๕ ข่มอารมณ์ (๑)
๕
ข่มอารมณ์
ความแรงของรถที่ขับไปตามถนนทำเอาร่างบางที่นั่งข้างๆ จิกมือลงบนเบาะพร้อมหลับตาแน่นกลัวว่าพาหนะอาจพลิกคว่ำหรือไม่ก็ชนท้ายคนอื่นจนได้รับอุบัติเหตุเสียก่อน ภายในใจสวดมนต์นับสิบรอบเห็นจะได้กระทั่งถึงบ้านสองชั้นหลังกะทัดรัดที่หล่อนอาศัยตั้งแต่เด็กจึงคลายความกังวลค่อยผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ
ร่างหนาลงจากรถก่อนโดยไม่รอจนเธอต้องรีบวิ่งตามมาเปิดกุญแจรั้วให้ทั้งที่ไม่ได้คุยอะไรกันสักคำ ใบหน้าคมนิ่งสนิทและแววตาเย็นชาจนน่ากลัวทำเอาเธอเองก็ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยวาจาออกไปให้ผิดใจกันเสียเปล่า
และเมื่อเข้ามาภายในบ้านหลังเล็กต่างก็แยกกันอยู่คนละมุมโดยแขกหนุ่มที่ตอนนี้แทบจะกลายเป็นเจ้าของบ้านอีกคนเลือกนั่งอยู่ห้องใหญ่หน้าโทรทัศน์สามสิบสองนิ้วในขณะที่หล่อนมุ่งไปยังห้องครัวเพื่อดื่มน้ำดับกระหายแล้วคิดว่าตัวเองทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่า
“เพิ่งเจอกันจะโกรธได้ยังไง” พึมพำกับตัวเองแล้วดื่มน้ำเปล่าจนหมดแก้วเพิ่มความสดชื่นค่อยเดินออกมาที่ห้องใหญ่แล้วนั่งข้างเขาอย่างช้าๆ
“เอ่อ น้ำค่ะ” ไม่ลืมรินน้ำใส่แก้วมาให้คนตัวสูง
“ขอบคุณ” แม้แต่น้ำเสียงยังแข็งอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน บอกเลยว่าตอนนี้เขาน่ากลัวยิ่งกว่าคุณครูห้องปกครองที่เธอเคยเจอเสียอีก ทั้งแววตา ใบหน้าและน้ำเสียงสามารถฆ่าคนให้ตายเลยก็ว่าได้เพียงแค่เผลอสบตา
“พี่ครามมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ” ค่อยตะล่อมถามเขาเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มดื่มน้ำรวดเดียวหมดแก้วเหมือนต้องการดับอารมณ์ร้อนรุ่มภายในอก
เขาไม่ตอบคำถามทั้งยังนั่งกำมือแน่นจนคนตัวเล็กค่อยเอื้อมมือไปกอบกุมแต่กลับโดยสะบัดออกทันทีราวรังเกียจกันนักหนา เล่นเอาร่างบางแทบทำอะไรไม่ถูกเมื่อโดนปฏิบัติอย่างนี้จากผู้ชายที่หล่อนรัก..
ใช่ เธอรักเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ยอมรับกับตัวเองว่าหัวใจทั้งดวงมอบให้ผู้ชายคนนี้หมดแล้ว
“ผมขอตัว” ลุกขึ้นเต็มความสูงกว่า 184 ซม.แล้วเดินไปยังสนามข้างบ้านซึ่งมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมดยังไม่ได้รับการตัดให้ดูดี ไหนจะใบไม้ที่ที่หล่นลงมากองเต็มพื้นเพราะคนตัวเล็กยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาจะดูแลบ้าน คงต้องจ้างคนแถวนี้มาจัดการให้เสียแล้ว
ทว่าตอนนี้หัวใจดวงน้อยกำลังเต้นกระหน่ำด้วยความไม่เข้าใจว่าเกิดเหตุใดขึ้นกับชายหนุ่มจึงได้ทำเมินเฉยใส่กันทั้งยังแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์ถึงขนาดนี้ เพียงแค่แตะมือเขาก็ปัดออกอย่างไม่ไยดีเหมือนเธอเป็นกิ้งกือไส้เดือนที่น่ารังเกียจ ดวงตากลมโตวาวด้วยน้ำตาที่คลอเต็มหน่วยก่อนจะรีบสูดลมหายใจแล้วซับมันออกอย่างรวดเร็ว
ทะเลาะกันเหรอ..เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องอะไร เพียงแค่เห็นหน้าก็ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ไม่ดีเสียแล้ว เรื่องเป็นแบบนี้แล้วคนผิดคือเธออย่างนั้นเหรอ
คิดจนหัวแทบระเบิดก็ไม่ได้คำตอบจึงตัดสินใจขึ้นไปบนห้องแล้วปิดประตูพร้อมลงกลอนด้วยต้องการอยู่คนเดียวเช่นกัน เกิดอะไรขึ้นกับสงครามกันแน่ แล้วทำไมเขาต้องให้เธอมารองรับอารมณ์ด้วยเล่า
ยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดความน้อยใจจนน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย “บ้าเอ๊ย จะร้องไห้ทำไมเนี่ย” นั่งลงบนเตียงพลางก่นด่าตัวเองในความอ่อนแอ ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ ก็เกิดอารมณ์อ่อนไหวขนาดนี้ แค่มีความรักก็เหมือนว่าความเข้มแข็งที่เคยมีจะค่อยถูกกัดกร่อนไปทีละน้อย
ที่เขาว่ากันคนมีความรักมักจะอ่อนไหวกับเรื่องเล็กน้อยท่าจะจริง ความรักหนอความรัก ไม่น่าเข้ามาทักทายกันเลย
“ครับเดย์” ในขณะที่ร่างสูงซึ่งอยู่ตรงสนามข้างบ้านเดินไปนั่งม้าหินอ่อนตัวเล็กพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับด้วยเสียงราบเรียบ
“ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะไปได้ไหม แต่จะพยายามไปให้ได้” เอ่ยเสียงเครียดจนปลายสายจับสังเกตได้จึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“เรื่องงานครับ ไม่มีอะไรหรอก ไว้พรุ่งนี้เจอกัน”
“ครับ สวัสดีครับ” วางสายแล้วถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม เขาไม่คิดว่าวันนี้จะเจอเหตุการณ์แบบนี้เลยจนไม่สามารถควบคุมตัวเองอยู่ทั้งที่ปกติชินกับการใส่หน้ากากอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้มันจะยากเหลือเกินที่ต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ภายในจนเผลอแสดงความรู้สึกจริงให้เนตรนภาเห็น
เขาสูดลมหายใจเข้าออกนับหนึ่งถึงสิบอย่างช้าๆ มือที่กำแน่นค่อยคลายออกจากกัน ไม่เข้าใจตัวเองเช่นเดียวกันว่าเหตุใดจึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะรู้ตัวหนอนบ่นไส้หรือเหตุผลอื่นกันแน่
แต่สิ่งที่เขาภาวนาไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองเลยคือความรู้สึกเกลียดที่เห็นเนตรนภาอยู่กับชายคนอื่น นั่นเท่ากับว่า..เขาหึงเธอ
ไม่มีทางหรอก มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นกับเขาเด็ดขาด
จะไปรักศัตรูได้อย่างไร เธอคือคนที่คิดทำลายบริษัท อย่าหลงกลความใสซื่อที่ซ่อนพิษร้ายกาจเอาไว้อย่างเด็ดขาด
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“น้ำครับ ไม่หิวข้าวเหรอ” เสียงเคาะประตูพร้อมด้วยเสียงของคนที่คุ้นเคยทำให้หล่อนแทบจะถลาไปยังประตูแล้วเปิดออกทันทีแต่ก็ยั้งใจไว้ได้เมื่อนึกถึงอาการที่เขาแสดงต่อตัวเองจนต้องนั่งอยู่ที่เดิมรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร
“เมื่อกี้ผมขอโทษที่ทำไม่ดีกับน้ำ ยกโทษให้ผมนะ” น้ำเสียงรู้สึกผิดทำให้ความขุ่นเคืองที่มีแทบมลายไป ร่างบางเดินไปเปิดประตูแทบจะทันทีเมื่อเขาพูดจบ ไม่นึกถือทิฐิใดๆ ทั้งสิ้นก่อนจะโผเข้ากอดร่างสูงอย่างรวดเร็ว
“อย่าทำเย็นชาแบบนั้นอีกนะคะ” หล่อนซุกเข้าที่แผงอกหนาก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอู้อี้อย่างออดอ้อนจนแขนล้ำต้องยกขึ้นมาโอบรอบเอวคอด
“ขอโทษที่ทำให้เสียใจนะครับ ผมเครียดเรื่องที่บ้านแต่กลับมาลงที่น้ำ นิสัยไม่ดีเลยใช่ไหม” ทั้งสองกอดกันแน่นในขณะที่ใบหน้าหวานพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
“ใช่ นิสัยไม่ดีเลย น้ำเสียใจมากเพราะฉะนั้นพี่ครามต้องไถ่โทษ” เงยหน้าขึ้นมองเขาแต่เห็นเพียงปลายคางเท่านั้น
“ให้ทำยังไง ไหนบอกมาสิ” เขาก้มหน้าลงมาถามทำให้ดวงตาสบกัน
“ทำกับข้าวแสนอร่อยให้น้ำ” เมื่อได้ยินบทลงโทษร่างสูงก็หัวเราะออกมาอย่างนึกเอ็นดูหล่อน
“นั่นง่ายมากเลยนะ” ใบหน้าหวานยู่ปาก “ก็น้ำคิดไม่ออกแล้วว่าจะทำโทษยังไง ถ้าอย่างนั้นวันนี้ต้องทำให้อร่อยกว่าทุกวันนะคะ” เมื่อหล่อนขออย่างนี้เขาก็พยักหน้าแล้วโน้มลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากได้รูปซึ่งถูกเคลือบด้วยลิปสติกทันที เขาชิมความหวานจนสีติดปากตัวเองทำให้เนตรนภาหัวเราะออกมา
“ลิปติดปากหมดแล้ว” เอื้อมมือขึ้นเช็ดโดยที่เขายังคงโอบเอวเล็กไว้ไม่ยอมปล่อย
“ยอม ขอแค่ได้จูบน้ำก็พอ” เขาทำท่าจะโน้มลงมาอีกครั้งแต่เธอก็ยกมือปิดปากไว้ก่อนแล้วพยายามดันคนตัวสูงให้ออกห่าง
“พอได้แล้วค่ะ ลงไปข้างล่างกัน” ความโกรธเคืองหรือน้อยใจเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อร่างสูงมาเคาะประตู เธอยอมให้เขาเพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงทุ้มเอ่ยเรียกแล้วช่างเป็นผู้หญิงใจง่ายเสียจริง
สองหนุ่มสาวลงมาช่วยกันทำอาหารโดยส่วนมากแล้วสงครามจะเป็นคนจัดการเองมากกว่าส่วนหล่อนน่ะหรือ น่าจะป่วนไม่ให้เขาทำเสร็จเร็วเพราะเอาแต่ถามจนพ่อครัวจำเป็นต้องหันมามองด้วยแววตาคมดุจึงเงียบแต่ดวงตากลมโตกลับวิบวับด้วยความขี้เล่น
“อ่า เมื่อสัปดาห์ก่อนที่น้ำไปคุยงานเห็นคนเหมือนพี่ครามด้วย” นึกขึ้นได้จึงเล่าให้เขาฟัง
“จริงเหรอ” เขาหันมามองเธอแล้วกลับไปทำอาหารต่อ
“จริงค่ะ แต่ไม่ทันเห็นหน้า เสียดายเลย” ถอนหายใจอย่างนึกเสียดายเพราะผู้ชายคนนั้นเหมือนเขาจริงๆ ขนาดมองข้างหลังยังรู้สึกได้หากเห็นหน้าก็คงจะดี
“อะไรกัน ทำไมทำเสียงเสียดายขนาดนี้ นอกใจผมรึเปล่า” พ่อครัวหันมาจับผิดคนตัวเล็กที่ทำหน้าเหลอหลา
“เปล่านะคะ ก็แค่อยากเห็นเท่านั้นเอง” รีบปฏิเสธกลัวเขาจะเข้าใจตัวเองผิด
“ที่จริงแล้วผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครหรอกนะ” ระหว่างรอน้ำซุปเดือดชายหนุ่มก็หันมาหาคนตัวเล็กพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสนจะจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เนตรนภาตั้งใจฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูดด้วยใจจดใจจ่อ
“ผมมีฝาแฝด” เธออ้าปากค้างกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้
“จริงเหรอคะ” ตกใจจนต้องลุกขึ้นเดินไปหาเขาพลางจับแขนล้ำแล้วเขย่าอย่างแรง ดวงตากลมโตจ้องใบหน้าคมดูตื่นเต้นกับสิ่งที่เพิ่งได้รู้จนคนเจ้าเล่ห์อดหัวเราะกับท่าทีจริงจังของหญิงสาวไม่ได้
“หัวเราะอะไรกัน อย่าบอกนะว่าพี่ครามโกหก” ปล่อยแขนอีกฝ่ายให้เป็นอิสระแล้วถามด้วยใบหน้าโกรธเคือง
“แล้วน้ำเชื่อผมจริงเหรอ”
“พี่ครามโกหกเหรอ” เธอไม่ตอบแต่ถามเขากลับทันควันและคนตัวสูงก็พยักหน้ากลับอย่างไม่นึกกลัวว่าจะโดนโกรธ
“พี่คราม!” เธอตีแขนเขาทันทีแล้วกลับไปนั่งที่เดิมด้วยใบหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ ก็นึกว่าชายหนุ่มมีฝาแฝดจริงเสียอีก อยากรู้ว่าจะหน้าตาเหมือนกันมากแค่ไหนแต่ร่างสูงกลับหลอกเธอได้เสียนี่
“โกรธไหม” ถามเสียงเย้าและเธอก็พยักหน้ากลับ
“โกรธค่ะ โกรธมากด้วย” ถึงจะตอบแบบนั้นแต่แววตากลับไม่มีความโกรธเคืองต่อร่างสูงเลยสักนิด
“ผมไม่ง้อนะ” เขาหันกลับไปทำอาหารต่อไม่สนใจท่าทีของหล่อนที่ต้องการให้อีกฝ่ายเอาใจ
“ไม่ได้อยากให้ง้อสักหน่อย” ว่ากลับพลางกอดอกแล้วเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยจนคนเห็นต้องอมยิ้มมุมปากค่อยเดินมาหอมแก้มนวล
“หายโกรธนะครับ” เขากระซิบข้างหูแล้วค่อยเดินไปประจำหน้าเตาเหมือนเดิม ทำเอาใบหน้าหวานแดงปลั่งด้วยความเขินอาย
“ไหนว่าจะไม่ง้อไงคะ”
“ก็ไม่ได้ง้อสักหน่อย แค่หอมแก้มเอง” เนตรนภาบ่นพึมพำอยู่คนเดียว ‘คนปากแข็ง’ แล้วมองแผ่นหลังกว้างที่มุ่งมั่นกับการทำอาหารด้วยความรู้สึกรักใคร่อย่างชัดเจน
เธอรักเขาเต็มหัวใจเสียแล้ว..
ได้แต่ภาวนาให้รักครั้งนี้คือรักจริงอย่างที่เฝ้าหวัง อย่าให้เป็นเพียงรักลอยลมเลย
“ว้าว น่ากินจังเลยค่ะ” อาหารมาวางตรงหน้าพร้อมหนุ่มสุดหล่อที่ใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่จนอดยิ้มไม่ได้
“มาถ่ายรูปกันค่ะ” ได้ทีจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้องแล้วถ่ายรูปอาหารทั้งยังดึงคนตัวสูงมาร่วมเฟรมอีกต่างหาก ห้องครัวอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุขโดยที่หญิงสาวไม่รู้เลยว่าเหลือเวลามีความสุขอีกไม่นานแล้ว
ดวงตาคมเหลือบมองรอยยิ้มแต้มบนใบหน้าหวานก็เผลอยิ้มตามก่อนจะตั้งสติพร้อมเตือนตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาไม่ควรมีใจให้ผู้หญิงคนนี้
มันเป็นแค่การแสดงละครฉากหนึ่งเท่านั้น โดยใช้หัวใจเป็นเดิมพัน!
“แน่ใจเหรอว่ามันเป็นความจริงทั้งหมด” คุณสันติสุขดูงานของบริษัทไทยโหลด ดีไซน์พร้อมกับเอ่ยถามคนตรงหน้าเสียงนิ่ง
“ครับ ผมแน่ใจ” อีกฝ่ายตอบกลับทันทีพร้อมแววตาที่มุ่งมั่นจนคนสูงวัยกว่าต้องถอนหายใจออกมาด้วยความคาดไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ ท่านวางหลักฐานทั้งหมดลงบนโต๊ะก่อนจะกุมขมับพยายามคิดหาทางออกที่ดีแต่เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ก็คงมีบทลงโทษทางเดียว
ไล่ออก..
“แล้วครามจะให้ไปเมื่อไหร่” สรรพนามที่ค่อนข้างสุภาพอาจทำให้สถาปนิกที่สนิทกับท่านค่อนข้างแปลกใจแต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มคนนี้เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เขายังเด็กเนื่องจากคุณสันติสุขเป็นรุ่นน้องคนสนิทของบิดา
“วันเสนองานครับ” ดวงตาคมฉายแววแข็งกร้าวขึ้นมาทันที
“อย่าให้กระทบถึงบริษัท” เตือนด้วยความหวังดีซึ่งหนุ่มรุ่นลูกก็รับทราบอยู่แล้ว
“ผมจะจัดการทุกอย่างโดยไม่ให้บริษัทเดือดร้อนเด็ดขาด คุณอาไว้ใจผมได้” เห็นชายหนุ่มรับคำแบบนั้นก็เบาใจ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเพราะหนักใจกับสิ่งที่จะเกิดตามมากับตัวของบุคคลที่ถูกกล่าวถึงซึ่งท่านเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง
“ถ้าทำได้..อย่าทำลายอนาคตหน้าที่การงานของเขาก็แล้วกัน” ร่างสูงไม่ได้รับปากแต่เพียงแค่ยิ้มมุมปากเท่านั้น
“ผมจะพยายาม” เขาหยิบเอกสารแล้วเดินออกไปทันทีปล่อยให้คนสูงวัยเอนหลังกับเก้าอี้นุ่มพร้อมถอนหายใจด้วยความหนักอก ไม่น่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย..