บทที่ 1 บทนำ แต่งงานกับเจ้าชายยักษ์!?
ห้องบรรทมของราชธิดาแห่งนครศรีบุษย์มีระเบียงโค้ง ยามราตรีมองออกไปเห็นแสงดาว ผ้าม่านลูกไม้ปลิวเพยิบพยาบขณะที่ความเย็นฉ่ำเยื้องกรายเข้ามาหลังอาทิตย์ตกดิน ม่านดอกพุดที่แขวนไว้เป็นตาข่ายส่งกลิ่นหอมระรวย
ในฐานะนางกำนัลบริวาร ที่นอนประจำของดาราอยู่ที่พื้นพรมข้างเตียงเจ้าหญิง ในคืนที่อบอ้าว พวกนางกำนัลจะต้องนั่งถือพัดโบกรับใช้ไปมาทั้งคืน แต่ในคืนอากาศกำลังสบายเช่นนี้ ต่างคนต่างขดนอนมุมเสาเตียง ดาราไม่มีเบาะหรือผ้าห่มอย่างคนอื่นเขา หญิงสาวจึงมักจะนอนเอาขาและลำตัวเข้าไปใต้เตียงที่มีชายผ้าแพรคลุมประดับ โผล่เอาแค่หัวมุดออกมา
อากาศดียามดึกดูจะทำให้พวกทหารยามมีใจรื่นรมย์ แอบร่ำสุรากัน นางกำนัลและเจ้าฟ้าหลับใหลไปหมดแล้วเลยไม่มีใครรู้ พวกเขาพูดคุยเย้าแหย่ชักสนุกใหญ่ก็ร้องเพลง ได้ยินเสียงร้องล้อเลียนพวกโต้โผลิเกดังลอดประตูมา
“เอ้า เชิญเอยเชิญลุก! สดับเสียงเพรียกปลุกจากพระที่ นางนวลล้วนร่อนรำร่ำโศกี เอิ๊ก... ฉลามวาฬวารีขึ้นเกยทราย”
“เอ็งหรือวะ จะเป็นฉลามวาฬโลมา พะยูนมากกว่ากระมังหวา”
“ชู่ว! อย่าเอ็ดอึงไปซิ ขืนข้างในตื่นกันล่ะก็จะเรื่องใหญ่”
งึมงำๆกันอยู่สักพักก็เงียบไป ดาราลอบขำเล็กน้อยขณะที่นอนตะแคงอยู่กับพื้นพรม มือหนึ่งลูบไล้ชายผ้าแพรเตียงเล่น ความคิดล่องลอยไป ความจริงนางเคยได้ยินเพลงนี้มาชินหูระยะหนึ่งแล้ว เพลงของพวกฐิรังกาซึ่งเป็นมหาอำนาจในภาคใต้ พักหลังนี้อิทธิพลฐิรังกาคืบคลานเข้ามา แม้นแผ่นดินเป็นท้องฟ้า ฐิรังกาก็คงเปรียบเป็นตะวันอันร้อนแรง กลบแสงดาวเดือนประจำเมืองอื่นๆไปสิ้น
เสียงแผ่นไม้บรรจถรณ์ลั่นเบาๆบ่งบอกว่าเจ้าหญิงสูงศักดิ์ที่หลับใหลอยู่เหนือดารากำลังขยับตัว ดาราชะงัก ไม่แน่ใจว่านายเหนือแค่นอนดิ้นหรือว่าตื่นลุกขึ้นนั่ง
สักพักจึงได้ยินเสียงบ่น “ปวดเท้า... อีดารา มานวดให้ข้าเดี๋ยวนี้”
หญิงสาวรีบขานรับและคลานออกมากราบทันที เจ้าหญิงอรอุมาล้มตัวลงไปนอนใหม่ ขณะที่เตะผ้าห่มอุ่นออกรอให้นวดเฟ้น ดาราขึ้นมานั่งบนเตียง มันนุ่มเสียจมตัวนางจมลงไป มือบางค่อยๆจับเท้าของเข้าหญิงมาบนตักและนวดตามจุดต่างๆ ด้วยความที่ดารารับใช้ติดตามอรอุมามาตั้งแต่ยังเด็ก นางจึงนวดได้ถูกใจ ดาราเหลือบมองอรอุมาเล็กน้อยในความเงียบยามดึกว่าพึงพอใจหรือไม่ ก่อนที่อรอุมาจะทำเสียงฮึ
