๗ มีดล่องหน (๑)
๗
มีดล่องหน
เนตรนภาจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมสงครามถึงกลายเป็นลูกชายของคุณอากรไปได้ทั้งที่นามสกุลก็ไม่เหมือนกัน ไหนจะข่าวที่ว่าลูกของประธานบริษัทอาศัยอยู่ต่างประเทศยังไม่กลับไทยอีก หรือว่านั่นเป็นข่าวลวงกันแน่
“คุณอยู่ต่างจังหวัดเหรอคะ” เธอถามด้วยความสงสัยเมื่อชายหนุ่มไม่รู้ทางในเมืองหลวง
“เปล่า ผมเพิ่งมาจากต่างประเทศ” และเขาก็ตอบกลับโดยไม่มีท่าทีพิรุธใดทั้งสิ้น
ที่เขาเข้ามาทำงานได้ไม่ใช่เพราะบริษัททาบทามหรอกแต่ว่าสงครามเป็นหนึ่งในผู้บริหารต่างหาก ไม่ใช่แค่เส้นใหญ่ธรรมดาแต่เขาคือเจ้าของบริษัทในอนาคตสามารถตัดสินชะตาชีวิตของหล่อนได้ด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดจึงต้องปิดบังสถานะด้วย
อาจจะเหมือนในละครที่ต้องไต่เต้าจากตำแหน่งเล็กก่อนหรือเปล่า..ไม่น่าใช่หรอก อย่างนั้นทำไมไม่ทำฝ่ายบัญชีหรือไม่ก็เดินเรื่องเอกสารเล่า แสดงฝีมือขนาดนี้คงอยากคุ้นเคยกับพนักงานมากกว่า
คิดอย่างสับสนแล้วมองใบหน้าคมที่คุ้นตาก่อนจะส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรไม่มีแววความโกรธที่ตัวเองโดนต้มเสียเปื่อยเลยสักนิด ทว่าอีกฝ่ายกลับเมินทำเป็นไม่เห็นจนเธอค่อยลดยิ้มเป็นสีหน้าราบเรียบดังเดิม
“เขาอยากคุยกับพวกคุณ ผมขอตัวก่อนนะพอดีมีงานสำคัญ” คุณอากรเดินออกจากห้องก่อนจะหันมามองเธอแล้วยิ้มให้จนต้องค้อมศีรษะเป็นการล่ำลาแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของผู้บริหารตำแหน่งสูง
“ผมคิดว่าวันนี้ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว ขอบคุณที่ทนเหนื่อยกันมาหลายเดือน พวกคุณไปพักเถอะครับ” แต่ละคนก็ขอบคุณเขาเป็นเสียงเดียวพร้อมทั้งเดินออกจากห้องจนเหลือเพียงเนตรนภาที่ต้องการคุยกับเขาเพียงลำพัง
อยากถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและการหายตัวของเขากว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องครอบครัวที่ต้องจัดการคือเรื่องเข้ารับตำแหน่งใช่หรือไม่
“พี่ครามคะ” สายตาของเขาเปลี่ยนไปมันเต็มด้วยความเย็นชาจนเธอไม่กล้าจะเอ่ยทักด้วยซ้ำแต่พยายามฮึดสู้แล้วค่อยฉีกยิ้มพร้อมเรียกเสียงหวาน
“คุณอยู่ก็ดีแล้ว ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” ไม่พูดพร่ำทำเพลงชายหนุ่มเดินไปนั่งที่เก้าอี้นวมตัวใหญ่ เลื่อนลิ้นชักด้านซ้ายของโต๊ะใหญ่แล้วหยิบเอกสารบางอย่างออกมา
“คุณคิดว่าทำไมผมถึงไม่ให้คุณเข้าร่วมนำเสนองานครั้งนี้” เขาจ้องมายังหญิงสาวคนเดียวภายในห้องนิ่งแต่กลับกดดันทางสายตาจนเนตรนภาแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ สงครามในมุมนี้เธอไม่คุ้นชินเลยสักนิด
“ไม่รู้ค่ะ” ทั้งที่ใจก็เชื่อว่าเขาคงมีเหตุผลแน่นอน
“เพราะคุณคือคนขายความลับของบริษัทไง”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นพลันส่ายศีรษะไปมาเพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงนั้น เธอไม่เคยขายความลับของบริษัทให้กับคู่แข่งเลยสักครั้ง แล้วทำไมเขาถึงได้พูดออกมาได้โดยไม่มีหลักฐานว่าหล่อนเป็นคนทำ
“ไม่จริงนะคะ น้ำไม่เคยทำ” อากาศโดยรอบพลันลดลงฮวบฮาบเมื่อดวงตาคมจ้องมองเธอนิ่งราวกำลังต่อว่าเนตรนภาคงเป็นเด็กเลี้ยงแกะกลับชาติมาเกิด
“ไม่จริงอย่างนั้นเหรอ” เขาเอ่ยย้ำด้วยความรู้สึกโกรธแล้วจ้องร่างบางด้วยแววตาคมดุจนหล่อนไม่กล้าสบตาต้องก้มหน้าเพื่อหลบเลี่ยง
