บทที่ 3 เปียกอย่างกับลูกหมาตกน้ำ
ห่างออกไปอีกราวห้าสิบโยชน์ผ่านผืนสมุทรที่เรือของดาราลอยอยู่ เกาะฐิรังกาเต็มไปด้วยเสียงผู้คนเฉลิมฉลอง ลานหินหน้าพระราชวังวุ่นวายไปด้วยข้าราชบริพารจัดสถานที่เตรียมทำพิธีบูชาพระเสื้อเมือง ทาสทาสีประพรมน้ำมนต์ลงดินรอบวังพ่อเนื้อทรายตัวพ่วงพีถูกศรอาคมจากพระฤๅษีล้มเป็นมงคลก่อนพระอาทิตย์ขึ้น นำมาย่างไฟราดน้ำผึ้งหอมหวนสำหรับเซ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ฐิรังกานคร
ณ แท่นประทับหน้าวังสูงเหนือลานศิลา เจ้าชายฐิรังกาสี่พี่น้องกำลังสำราญกับบทขับลำนำยอพระเกียรติของกวีหลวง พิธีบูชาพระเสื้อเมืองในวันนี้เป็นการฉลองชัยชนะเหนือนครชมพู เมืองวานรซึ่งเพิ่งส่งราชทูตเข้ามาสวามิภักดิ์
“นี่เจ้าลักษม์หายไปไหน”
เจ้ารามราเมศ เจ้าชายหนุ่มองค์โตตรัสถามดังๆ หลังจากคล้องมาลัยพระราชทานแก่กวีพระองค์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนท้าวฐิรังกาที่พระพลานามัยเริ่มถดถอยตามวัย ความคิดอ่านหลงลืมเชื่องช้า ตัวองค์ท้าวฐิรังกาและเหล่ามเหสีย้ายไปประทับที่วังตากอากาศบนเขาเมื่อสองปีที่แล้ว ไม่มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกเท่าไรนัก ปัจจุบันรามราเมศจึงมีอำนาจเทียบเท่ากษัตริย์เต็มตัวทุกประการ
เจ้าชายหนุ่มอีกสององค์ที่ประทับร่วมวง เจ้ากฤตพรตและเจ้าสิงห์ศัตรุต ทอดสายตาไปรอบๆอย่างสงสัยเช่นกัน
“เมื่อคืนเจ้าลักษม์ไปค้างข้างนอก คงติดทักทายชาวบ้านอยู่ระหว่างทางมาวังกระมัง เจ้าพี่” กฤตพรต เจ้าชายลำดับที่สองตรัสเรียบๆตามนิสัย จิบพระสุธารสลอยมะลิเย็นชื่น เส้นเกศาดำประบ่าปลิวตามแรงลมมาปรกพักตร์
“ข้าว่าเจ้าพี่ลักษม์ดอดไปช่วยตัดเนื้อกวางขึ้นพานเซ่นอยู่แหงๆ หอมน้ำลายสอเลย” สิงห์ศัตรุต เจ้าชายลำดับที่สี่ออกปากยวนๆ ก่อนคายชานหมากให้พระสนมผ่านจุมพิตอย่างไม่เกรงสายตาและขี้ปากชาวบ้าน
เจ้ารามราเมศแย้มสรวล “ใครจะชอบหาเรื่องแอบกินของเซ่นไม่อายฟ้าดินเหมือนอย่างเจ้า”
เสียงหัวร่อต่อกระซิกฉับพลันของเหล่านางกำนัลที่หมอบอยู่ตามขั้นบันไดหน้าและที่คอยปรนนิบัติพัดวีดังแซ่ดต่อๆกันมา เป็นสัญญาณบอกให้เจ้าชายทั้งสามตระหนักว่าคงมีเรื่องเป็นแน่ เพียงครู่เดียวสิงห์ศัตรุตผู้มีสายตาแหลมคมก็สรวลขึ้นด้วย ชี้ชวนให้เชษฐาทั้งสองหันไปทอดพระเนตรตาม
“ดูเจ้าพี่ลักษม์ไปลงสรงที่ไหนมา! เปียกม่อลอกม่อแลกอย่างกับลูกหมาตกน้ำ!”
