บทที่ 2 เปลี่ยนตัวเจ้าสาว
ในชมพูทวีปอันกว้างใหญ่สมัยโบราณ แผ่นดินรูปรวงผึ้งลุ่มแม่น้ำคงคาอันอุดมถูกตัดแบ่งออกเป็นนครมากมายนับไม่ถ้วน ดินแดนส่วนใหญ่ปกครองโดยกษัตริย์มนุษย์ที่เชื่อว่าเป็นภาคอวตารของเหล่าเทพ และมีส่วนน้อยที่ปกครองโดยกษัตริย์ยักษ์และกษัตริย์วานร ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและระบบชนชั้นวรรณะอันซับซ้อนเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่นานนับพันๆปี
ดารามีเลือดราชวงศ์ศรีบุษย์ แต่จะเป็นกี่เศษกี่เสี้ยวของสายโลหิตนี้นางก็ไม่แน่ใจ นานมาแล้วมีท้าวศรีบุษย์รัชกาลหนึ่งทรงเสพสังวาสกับนางทาสีเพราะฤทธิ์สุรา ลืมองค์ฝากเชื้อขัตติยะไว้ในร่างของนาง นางทาสีไม่ยอมดื่มยาขับมดลูก แอบอุ้มครรภ์นั้นไว้ ทำให้มีลูกกำเนิดออกมาเป็นจัณฑาล ต้องคำสาปต่ำทรามด้วยผิดบัญญัติของเทพที่อนุญาตให้คนในวรรณะเดียวกันเท่านั้นสมรสกันได้ แต่ด้วยความที่อย่างไรก็เป็นทายาทของพระเจ้าแผ่นดิน ลูกที่เกิดมาจึงยังเลี้ยงไว้ในวังศรีบุษย์ ให้ทำงานรับใช้เหมือนข้าราชบริพารทั่วๆไป ลูกหลานของจัณฑาลผู้นั้นก็อาศัยอยู่ในวังเรื่อยมา
ดาราเป็นจัณฑาลเชื้อสายของครอบครัวนี้ นางมีหน้าที่รับใช้เจ้าหญิงอรอุมาตั้งแต่เกิดด้วยอายุอานามไล่เลี่ยกัน เป็นทั้งเพื่อนเล่นและทาสี อรอุมาแจ่มใสใจกล้า โดดเด่นสมเป็นราชกุมารี ขณะที่ดาราสงบเย็นเรียบร้อยเป็นเสมือนพื้นหลังหรือเงาที่ไม่มีตัวตนสลักสำคัญ
พ่อของดาราเป็นอาลัมพายน์รูปงาม ผู้ชำนาญการฝึกงูแสดงถวายพระเจ้าแผ่นดินเมืองต่างๆ เขามาเยือนศรีบุษย์ไม่กี่วันและมีสัมพันธ์กับแม่ของนาง เขาไม่เคยกลับมาอีกเลย หลังจากคลอดแล้ว แม่ของดาราก็ตกเลือดสิ้นใจไปในคืนเดียวกับที่ให้กำเนิด แต่ทันได้ตั้งชื่อลูกสาวว่าดารา ตามชื่อชายาของพระพฤหัสบดี หวังให้นางได้เป็นดั่งเพชรกะพริบบนฟากฟ้าบ้างแม้จะมีกำเนิดต่ำทราม มันเป็นฝันลมๆแล้งๆของจัณฑาลทุกคนที่ได้มีชีวิตปกติสุขอย่างคนอื่น... ดาราเองรู้ดีว่ามันเป็นเพียงฝัน แต่ก็ดีใจที่รู้ว่าแม่ของนางไม่เคยสิ้นหวังที่จะหาความสุข ดาราจึงสานต่อฝันนั้น และไขว่คว้าทำชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่สภาพของนางจะอำนวยเสมอมา
“จะว่าอย่างไรเล่า นี่ไม่ใช่ความฝันของดรุณีทั้งหลายหรอกรึ ได้เป็นเจ้าหญิงในชั่วข้ามคืน”
อรอุมาเอื้อนเอ่ย ดาราส่ายหัวดิกท่าเดียวเมื่อได้ยินดำรัสเสนอของเจ้าหญิง นางอาจจะเป็นบ่าวที่ดีเสมอไม่เคยปริปากบ่น แต่แผนนี้มันฆ่าตัวตายชัดๆ
“ไม่ดีหรอกเพคะ ถ้าถูกจับได้ขึ้นมา ไม่ใช่แค่หม่อมฉันถูกประหาร แต่ศรีบุษย์คงถูกเผาราบเป็นหน้ากลอง” ดาราก้มกราบท้าวศรีบุษย์ “ฝ่าบาททรงตรองดูเถอะเพคะ”
เรื่องเปลี่ยนตัวเจ้าสาวนี้ใช่ว่าจะไม่เคยมีมาแต่โบราณ แม้เจ้าหญิงที่ส่งตัวพระอัยกีหม้ายวัยแง้มฝาโลงไปแทนให้ท้าวพรหมทัตได้เปิดผ้าคลุมหน้าเป็นอันตาตั้งก็เคยมีมาแล้ว เพียงแต่ก็ยังเป็นพระบรมวงศ์ด้วยกัน ท้าวพรหมทัตจึงได้ทรงเห็นขันเป็นเรื่องตลกเย้าเล่น แต่หากเป็นจัณฑาลเช่นนางละก็ ต่อให้กษัตริย์ผู้มีน้ำพระทัยเมตตามหาศาลดุจพระเจ้าวิกรมาทิตย์ในนิทานเวตาลก็คงไม่ปรานีเป็นแน่แท้
