๖ น้ำผึ้งอาบยาพิษ (๑)
๖
น้ำผึ้งอาบยาพิษ
ทะเลที่ว่าเค็มยังต้องหวานเพื่อคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ริมชายหาดใกล้ที่พักส่วนตัว จนกระทั่งเริ่มเหนื่อยและพระอาทิตย์เริ่มตกดินพวกเขาจึงได้ขับรถพากันไปซื้ออาหารสำหรับมื้อเย็นของวันนี้ และแน่นอนว่าคนที่แสดงฝีมือจะต้องไม่ใช่เนตรนภา
ใบหน้าหวานแย้มยิ้มตลอดเวลาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เพียงแค่ได้อยู่ข้างกายเขาความทุกข์ก็ทุเลาลงมากแล้ว หล่อนไม่ลืมโทรถามปภพเรื่องงานว่ามีประชุมก่อนพรีเซ้นหรือเปล่าก็พบว่ายังไม่มีการนัดอย่างเป็นทางการ
น่าแปลกใจที่ไม่มีใครกระตือรือร้นและก่อนจะถามมากกว่านี้เสียงทุ้มของคนรักก็เอ่ยเรียกเสียก่อนจึงต้องรีบวางสายแล้วควงแขนเขาเดินเลือกของสดไว้สำหรับทำอาหารตอนเย็น ลืมเรื่องงานไปจนสิ้นเพียงแค่ได้อยู่ใกล้สงคราม
โดยไม่รู้เลยว่าคลื่นใต้ทะเลที่สงบกำลังจะหอบสึนามิลูกใหญ่มาให้ตัวเอง
“น้ำย่างบาร์บีคิวแล้วกัน ผมจะย่างสเต็กเอง” พวกเขาเลือกทำอาหารง่ายๆ โดยใช้เตาปิ้งย่างของทางรีสอร์ท เมื่อถึงบ้านก็จัดการทำอาหารซึ่งร่างบางได้รับหน้าที่ทำบาร์บีคิว ส่วนพ่อครัวหัวป่าก็ง่วนกับการหมักเนื้อสำหรับทำสเต็กและซอสรสเด็ด
“รับทราบค่ะ” สองหนุ่มสาวทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขันพร้อมเปิดเพลงไปด้วย
“ตกลงว่าเธอจะเอายังไงกับฉัน ไม่รู้เธอมาแบบไหน เธอจะดีหรือเธอจะร้ายก็ฉันยังไม่เข้าใจ ว่าใจจริงๆ ของเธอต้องการสิ่งไหน บอกฉันสักทีได้ไหม เธอจะรักหรือเธอจะร้าย อยากรู้ถึงความจริงข้างใน ไม่อยากเสียใจเสียน้ำตา” เนตรนภาฮัมเพลงไปด้วยแล้วย่างบาร์บีคิวหลังเสียบวัตถุดิบทั้งหมดใส่ไม้
“เพลงอะไร” ร่างสูงหันมาถามเพราะไม่ค่อยได้ฟังเพลงไทยเท่าไหร่
“จะรักหรือจะร้าย” แล้วเขาก็พยักหน้าเมื่อได้ยินชื่อเพลง
“พี่ครามห้ามร้ายกับน้ำนะ ต้องรักน้ำเท่านั้น รักให้มากๆ ด้วยนะคะ” ไม่ใช่คำขอร้องแต่เป็นคำสั่งที่ทำเอาใบหน้าคมต้องยกยิ้มให้
“ครับ” หลังเขาตอบรับเธอก็ยิ้มมากกว่าเดิมอย่างพึงพอใจค่อยหันไปสนใจอาหารที่อยู่ในการควบคุมปล่อยให้ชายหนุ่มค่อยหุบยิ้มเปลี่ยนเป็นใบหน้าราบเรียบทั้งที่แววตาสั่นไหว
ต่อจากนี้อาจไม่มีคำว่ารัก..