“มองอะไรนัก อีดารา” นางถามยวนอย่างอารมณ์ดี เหยียดแขนขึ้นบิดเล็กน้อยคลายเมื่อยขบอยู่ในเตียงขนนกนุ่ม ในความมืดสลัว หญิงสาวทั้งสองบนเตียงอันงดงามดูไม่แตกต่างกันนัก ทั้งรูปทรง ผิวพรรณ และเรือนผมสยาย ในยามที่ไม่มีเครื่องประดับมาบ่งชี้ยศว่าใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าว “นึกอิจฉาอยากมานอนบนนี้บ้างหรือว่าไร ข้าพนันเลย เวลาปัดกวาดเช็ดถู เอ็งต้องเคยแอบมานอนบนนี้แน่ๆ”
ดารายังคงนวดต่อไปอย่างเคยชินกับคำกล่าวหาประเภทนี้ “ไม่เพคะ ที่ของหม่อมฉันอยู่ที่พื้น”
“ดี รู้จักที่ต่ำที่สูง” อรอุมายิ้มสมใจ สูดกลิ่นดอกพุดในอากาศเข้าเต็มปอดอย่างสะลึมสะลือ “อืม... คนอย่างเอ็ง ต้องตายแล้วเกิดใหม่เท่านั้นแหละ ถึงจะได้นอนอย่างบนนี้ อย่าให้รู้ก็แล้วกันว่าเอ็งเคยแอบขึ้นมา”
อรอุมาบ่นเรื่อยเปื่อยอีกสักพักก็เคลิ้มหลับด้วยความผ่อนคลาย ดาราค่อยๆเคลื่อนตัวลงจากบรรจถรณ์นั้น จัดผ้าห่มคลุมขาและเท้าของเจ้าหญิงผู้เป็นเจ้าชีวิตให้ ก่อนจะกลับไปนอนขดที่พื้นพรมใต้เตียง
หญิงสาวไม่รู้เลยว่า... วันหน้า สายลมราตรีจะพัดพาจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตามาสู่
***
“ไม่แต่ง! ยังไงข้าก็ไม่มีวันแต่งกับยักษ์แน่นอนเสด็จพ่อทรงเป็นบ้าไปแล้วหรือเพคะ!”
ร่างเพรียวในชุดสีฟ้ายาวกระทืบเท้ากรีดเสียงร้องไห้ดังลั่นเสียจนตำหนักไม้สะเทือน ผ้าคลุมผมและดอกไม้ทัดหูหลุดลุ่ย คนที่กล้าขึ้นเสียงกับพระเจ้าแผ่นดินแทบวังแตกได้อย่างนี้ไม่ใช่ใคร นอกจากอรอุมาเทวี ราชธิดาองค์เดียวผู้ป็นดังแก้วตาดวงใจของกษัตริย์เมืองศรีบุษย์
“เมตตาพ่อหน่อยเถอะลูกรัก… อย่างน้อยก็เป็นวิวาห์สัมพันธไมตรีกับหนึ่งในเจ้าชายฐิรังกาสี่พี่น้อง ไม่ใช่กษัตริย์แก่หง่อม เจ้าชายทั้งสี่ก็เป็นเจ้านครที่แกล้วกล้าสามารถที่สุดในเวลานี้แล้วนะลูกเอ๋ย”
ท้าวศรีบุษย์เกลี้ยกล่อม อยากจะเข้าไปกอดปลอบธิดาที่กำลังร้องไห้แต่ดูเหมือนนางจะไม่ยินยอมให้ใครเข้าไปใกล้เลยในเวลานี้ แถมยังอาละวาดปัดพานเครื่องเสวยและหมอนบนแท่นประทับกวาดลงพื้นเสียหมด นางกำนัลทุกนางก็หวาดเกรงอาญาเกินกว่าจะเข้าไปห้าม
เจ้าหญิงร้องเสียงแตกพร่า สองเนตรบวมแดงก่ำ “วิวาห์สัมพันธไมตรี!? เรียกว่าจับข้าเป็นเชลยดีกว่ามั้งเพคะ พวกฐิรังกาตีเมืองเราได้ ให้ส่งบรรณาการไปตั้งมากมาย ยังจะเอาอะไรอีก!” นางทรุดนั่งลงกับแท่นอย่างกระฟัดกระเฟียด “แล้วพวกมันเป็นยักษ์นะเพคะเสด็จพ่อ! มันบูชาภูตผี กินเนื้อพระโค หมิ่นหยามเทวาทั้งปวง ข้าจะไม่มีวันแต่งงานกับพวกมันไม่ว่ายิ่งใหญ่มาจากไหนก็ตาม!”
ที่อรอุมาบรรยายมานั้นไม่ผิดจากความจริงนัก ชาวฐิรังกาเชื่อกันว่าสืบสายโลหิตมาจากเหล่าอสูรเมื่อครั้งบรรพกาล อาศัยอยู่บนเกาะลึกลับห่างไกลและกินสัตว์ใหญ่อย่างไม่เกรงกลัวบาป เป็นเมืองยักษ์ที่ไม่เคยมีกษัตริย์บนภาคพื้นทวีปเข้าไปดองสายเลือดด้วย เพิ่งราวสิบกว่าปีมานี้เองที่ฐิรังกาก้าวขึ้นมาเป็นจักรวรรดิอันเกรียงไกร หลังจากท้าวฐิรังกาทรงรวบรวมดินแดนภาคพื้นสมุทรใหญ่ๆไว้ได้ในอำนาจ และเสริมด้วยราชโอรสทั้งสี่ที่ลือกันว่าเป็นยักษ์วงศ์พรหมกลับชาติมาเกิด เมื่อตอนพิธีรับขวัญได้รับพรจากพระศุกร์เทพผู้เป็นอาจารย์ของเหล่าอสูรให้ทรงฤทธิ์ที่สุดในยุคสมัย เจ้าชายสี่พี่น้องจึงเข้าบุกตีเมืองในภาคพื้นทวีปแตกพ่ายราบคาบ ไม่เว้นแม้แต่เมืองเล็กเมืองน้อยของพวกชาวป่าวานร
ท้าวศรีบุษย์เลยวัยรบทัพจับศึกมามากแล้ว ซ้ำยังไร้โอรส มีเพียงอรอุมา ธิดาสุดที่รักองค์เดียวเท่านั้น เมื่อแพ้สงครามแก่ฐิรังกาก็ไม่มีทางเลือก ทว่าเพียงจินตนาการว่าพวกยักษ์อาจจะกระทำหยาบช้าอะไรนางบ้าง หัวใจคนเป็นพ่อก็ทนไม่ได้ อรอุมาเองก็ไม่ใช่หญิงหัวอ่อนที่ยอมให้ใครมาจับไปทางซ้ายทีขวาที ถึงได้อาละวาดเต็มที่ ขืนบังคับส่งตัวไปทั้งอย่างนี้ นางคงไปข่วนลูกตาเจ้าบ่าวให้พวกยักษ์ได้โกรธกริ้วจับเคี้ยวกินเสียแทนรึเปล่าก็ไม่รู้ ตริตรองดูแล้วท้าวศรีบุษย์ก็ทอดถอนพระทัยใหญ่
“ดวงใจของพ่อ พ่อเองก็ไม่อยากให้เจ้าไป แต่หากไม่ทำละก็ พ่อไม่รู้เลยว่าเจ้าฐิรังกาจะทำอะไรกับเมืองของเราบ้าง”
อรอุมากัดฟัน น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย นางส่ายหน้าแรงๆ ก่อนจะกระทืบเท้าปัง
“ถ้าอย่างงั้น” นางชี้นิ้วไปยังนางกำนัลที่หมอบเก็บพานหมากอยู่ข้างแท่น “ก็ให้อีดาราปลอมไปแทนข้า!”