ท้าวศรีบุษย์ทรงเม้มพระโอษฐ์ ปลอบเอาใจธิดาที่ประทับอยู่ข้างๆ ขณะที่ทอดพระเนตรนางดาราอย่างเพ่งพินิจ จะว่าไปแล้ว ผิวพรรณรูปลักษณ์ของดาราก็ไม่ได้ต่างจากชาววังเลย แก้วตาสีอำพันกลมโต เนื้อทองนวลน้ำผึ้ง และเส้นผมดำประกายน้ำตาลเรียบลื่นจรดเอว หน้าตาโดยรวมแล้วสะสวยใช้ได้ กิริยามารยาทก็แช่มช้อย สุ้มเสียงรึก็อ่อนเบา อาจจะเรียกว่าสงบเสงี่ยมดูเป็นเจ้าหญิงกว่าอรอุมาเสียอีก
หากไม่บอก ใครก็คงเชื่อว่าอยู่ในวรรณะกษัตริย์ ไม่ใช่ชาติจัณฑาลขี้ครอก ท้าวศรีบุษย์ดำริอยู่ในหทัย ลูบศิระหอมสะอาดของอรอุมาไปมา ดวงหน้าแฉล้มของลูกสาวสุดรักสุดหวงเปื้อนน้ำตาเผาะๆ กอดวิงวอนแบบนี้ ในที่สุดแล้วคนเป็นพ่อก็ใจอ่อน สั่งนางกำนัลลองแต่งองค์ทรงเครื่องให้ดาราอย่างเจ้าหญิงเต็มยศ และปิดเรื่องนี้เป็นความลับ
เจ็ดวันหลังจากนั้น ดาราถูกส่งตัวขึ้นหลังช้างพังประจำองค์ของเจ้าฟ้าหญิงอรอุมาเทวี เดินทางจากศรีบุษย์ไปยังฐิรังกานคร พร้อมกับราชทูตและขบวนบรรณาการ ชาวบ้านออกมาชมขบวนเสด็จและโปรยดอกไม้อำลา ทุกคนนอกวังต่างเข้าใจว่านางคือเจ้าหญิงอรอุมา นอกจากราชทูตและนางกำนัลใกล้ชิดสองสามคนเท่านั้น เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินต้องเปลี่ยนตัวหรืออะไรก็ตาม ท้าวศรีบุษย์ให้จัดการทุกอย่างระมัดระวังและประทานข้าวของเครื่องใช้ของเจ้าฟ้าแก่ดารามากมาย นางต้องดำเนินชีวิตส่วนตัวแบบเจ้าหญิงทุกประการนับจากนี้เป็นต้นไป
“เฮอะ ข้าล่ะชังน้ำหน้า เอาจัณฑาลมาใส่แพรพรรณอัญมณีเจ้าฟ้า เหมือนคางคกขึ้นวอยังไงอย่างงั้น”
นางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยขณะช่วยกันประแป้งขมิ้นตามเนื้อตัวดารา พวกนางด่าว่าไม่เกรงใจแต่ก็ทำตามหน้าที่ ดารารู้สึกอึดอัดอยากร้องไห้ขึ้นมาทุกวันที่เดินทางไป นางไม่ได้อยากทำแบบนี้แต่ก็จนใจจะขัดบัญชาเจ้าเหนือหัว แค่ต้องปลอมตัวฝ่าป่าดงพงไพรไปหลอกพวกยักษ์ แต่งงานและคลอดลูกเป็นยักษ์ คิดเท่านี้ก็แย่พออยู่แล้ว นางกำนัลเพื่อนร่วมทางของนางแต่ละคนก็ไม่ได้ช่วยให้กำลังใจดีขึ้นเลยสักนิด แต่ที่จริงหากจะว่ากันตามโบราณแล้ว ใครก็ไม่จำเป็นต้องเห็นใจคนจัณฑาล พวกเขาเป็นคนบาปที่เกิดมาเพื่อถูกรังเกียจ เป็นบุคคลผิดปกติ ต่ำต้อย เกิดมาเพื่อลำบากชดใช้บาปให้สาสม ไม่ใช่ให้ใครมาเห็นใจ
หลังจากเดินทางมาหลายวันก็มาถึงเมืองหน้าด่านที่เป็นท่าเรือ ฐิรังกาเป็นเกาะใหญ่ที่มีแสนยานุภาพทางทะเล เจ้าฐิรังกาส่งนาวาหลวงมารับขบวนบรรณาการศรีบุษย์อย่างสมเกียรติเมื่อทราบว่ามีราชธิดาเสด็จมาด้วย เป็นนาวาจีนใหญ่โตโอฬารราวกับภูเขา ใบเรือสีขาวสะอาด บนเรือมีผักหญ้าปลูกไว้รวมทั้งขนม้าขนช้างได้สบาย สมเป็นผลงานของนายช่างเอกแดนมังกร ดาราจึงได้พักในห้องสวยงาม มีเสบียงพรักพร้อม แทบไม่รู้สึกเลยว่าอยู่กลางทะเล
