบบจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ปากนิดจมูกหน่อยน่าเสน่หา
นางอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงมงคลประดับเครื่องทองตามธรรมเนียม ใต้เสื้อตัวสั้นเปิดหน้าท้องเห็นหมุดฝังพลอยอันจิ๋วตรงสะดือ อันเป็นสิ่งเดียวที่นางใส่ติดตัวจริงๆตลอดเวลา ผิวนวลน้ำผึ้งส่วนที่พ้นร่มผ้าใสผุดผ่อง และเรือนผมยาวประกายน้ำตาลคลุมผ้าแดงขลิบทองเรียบลื่นสวยงาม ทั้งหมดประกอบกันแล้วแลดูชวนถนอมมากกว่าจะจุดไฟตัณหาให้กำเริบร่าน
ลักษมินทร์เบิกตากว้าง วินาทีนั้นเจ้าชายหนุ่มคล้ายไม่เคยพบเห็นอิสตรีมาก่อน ไม่เคยรู้จักสิ่งมีชีวิตเช่นนี้มาก่อนก็ปาน
โอ... มันเป็นความรู้สึกเดียวกับที่เมื่อยังเด็กเขาได้ยลปลาโลมาว่ายโผล่ขึ้นพ้นน้ำเป็นครั้งแรกกลางทะเลน้ำเงิน น่าทึ่งและน่าพิศวงและไม่อาจลืมเลือนได้ แม้ว่าโลมาไม่ใช่ปลาสีสดสวย แถมยังเป็นเพชฌฆาตแห่งท้องน้ำ ก็ดูเหมือนจะไม่สลักสำคัญ ด้วยว่าเพียงแค่มันปรากฏกายขึ้นเท่านั้น ก็บันดาลให้คนมองอัศจรรย์และรักใคร่ ในใจลักษมินทร์เกิดความปรารถนาขึ้นมายิ่งยวดให้นางเลื่อนสายตามาสบ
มองดูข้าเถิด มองดูอีกครั้งด้วยดวงตาของเจ้า... ดวงตาที่จะทำให้ข้าไม่มองใครอีกเลย
เสียงหัวเราะแผ่วตามนิสัยดังมาจากเจ้ารามราเมศ เขาเอ่ยออกเป็นเชิงเอ็นดู “ให้เราเช่นนั้นหรือ ตัวน้อยๆ เท่านี้ รางวัลแก่น้องเราเถอะ... ศัตรุตผู้มากรักท่าจะต้องใจหรือมิใช่”
“ไม่มีใครหรอกจะปฏิเสธกุหลาบแรกแย้ม” เจ้าชายองค์สุดท้องกล่าวตอบยิ้มๆ น้อมไหว้ขอบพระทัยเชษฐา
ดาราเกร็งตัว รู้ทันทีว่ามีการตกลงกันเกิดขึ้น
เจ้าสิงห์ศัตรุตยื่นมือมาทางนางเป็นเชิงเชื้อเชิญให้เข้าไปหา ดาราเลิ่กลั่กมองราชทูตที่กำลังจะแปลให้นางฟัง แต่แล้วในวินาทีนั้น เจ้าลักษมินทร์ที่ประทับทางขวาสุดกลับยกมือขึ้นห้าม
“ศัตรุต... ไม่เกินไปหน่อยหรือหากเจ้ายึดทั้งดาบคู่เมืองและราชธิดา” ลักษมินทร์ขัด เลื่อนสายตาไปยังเชษฐาองค์โตแล้วว่า “เจ้าพี่ราม ทัพศัตรุตตีเมืองศรีบุษย์ได้ก็จริง แต่เป็นด้วยแผนศึกของข้า ในเมื่อศัตรุตขอดาบแล้ว ตามหลักราชธิดาก็ควรเป็นของข้า หรือถ้าไม่อย่างนั้น ศัตรุตก็ควรได้ราชธิดาโดยที่ข้าได้ดาบคู่เมืองเสียแทน แบบนี้จึงจะยุติธรรม หรือเจ้าพี่ว่าอย่างไร”