ลักษมินทร์เกศาเปียกลู่ เนื้อตัวมีน้ำหยดติ๋งๆ เสด็จมาถึงหน้าที่ประทับแล้วไหว้เจ้ารามราเมศกับเจ้ากฤตพรต เจ้าชายลำดับที่สามดูหมดราศีอย่างยิ่งในวันนี้ขณะที่นางกำนัลรุมกันเข้ามาเอาผ้าเช็ดซับวรกายให้ หันมารับไหว้เจ้าสิงห์ศัตรุตผู้อนุชาอย่างออกเคืองๆ
“เก็บปากไว้เถอะศัตรุต หาไม่พี่จะถือว่าคำเปรียบของเจ้ามีนัยว่ารู้ดีกว่าที่คิด”
“หมายความว่าอย่างไรกัน น้องรัก” เจ้ารามราเมศตรัสอย่างออกจะกลั้นสรวล ทุกคนอาจได้เห็นสิงห์ศัตรุตน้องเล็กเที่ยวเล่นสนุกอะไรต่อมิอะไร ลุยน้ำเปื้อนดินไม่สมศักดิ์เจ้าชายอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ใช่ลักษมินทร์ที่ทำอะไรคำนึงถึงราชสำนักและระมัดระวังอย่างคนศึกษาพิชัยสงคราม “พระสมุทรทรงเมตตา เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าในวันมงคลเช่นนี้”
ลักษมินทร์ถอนพระทัยน้อยๆ “ไม่ใช่กระไรใหญ่โตหรอกเจ้าพี่ ตอนข้าขับม้าผ่านไปทางท่าเรือ ชาวบ้านมารอรับเสด็จกันแน่นขนัด พอข้าลงม้าเดินข้ามสะพานก็ได้ยินเสียงตูม มีแม่เฒ่าคนหนึ่งร้องว่า ‘ช่วยด้วย! อีจำปาตกน้ำ! ลูกกูตกน้ำ!’ ลั่นซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้”
กฤตพรตเลิกคิ้ว ขณะที่สิงห์ศัตรุตตบเข่าฉาด “มุขเก่า! เจ้าพี่ลักษม์ก็เลยกระโดดลงไปช่วยแม่จำปายอดหญิง เสร็จแล้วยายแก่นั่นก็ถวายตัวนางให้เป็นสนมเจ้าพี่สิท่า ปัดโธ่ข้าก็เคยเจอกลนี้”
“ไม่ใช่!” ลักษมินทร์เข่นเขี้ยว “พี่ลงไปช่วยเพราะนึกว่าเป็นเด็กจมน้ำ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าอีจำปาลูกรักแม่เฒ่านั่นเป็นลูกหมา! มันกัดมือพี่เข้าให้นี่!”
ทั้งเหล่าเจ้าฐิรังกาและนางกำนัลพากันขำครืน ตัวลักษมินทร์เองก็หัวเราะไปด้วยขณะนั่งลงบนแท่น เมื่อกายเริ่มหมาด ฝ่ายพัสตราภรณ์นำฉลองพระองค์สีเทาอ่อนเดินดิ้นเงินแบบราชวงศ์ฐิรังกาตัวใหม่มาถวายให้ทรงแทนที่เปียกไป เจ้าชายหนุ่มดูสราญหฤทัยขึ้นเมื่อได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและเจิมน้ำมันหอมที่หน้าผาก ริมฝีปากหยักลึกได้รูปจิบสุธารสชาร้อนๆที่นางกำนัลนำมาถวาย
เจ้ากฤตพรตเหลือบมองดูท้องฟ้า “ตะวันเริ่มทอแสงสายแล้ว น่าจะได้ฤกษ์ในไม่ช้า”
“มหาปุโรหิตว่าจะมาเชิญพวกเราเอง ท่านกำชับว่าพวกเราต้องลุกขึ้นก้าวเท้าขวาเป็นก้าวแรกในนาทีมงคล” รามราเมศบอก แม้จะไม่ได้ศรัทธาอย่างสุดจิตสุดใจ แต่เจ้าชายหนุ่มก็เคารพระเบียบราชประเพณี ไม่อยากถือสาอำมาตย์ราชครูในเรื่องหยุมหยิม “สิ่งใดที่ปรากฏในนาทีนั้นท่านถือว่าเป็นเรื่องน่าปิติยินดี...”
สิงห์ศัตรุตต่อให้ “ก็เลยสั่งคนปล่อยนกปล่อยปลาเป็นฝูงในนาทีนั้นด้วย”
เจ้าชายองค์โตหัวเราะเบาๆ “หากมันทำให้ชาวฐิรังกาสุขใจ พี่ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร”
“จริงสิ” ลักษมินทร์เอ่ยขึ้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้าพี่ราม เรือที่พระบิดาส่งไปรับบรรณาการและราชธิดาศรีบุษย์ ป่านนี้ยังมาไม่ถึงอีก ที่ท่าเรือข้าถามดูแล้ว เห็นว่าควรจะมาตั้งแต่เมื่อค่ำวาน พระสมุทรก็เมตตาไร้คลื่นลมแปรปรวนในฤดูนี้ ไม่น่ามีเหตุล่าช้า”
“แปลกนักดังเจ้าว่า พี่เกรงราชธิดาจะประชวรกลางทางเสียหรือเปล่า เจ้านางคงไม่เคยเดินทางไกล”
“เจ้าพี่รามลักษม์ทั้งสองใจดีจริงๆ เป็นข้ารึคงอนุมานว่าศรีบุษย์เบี้ยวเรา วางแผนส่งเรือไปตามล่าแล้ว ว่าไหมเจ้าพี่พรต”
ฆ้องโมงลั่นขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียง มหาปุโรหิตเคราขาวห่มหนังหมีเข้ามาถวายบังคม ทูลเชิญเจ้าชายสี่พี่น้องจากที่ประทับให้เสด็จลงไปยังปะรำพิธี เพื่อสักการะพระเสื้อเมืองด้วยพานดอกไม้และเซ่นเนื้อทราย
ลักษมินทร์นบนิ้ววันทาพระเสื้อเมืองผู้ปกปักษ์ฐิรังกานคร อธิษฐานจิตให้พระบิดาหายจากอาการประชวรและขอพรแก่เหล่าทหารหาญ เจ้าชายหนุ่มเหลือบแลนัยนาไปทางทะเลสีน้ำเงินอันเป็นที่รักของชาวฐิรังกา
ณ เส้นขอบฟ้า ใบเรือสีขาวสะอาดกำลังพาดารามุ่งหน้าสู่แผ่นดิน
***
นาวาจีนเทียบท่าฐิรังกาตอนตะวันตรงศีรษะพอดี เจ้าชายสี่พี่น้องยืนม้ารอรับขบวนบรรณาการศรีบุษย์ที่ลานหน้าพระราชวัง บัดนี้บริเวณลานเสร็จสิ้นพิธีบูชาพระเสื้อเมืองเรียบร้อยแล้ว ทว่ายังมีชาวบ้านออกันเฉลิมฉลองคับคั่ง รอรับส่วนแบ่งเนื้อโคและกวางที่เหล่าเสนาอำมาตย์ถวายแก่ราชสำนัก ซึ่งเจ้ารามราเมศมีโองการให้แจกจ่าย บรรยากาศดูครึกครื้นที่ราชธิดาศรีบุษย์เสด็จมาถึงพอดีกับวันศุภมงคล
ขบวนบรรณาการที่นำด้วยราชทูตศรีบุษย์เพียบไปด้วยทาสทาสีในเครื่องกายสีฉูดฉาดบาดตา แต่ละคนยกทูนพานใส่เพชรนิลจินดา หีบผ้าแพรพรรณ ผอบเครื่องหอม และของมีค่าสมควรแก่กษัตริย์ต่างๆ มีเหล่านางรำอัปสรกลุ่มใหญ่แปรแถวระบำเป็นวงรูปดอกบัวบาน
กลางขบวนเป็นช้างพระที่นั่งราชธิดาศรีบุษย์ สัปคับบนหลังกุญชรมีหลังคาต่อเติมวิจิตรงดงาม ระหว่างสี่เสาสัปคับมีผ้าม่านสีก้านกรรณิการ์โปร่งปิดไว้ เห็นร่างที่นั่งพับเพียบอยู่ภายในแต่เพียงลางๆ ถึงกระนั้นชาวบ้านก็ร่ำลือกันว่างดงามเฉิดเฉลานัก บ้างอ้างว่าได้เห็นนางเสด็จลงจากเรือมีรัศมีผุดผ่อง บ้างก็อ้างว่าได้ยลดวงพักตร์ของนางยามช้างพังย่างขยับจนม่านปลิวเพยิบพยาบ
ทั้งนี้ หากถามดาราแล้วไม่มีข้อใดเลยที่เป็นความจริง แต่นางก็ดีใจที่ได้ยินเสียงชื่นชมยินดีจากชาวฐิรังกาแทนที่จะเป็นคำเหยียดหยามเมืองผู้แพ้ พวกเขาคงเอ็นดูศรีบุษย์เป็นเมืองน้องในเมื่อเจ้าสองนครจะดองกัน
ขบวนบรรณาการเคลื่อนเข้าสู่ลานหน้าพระราชวัง แล้วจัดกระบวนเป็นโค้งครึ่งวงกลม เว้นที่ให้แก่ราชทูตและเจ้าชายทั้งสี่ตรงกลาง เจ้ารามราเมศทรงบังคับม้านำเหล่าอนุชาเสด็จมาต้อนรับราชทูตศรีบุษย์ ทั้งสองฝ่ายสนทนาปราศรัยกันอยู่นานสองนาน
ดาราลอบแหวกม่านกรรณิการ์ออกเล็กน้อยเพื่อจะได้มองเห็นลานหินด้านล่าง จากบนสัปคับหลังช้าง เจ้าชายทั้งสี่ที่ประทับเรียงเหลื่อมๆกันอยู่นั้นช่างงามสง่า ทว่าไม่ใช่ในแบบที่ชาวศรีบุษย์จะนิยม ราชวงศ์ฐิรังกาไม่ใช่เจ้าบนหลังช้าง ทว่าทรงอาชาสีดำปลอดดังที่โบราณเรียกขานว่าวงศ์อัศวิน พาให้ร่างที่สูงผึ่งผายอย่างชาตินักรบยิ่งดูสูงน่าเกรงขามกว่าเดิม ผิวเข้มเป็นสีทองแดงและนัยน์ตาสีดำสนิททั้งสี่พระองค์ ดาราหนาวไปถึงสันหลัง ขนลุกซู่แค่เมื่อมองเจ้าฐิรังกาเหล่านี้ ยิ่งกลัวกว่าเดิมเมื่อเห็นชาวฐิรังกามากมายตรงๆโดยไม่ผ่านผ้าม่าน
ยักษ์ชัดๆ! นางคิดอย่างแตกตื่น
แก้วตาอสูรสีถ่านของยักษ์พวกนี้ดุดันเหมือนสัตว์ป่า รูปร่างสูงใหญ่กำยำของเจ้าชายทั้งสี่ก็ช่างตรงกันข้ามกับเหล่าเจ้าฟ้าศรีบุษย์ผู้งดงามอรชร แม้กระทั่งแม่ทัพนายกองศรีบุษย์ก็ยังดูสะโอดสะอง คล้ายเทพบุตรตามภาพจิตรกรรม ต่างกับเหล่าอสูรที่นางเห็นตอนนี้เหมือนฟ้ากับเหว
แค่คิดว่าจะต้องตกเป็นภรรยาของยักษ์และใช้ทั้งชีวิตที่เหลือในแดนเถื่อน ดาราก็ตัวสั่นจนแทบควบคุมไม่ได้ ทั้งกลัวทั้งขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก นางอาจเกิดเป็นจัณฑาลที่น่ารังเกียจ แต่ก็ไม่ใช่ระดับเดียวกับยักษ์ทมิฬพวกนี้แน่!