คงมีแค่ความร้ายกาจที่เขาจะมอบให้คนทรยศต่อบริษัท
“อืม อร่อยมากเลยค่ะ” พวกเขานั่งกินข้าวด้วยกันอยู่หน้าบ้านซึ่งติดทะเลทำให้ได้ยินเสียงคลื่นที่สาดซัดเข้าฝั่ง ทั้งยังไฟสีส้มนวลตาสร้างบรรยากาศแสนโรแมนติกแก่หนุ่มสาว
“กินเยอะๆ จะได้มีน้ำมีนวล” สงครามคิดว่าเนตรนภายังผอมเกินไป อาจเพราะทำงานจนลืมกินข้าวอย่างช่วงแรกที่เจอกันหญิงสาวแทบลืมเวลามัวแต่จ้องจอคอมเร่งงานให้เสร็จจนต้องเอ่ยเตือนไปหลายครั้ง
“แค่นี้น้ำก็น้ำหนักขึ้นมาสองกิโลแล้วนะคะ เพราะพี่ครามนั่นแหละทำอาหารอร่อย”กล่าวโทษอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่นัก
“ผมจะขุนให้อ้วนกว่านี้อีก” เธอรีบส่ายหน้าทันที
“อยากมีแฟนอ้วนเหมือนหมูเหรอคะ”
“ใช่ อยากรู้ว่าจะกอดรอบไหม” เธอค้อนเขาทางสายตาแล้วจัดการอาหารตรงหน้าทั้งยังพูดคุยเกี่ยวกับทริปหน้าโดยไม่รู้เลยว่าการมาเที่ยวทะเลครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับพวกเขา
ไม่มีสัญญาณบ่งบอกเลยสักนิด
“พี่ครามๆ น้ำซื้อชุดนอนมาให้” เขาเดินออกจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวก็ถูกคนรักจับแขนให้มายืนหน้ากระจกพร้อมโชว์ชุดนอนคู่ซึ่งคราวนี้เป็นลายหมีพูสีเหลืองแสนน่ากลัวสำหรับเขา
“ไม่เอา ผมไม่ใส่” ปฏิเสธทันควันแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ไม่ได้ พี่ครามต้องใส่ จะได้คู่กันไงคะ” มองร่างบางในชุดเสื้อแขนสั้นกับกางเกงขาสั้นลายตัวการ์ตูนแสนน่ารักก็เอ่ยปากชม
“น้ำใส่น่ารักดี แต่ผมไม่มีทางใส่เด็ดขาด” ยื่นคำขาดเป็นมั่นเหมาะก่อนจะเงียบไปเมื่อเห็นใบหน้าหวานจ้องมองอย่างโกรธเคือง
“คราวก่อนก็ใส่แปบเดียวเอง ครั้งนี้จะไม่ให้ให้น้ำหน่อยเหรอคะอุตส่าห์ซื้อมาแล้วแท้ๆ” หล่อนงัดเหตุผลมาเกลี่ยกล่อมให้ชายหนุ่มใส่ชุดนอนแบบเดียวกันแต่ดูเหมือนว่าสงครามจะไม่ยอมทำตามเสียอย่างนั้น
“แล้วทำไมมันต้องลายน่ารักขนาดนี้ด้วย” เขาไม่ชอบตัวการ์ตูนสักเท่าไหร่ หากเป็นแบบเรียบๆ เหมือนครั้งก่อนก็ยังพอจะใส่ให้ได้
“น้ำชอบ ใส่เพื่อน้ำไม่ได้เหรอคะ” มาแบบนี้แล้วใครจะต้านทานไหวเล่า สงครามนิ่งไปสักครู่ก่อนจะมองดวงตากลมโตที่จ้องไม่กระพริบก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างยอมจำนน
“ก็ได้ เดี๋ยวผมใส่” ใบหน้าหวานยิ้มออกทันทีแล้วยื่นชุดให้เขาส่วนตนก็เดินไปยังระเบียงแล้วนั่งลงบนม้านอนตัวยาวที่ถูกปูทับด้วยผ้านวมผืนนุ่ม
เธอมองดาวที่เต็มท้องฟ้าไม่เหมือนเมืองหลวงจนต้องเก็บภาพเอาไว้ ก่อนจะจ้องด้วยตาเปล่าและไม่นานที่ข้างกายก็ถูกจับจองพอหันไปก็พบสงครามในชุดนอนสีเหลือลายหมีพูที่ขอร้องให้เขาใส่ทำเอาคนหล่อกลายเป็นหนุ่มน่ารักขึ้นมาทันตา
“น่ารักจังเลย” เขานอนข้างกายก่อนที่หญิงสาวจะซุกตัวเข้าหาความอบอุ่นจากคนที่ตัวสูงกว่าทันที
“แสบนักนะเรา” เธอใช้แขนเขาแทนหมอนหนุนแล้วโอบที่เอวสอบพลางอมยิ้มเมื่อมือหนายกขึ้นมาบิดจมูกหมั่นไส้ในความเจ้ากี้เจ้าการของคนตัวเล็ก
“แสบอะไร เปล่าสักหน่อย” ว่าเสียงสะบัดแล้วมองบนท้องฟ้าอีกครั้ง พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันอีกเพียงแค่อยู่ด้วยกันเงียบๆ ฟังเสียงคลื่น สูดกลิ่นของทะเลและนอนข้างคนที่รักก็แสนจะสุขใจแล้ว
“เราอยู่กันแบบนี้ไปตลอดได้ไหมคะ” ดวงตากลมโตหลับลงแล้ววาดฝันถึงอนาคตที่มีสงครามเคียงกาย เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนจึงได้แต่ภาวนาให้เขาเป็นผู้ชายที่เป็นทั้งปัจจุบันและอนาคตของตัวเอง
ให้รักครั้งนี้เป็นรักแท้ที่ตามหา
“นอนเถอะ” เขาลูบศีรษะเล็กไม่ยอมตอบรับคำขอนั่นเพราะรู้ดีว่าอีกไม่กี่วันจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะมอบความสุขครั้งสุดท้ายให้เธอก่อนที่หล่อนจะต้องเผชิญความจริง
สงครามพยายามต่อสู้กับจิตใจตัวเองอย่างหนักก่อนหน้านี้จนวันที่ได้เห็นฉันทิตที่นี่อีกครั้ง เขาตัดสินใจได้ในทันทีว่าแผนที่วางมาทั้งหมดต้องดำเนินต่อไปจนถึงจุดสิ้นสุด ความรักที่มอบให้เนตรนภาก็เป็นเพียงละครฉากหนึ่งเพื่อให้เข้าใกล้ความจริงเท่านั้น
มันไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากจับคนผิดมาลงโทษสำหรับสิ่งที่เธอทำลงไป ให้รู้ว่าการทรยศต่อบริษัทนั้นผลตอบแทนจะต้องพบกับอะไรบ้าง
กระทั่งร่างบางหลับเขาจึงอุ้มเธอเข้าไปนอนบนเตียงแล้วจ้องใบหน้าหวานอยู่อย่างนั้นราวต้องการเก็บเกี่ยววินาทีนี้เอาไว้ให้นานที่สุดจนได้ยินเสียงโทรศัพท์จึงผละออกห่างคนที่นอนหลับใหลไม่ได้สติ
“ครับพ่อ”
‘เห็นว่าลูกให้ทีมทำงานใหม่เหรอ’ เขารู้ดีว่าอย่างไรเสียบิดาก็ต้องรู้เรื่องโดยเร็วเพราะใช้ชื่อของท่านในการสั่งงาน
“ครับ”
‘คิดดีแล้วเหรอ’ เตรียมการมาเป็นอย่างดีขนาดนี้เขาวางแผนมานานแล้วต่างหาก
“ครับ” ได้ยินเสียงท่านถอนหายใจรู้ดีว่าบิดาชื่นชอบเนตรนภาจากการที่ได้พูดคุยกันไม่กี่ครั้งทว่าความสามารถของหญิงสาวก็ทำให้ประธานบริษัทประทับใจ
‘พ่อไม่มีอะไรแล้วล่ะ’
“สวัสดีครับพ่อ” วางสายจากบิดาแล้วก็ได้แต่นั่งลงบนม้านอนพลางกุมขมับนิ่ง เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย หากวางแผนอะไรไว้แล้วก็จะทำตามจนบรรลุเป้าหมายซึ่งครั้งนี้ต่างออกไปเนื่องจากแผนนั้นมีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องลงโทษคนผิดให้หลาบจำ ..
“ไปไหนของเขานะ” วันที่นำเสนองานถูกเลื่อนออกไปทำให้ช่วงนี้ต้องช่วยกันตรวจงานที่จะนำเสนออีกครั้งและทุกอย่างก็เรียบร้อยดี เนตรนภาลงมาข้างล่างแล้วมองหาร่างสูงที่คุ้นตาแต่กลับไม่พบอีกฝ่ายเลย
อันที่จริงสงครามไม่มานอนที่บ้านของเธอสามวันแล้ว เขาให้เหตุผลว่าที่บ้านเรียกตัวกลับทว่ายามโทรไปตอนกลางคืนอีกฝ่ายก็ไม่ค่อยรับสาย พอถามตอนเช้าก็บอกว่าหลับไปแล้วซึ่งค่อนข้างผิดปกติเป็นอย่างมาก
แต่เนตรนภาก็ไม่ได้ว่าอะไรเก็บความสงสัยไว้ในใจเท่านั้น “พี่คราม” เห็นเขาออกมาจากลิฟต์ก็ส่งยิ้มพลางเดินเข้าไปหาอย่างลิงโลด
“กลับกันหรือยังคะ” ใบหน้าคมเคร่งขรึมก่อนจะหันมามองเธอนิ่ง
“ผมกำลังจะกลับ”
“งั้นกลับกันค่ะ” คล้องแขนเขาทันทีแต่อีกฝ่ายกลับจับมือเธอออกอย่างช้าๆ
“ผมหมายถึงว่าผมจะกลับบ้านตัวเอง” พูดเสียงนิ่งทั้งยังแววตาห่างเหินทำเอาเนตรนภาเริ่มทำตัวไม่ถูกกับความเปลี่ยนแปลงของเขา
“พี่ครามจะกลับไปนอนบ้านเหรอคะ” แต่ก่อนตอนที่ไม่มีเขาอยู่ด้วยเธอก็สามารถนอนคนเดียวได้ทว่าตอนนี้รู้สึกว่าบ้านมันกว้างขึ้น นอนบนเตียงก็หนาวเหน็บต้องกอดหมอนข้างทั้งที่ปกติไม่เคยกอดด้วยซ้ำ สงครามเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของหล่อน
“ใช่ ขอตัวนะ” เขาเดินเลี่ยงไปไม่แม้แต่จะเอ่ยขอไปส่งเหมือนทุกครั้ง เธอยืนมองแผ่นหลังเขาที่ไกลห่างก็รู้สึกใจหายจนต้องเดินแกมวิ่งไปจับมือเขาเอาไว้
“ไปส่งน้ำหน่อยได้ไหมคะ” แล้วเธอก็เป็นคนเอ่ยก่อนด้วยน้ำเสียงเว้าวอนทั้งแววตาออดอ้อนทำให้คนที่ใจแข็งเงียบไปทั้งที่จริงจะบอกปัดแท้ๆ
“ตามมา” คำนั้นเรียกรอยยิ้มให้คนที่จิตใจห่อเหี่ยวได้จนต้องเดินกอดแขนเขาจนกระทั่งถึงรถยนต์คันคุ้นเคย จึงขึ้นไปนั่งประจำที่แล้วพาหนะก็ค่อยเคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ
“พี่ไม่พาน้ำไปแนะนำกับพ่อแม่หน่อยเหรอคะ” ระหว่างทางเธอก็หันไปถามเขาทั้งที่ใจตื่นเต้นกับคำตอบของอีกฝ่าย เธอรอให้เขาเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน หรือชวนไปหาบุพการีเพื่อแนะนำตัวว่าเป็นแฟนให้ใจชื้นว่าอาจจะได้ขยับสถานะมากกว่านั้น
แต่เขากลับนิ่งเงียบไม่กล่าวอะไรจนเธอเริ่มใจแป้วไปทุกขณะ
“เอาไว้ก่อนแล้วกัน” สงครามบอกปัดและเนตรนภาก็ยิ้มเจื่อนไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
อันที่จริงในใจก็เกิดความสงสัยว่าชายหนุ่มเป็นอะไรทำไมพักนี้จึงได้ห่างเหินเสียเหลือเกิน ทั้งคำพูดที่แข็งกระด้าง แววตาเย็นชา การกระทำราวกับไม่ต้องการเข้าใกล้..หรือเขาจะเบื่อเธอแล้ว คิดได้ดังนั้นก็เริ่มกลัวจนต้องหันไปมองใบหน้าคม
“พี่ครามยังรักน้ำอยู่ใช่ไหมคะ” แววตากลมโตมีน้ำใสคลอขณะที่รถจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านหลังเล็ก เธอตัดสินใจถามหลังจากเงียบมานาน รวบรวมความกล้าทั้งหมดเงยหน้าหันไปมองคนที่นั่งข้างกายซึ่งไม่ได้เหลียวมายังหล่อนเลย
“เข้าบ้านเถอะ” ไม่ตอบคำถามนั้นแต่กลับเปลี่ยนเรื่องทันที
และนั่นคือคำตอบของคำถามแล้ว..เนตรนภาปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไม่อยู่ให้ได้อายมากไปกว่านี้ ทว่าเมื่อกำลังจะเปิดรั้วบ้านร่างบางก็ถูกกอดจากข้างหลังเสียก่อน
“น้ำคือผู้หญิงของผมคนเดียว” ไม่มีคำว่ารักแต่เป็นประโยคที่แสดงความเป็นเจ้าของซึ่งนั่นไม่สามารถตอบคำถามเมื่อสักครู่ของเธอได้เลย
“น้ำอยากอยู่คนเดียว” ทั้งที่เธอควรจะใจเต้นแรงกับประโยคของเขาแต่กลับตรงกันข้าม เหมือนว่าสงครามเห็นหล่อนเป็นของเล่นที่เมื่อกำลังจะหนีไปก็เอาคำหวานมาล่อให้ติดบ่วง เนตรนภาปลดแขนหนาออกแล้วเดินเข้าบ้านไม่ลืมปิดประตูรั้วและล็อคอย่างดี
หรือบางทีเขาอาจจะมีครอบครัวอยู่แล้ว ขณะที่เดินเข้าบ้านความกังวลต่างๆ ก็จู่โจมเข้ามาจนตั้งรับแทบไม่ไหว