ความเงียบของห้องสร้างความกดดันให้หญิงสาวที่ยืนตรงหน้าหนึ่งในผู้บริหารบริษัทสมุทรธารา ดีไซน์ ความโอ่อ่าใหญ่โตไม่ได้ทำให้หล่อนนึกเกรงเท่ากับดวงตาคมที่เคยอ่อนหวานกลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาจนหนาวจับขั้วหัวใจ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองทำได้เพียงก้มหน้ามองมือที่กุมอยู่หน้าขาของตัวเอง พยายามห้ามน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมาก็ทำได้ยากเสียเหลือเกิน
ปึง
เสียงโยนแฟ้มลงบนโต๊ะไม้ที่มีความโมเดิร์นดังก้องจนหล่อนสะดุ้งตัวโยน หากทำได้ก็อยากจะหนีออกจากห้องนี้แต่นั่นเป็นเพียงความคิดเพราะความจริงคือแค่จะก้าวขาออกไปก็ยังไม่อาจทำได้ จำต้องยืนเป็นเป้าให้อีกฝ่ายสาดกระสุนใส่
“ผมให้คุณเลือก ระหว่างจะลาออกเองหรือให้ผมไล่ออกพร้อมขึ้นบัญชีดำ” ในที่สุดชายหนุ่มก็ถามเสียงเรียบนิ่ง พยายามสะกดกลั้นความโกรธที่มีต่อคนตรงหน้าเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“หยะ อย่าทำแบบนั้นเลยนะ..คะ” เอ่ยเสียงสั่นพลางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมที่เคยพร่ำบอกรักเธอนักหนาด้วยหัวใจที่ปวดร้าว
เคยรู้จักสนิทสนมแต่ตอนนี้เขากลับห่างเหินทั้งยังผลักไสหล่อนให้ห่างออกไป
ความจริงที่ได้รู้วันนี้ทำเอาร้าวไปทั่วอกเพราะโดนหักหลังจากคนที่ปันใจให้ทั้งเขายังเอาคืนอย่างเจ็บแสบพร้อมยัดเยียดข้อหาที่เธอไม่ได้ทำอย่างร้ายกาจ
“หึ มาขอร้องตอนนี้มันสายไปแล้ว คุณเอางานของบริษัทไปขายให้คู่แข่งคิดว่าผมจะเก็บคุณไว้อย่างนั้นเหรอเนตรนภา!” เขาขึ้นเสียงพลางตบโต๊ะเสียงดังตามแรงอารมณ์
“น้ำไม่ได้ทำ น้ำไม่ได้ทำจริงๆ นะ” พยายามปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เชื่อเท่าไหร่
“ไม่ได้ทำเหรอ ถ้าอย่างนั้นงานของบริษัทไทยโหลด ดีไซน์มันอยู่ที่บ้านคุณได้ยังไง คุณแอบรับงานมันกี่ครั้งแล้ว” หญิงสาวไม่อาจปฏิเสธได้เมื่อเจอหมัดเด็ดฮุกเข้าให้
เธอแอบทำงานให้บริษัทคู่แข่งจริงดังที่เขาว่าแต่นั่นก็เป็นเพียงงานเล็กน้อยเช่นออกแบบโลโก้หรือแก้บ้านให้ตรงตามฮวงจุ้ยที่เจ้าของต้องการ ซึ่งแน่นอนว่ามันผิดกฎของบริษัททว่าความจำเป็นเรื่องเงินผลักให้เนตรนภาจำต้องยอมทำผิด
“แก้ตัวสิว่าไม่ได้ทำ ปฏิเสธสิ” เขาท้าให้คนตรงหน้าแก้ตัวแต่เธอกลับเม้มปากนิ่งเงียบไม่เอ่ยอะไร
“หึ แก้ตัวไม่ได้เพราะมันเป็นความจริงสินะ” นิ้วมือเรียวเคาะลงบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงกว่า 184 เซนติเมตร เดินตรงไปหยุดอยู่ข้างหน้าเนตรนภาและด้วยส่วนสูงที่ต่างทำให้หล่อนต้องเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ไปเขียนใบลาออกมาส่ง ผมถือว่าปรานีคุณมากที่สุดแล้ว” บอกเสียงเข้มทั้งกดดันจนหล่อนกลืนก้อนสะอื้นแล้วถามเขาออกไปเสียงแผ่ว
“ที่พี่ครามเข้าหาน้ำเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม” ดวงตากลมโตวาวด้วยหยาดน้ำที่คลอเต็มหน่วย พยายามอ้อนวอนในใจไม่ให้เขาตอบกลับมาอย่างที่ตัวเองคิด
ได้โปรด...ขอให้ความรู้สึกที่มีต่อกันเป็นจริงทีเถิด
“ใช่” ชายหนุ่มไม่ได้ขยายความมากไปกว่านั้นแต่คำตอบก็ทำเอาคนฟังขาอ่อนแรงจนต้องถอนห่างเขาหนึ่งก้าว หยาดน้ำตาไหลออกมาเปื้อนใบหน้าสวยจนต้องรีบปาดออกทันที
“แล้วที่พี่บอกว่ารัก..”
“คุณคิดว่ามันเป็นความจริงมากแค่ไหนล่ะ” ถ้าทุกเรื่องที่เขาทำมาเพราะต้องการหาคนผิดถ้าอย่างนั้นความรู้สึกที่มีให้กันมันจะเป็นความจริงหรือ
คำว่ารักที่เคยพร่ำบอกเธอมันจะจริงมากน้อยเพียงใด
‘ผมรักน้ำนะ’
‘น้ำคือผู้หญิงของผมคนเดียว’
คำพูดเหล่านั้นมันหมายความว่าอย่างไร.. เขาแค่พูดมันออกมาเพราะต้องการต้อนให้หล่อนจนมุมแล้วเผยความจริงที่ถูกตัดสินไปแล้วหรือ
“เลิกพูดไร้สาระแล้วไปเขียนใบลาออกมาให้ผม” ร่างสูงเดินกลับไปนั่งยังเก้าอี้ตัวสูงดังเดิมปล่อยให้คนตัวเล็กยืนอยู่กับที่แล้วจ้องเขานิ่งเหมือนกับว่าไม่เคยพบเจอมาก่อน
“ผมให้เวลาสามวันถ้าไม่มีใบลาออกผมจะไล่ออกและขึ้นบัญชีดำในประวัติของคุณ” นั่นหมายความว่าหล่อนไม่สามารถประกอบอาชีพสถาปนิกได้อีก ไม่มีบริษัทไหนกล้ารับคนที่เคยทรยศเข้าบริษัทของตัวเองหรอก
และนั่นเท่ากับปิดตายหนทางทำมาหากิน
“สงครามคะ เดย์เอาข้าวเที่ยงมาให้ค่ะ” ประตูห้องทำงานถูกเปิดออกพร้อมหญิงสาวที่ไม่คุ้นหน้าเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะชะงักเมื่อเห็นบรรยากาศอึมครึมภายในห้อง
“คุยธุระหรือคะ ถ้าอย่างนั้นเดย์ออกไปรอข้างนอกนะ” ยังไม่ทันที่จะก้าวออกไปเจ้าของห้องก็เอ่ยขึ้นก่อน
“ไม่ต้องหรอก ผมคุยเสร็จแล้ว” ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินไปโอบไหล่คนที่เข้ามาใหม่ให้ไปนั่งยังโซฟารับแขกปล่อยเนตรนภายืนอยู่ที่เดิม
“แต่ว่า..” มองไปที่ผู้หญิงซึ่งยังยืนนิ่งอยู่จนเขาต้องเอ่ยปากไล่
“ผมคุยเสร็จแล้ว เชิญคุณออกไปข้างนอกด้วยผมต้องการความเป็นส่วนตัวกับแฟน” เพียงเท่านั้นหล่อนก็รีบเดินออกจากห้องทันทีไม่ต้องรอให้เขาพูดย้ำซ้ำสอง
ใบหน้าหวานปล่อยน้ำตาไหลออกมาทันทีเมื่อปิดประตูก่อนจะรีบเดินไปห้องน้ำเพื่อปลดปล่อยความอัดอั้นออกให้หมด
ปัญหาทุกอย่างถาโถมเข้ามาภายในวันเดียว ทั้งที่เมื่อวานเขายังเอ่ยคำหวานให้แก่กัน ทำอาหารให้กินอย่างชื่นมื่นแต่ทำไมวันนี้กลับเปลี่ยนไป..
ไม่หรอก เขาไม่ได้เปลี่ยนแต่ความจริงเพิ่งจะมาเปิดเผยตอนนี้ต่างหาก ความจริงที่ชายหนุ่มไม่ใช่สงคราม พัฒนวัตร แต่คือสงคราม พิชิตสมุทรลูกชายเพียงคนเดียวของคุณอากร พิชิตสมุทรเจ้าของบริษัทแห่งนี้อย่างไรเล่า
โดนต้มเสียเปื่อยทั้งยังเล่นกับความรู้สึกของเธออีก
เขาคงสะใจมากใช่ไหม..
เนตรนภาปล่อยให้น้ำตารินไหลจนพอใจก่อนจะเช็ดออกไม่ให้เปื้อนใบหน้าค่อยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดประตูห้องน้ำออกมาล้างหน้าส่องกระจกพบผู้หญิงที่ตาแดงก่ำก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี บางทีคงต้องลางานครึ่งวันเพราะไม่ต้องการไปทำงานด้วยสภาพนาสมเพชเช่นนี้
“อ้าว คุณนั่นเอง” เธอหันไปมองคนที่เข้ามาใหม่พบว่าเป็นหญิงสาวคนเดียวกับที่เพิ่งเจอเมื่อสักครู่ในห้องของสงคราม คนที่เขาบอกว่าเป็นแฟน
แล้วเธอล่ะเป็นอะไรสำหรับเขา
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ โดนครามดุเหรอ” เห็นตาแดงเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้จึงถามเพราะเป็นห่วงแต่เนตรนภายังทำใจไม่ได้จึงบอกปัดเสียงแข็ง
“เปล่าค่ะ ขอตัวนะคะ” ใครจะทำใจได้ที่เห็นคนรักของสงครามซึ่งอยู่ในสถานะแฟนของตัวเอง ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเสียเหลือเกิน
ไม่หรอก กับเธอมันก็เป็นแค่การเล่นละครเท่านั้น ไม่เคยมีเรื่องจริงอยู่ในความรักจอมปลอมที่เขาสร้างขึ้น เนตรนภากำลังจะเดินไปแต่ก็คุ้นหน้าคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่จนต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง
นี่มันผู้หญิงที่เธอเคยเห็นเดินเคียงข้างกับคนที่เหมือนสงครามไม่ใช่เหรอ...
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” โฉมนิภาที่กำลังจะเข้าห้องน้ำรู้สึกว่ามีคนมองจึงได้ถามกลับอย่างสงสัยแต่ก็ไม่มีการตอบรับ
สถาปนิกสาวเดินออกไปทันทีเมื่อมั่นใจว่าเป็นคนเดียวกันแน่ รูปร่างแบบบางทั้งยังสูงยาวเหมือนนางแบบ ใบหน้าสวยหวานมองครั้งเดียวก็จำได้ไปอีกนาน และแล้วความเสียใจก็จุกอกจนน้ำตาจะไหลทว่าต้องกลั้นเอาไว้ เธอเดินไปกดลิฟต์ต้องการออกจากที่แห่งนี้โดยเร็ว
รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะแตกสลายทุกเมื่อ เพิ่งรับรู้ครั้งแรกว่าอาการอกหักเป็นอย่างไร ไม่ได้เจ็บเพียงแค่หัวใจเท่านั้นแต่ส่งผลไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายทำให้แทบไม่มีแรงจะก้าวเดินแต่ต้องฝืนเอาไว้
เพียงแค่วันเดียวได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดทำเอาเธอแทบจะรับมันไม่ไหว หายข้องใจในวินาทีนี้ว่าสงครามหายไปไหนและเหตุใดก่อนขาดการติดต่ออีกฝ่ายถึงได้เย็นชาเมินเฉยขนาดนี้ เพราะเรื่องนี้เองสินะ..
แล้วกล่องที่อยู่บ้านเธอมั่นใจว่าเก็บไว้อย่างดีในห้องเก็บของถูกนำออกมาก็เพราะฝีมือของชายหนุ่ม ยิ้มอย่างสมเพชตัวเองที่เอาความรักเป็นที่ตั้งจนมันบังตา หรือไม่ร่างสูงก็แสดงละครเก่งเหลือเกินจนหล่อนหลงเชื่อว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ ยอมให้ทุกอย่างแม้กระทั่งมอบร่างกายและหัวใจแก่เขาที่ไม่เห็นค่าอะไรเลย
สุดท้ายคนที่เจ็บก็มีแค่เธอ