“ก็ยังดีน่าที่มันไม่ใช่จัณฑาลสถุลชนิดจับต้องหรือมองไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราคงติดเสนียดติดเคราะห์จนแก้ไม่หายเป็นแน่” นางกำนัลอีกคนออกความเห็น หวีผมให้ดาราอย่างไม่เบามือนัก “แต่สะใจดีออกว่าไหมเล่า ส่งนางจัญไรนี่ให้เจ้าชายยักษ์หน้าโง่พวกนั้น ได้สมสู่ต้องสาปกันเสียทั้งวงศ์ยักษ์”
“เออ สมน้ำหน้าพวกมันแล้วที่เหิมเกริมมาตีเมืองไปทั่ว อสูรก็ต้องพ่ายเทวาวันยังค่ำ อีจัณฑาลนี่จะไปเป็นเชื้อร้ายบ่อนทำลายมัน”
“ฝ่าบาททรงปรีชายิ่งแล้วที่ไม่ยกพระธิดาให้พวกมัน แค่นึกภาพก็อัปมงคลนัก ให้พระนางไปตกระกำลำบากในเมืองยักษ์ได้อย่างไร เทพธิดาสมรสกับอสูรน่ะเหมือนเอาทองไปลู่กระเบื้อง ข้าว่าฟ้าดินจะถล่มเอา” นางกำนัลเสียบปิ่นบนมวยผมที่เพิ่งเกล้าอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะผลักหัวดาราคะมำอย่างหมั่นไส้ “เสร็จแล้ว! ออกลูกออกหลานอัปรีย์ให้มันเต็มเมืองยักษ์เลยนะอีดารา หน้าสวยๆ ของเอ็งคงยั่วเจ้าฐิรังกามาเป็นผัวได้ทั้งสี่ หน่อเนื้อเชื้อฐิรังกาจะได้เป็นครึ่งยักษ์ครึ่งจัณฑาล มันจะได้วิบัติยับไป”
“มันน่าถ่มน้ำลายใส่เสียจริงนางนี่ เป็นขี้ข้าแต่อาจเอื้อมมาใช้ของเจ้า ไม่กลัวเงาหัวจะหาย คงจะเหมือนแม่เอ็งสินะ ลูกเกิดมาเป็นก้อนขี้โคลน แหม...สะเออะหัวสูงตั้งชื่อว่าดารา อีดารากำมะลอ! จัณฑาลอย่างเอ็งเป็นได้แค่เงาดาวในน้ำเน่านั่นแหละ”
ดาราไม่ใคร่สะดุ้งสะเทือนกับคำปรามาสที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กทำนองนี้เสียเท่าไร นางเป็นจัณฑาลและนางก็ยอมรับมัน นัยน์ตาสีอำพันคู่งามหันมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกจีน มหาสมุทรยามรุ่งสางสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นทางยาวระยิบระยับ ดวงตะวันที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาครึ่งหนึ่งก็ดูราวกับลูกไฟศักดิ์สิทธิ์ พระอาทิตย์เป็นเทพผู้ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ชักรถข้ามขอบฟ้าตรงตามเวลาอย่างเคร่งครัด เปรียบประหนึ่งกษัตริย์ปานฑพที่ทรงรถศึกแห่งพระกฤษณะ ประหัตประหารญาติวงศ์ของตนในทุ่งกุรุเกษตร ดารานึกแล้วทอดถอนใจ บางทีอาจเป็นคำว่า หน้าที่ นี้เองที่กำหนดชะตาของมนุษย์ นางจะบ่นอะไรได้ ใครๆเกิดมาก็ต้องได้อดทนทำเรื่องที่ไม่ชอบใจกันทั้งนั้น แม้สุริยเทพก็ยังต้องทำหน้าที่แต่เช้าค่ำทุกวัน
พวกนางกำนัลออกจากห้องไป ปล่อยให้ดารานั่งอยู่คนเดียว นางไม่เดือดร้อนอะไรอีกเช่นกันกับการถูกขังกลายๆในห้องตลอดเวลา มีคนเอาอาหารมาให้สามมื้อและชำระล้างกายแต่งองค์ทรงเครื่องให้ ดาราไม่เคยรู้สึกเดือดร้อนเลยจริงๆ
“เมืองยักษ์จะเป็นยังไงนะ...”
เสียงเบารำพึงกับตัวเอง นึกภาพสามีที่รอนางอยู่แล้วก็อยากสะอื้นดังๆพิกล เจ้าชายยักษ์ใจโฉด เขี้ยวโง้งตาแดงเพลิงไล่เผาบ้านเมืองทุกแห่งที่กรายผ่าน แถมยังบริโภคเนื้อโคและเนื้อคน... ดาราล้มตัวลงนอน ไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไป