๔ แนบชิด (๒)
“ปิดไฟไม่ได้เหรอคะ” ห้องยังสว่างโร่ซึ่งหล่อนไม่ชิน
“ผมอยากเห็นน้ำ อย่าปิดเลยนะ” ไม่รู้ทำไมแค่เขาพูดอะไรเธอก็พร้อมจะยอมทำตามเสียทุกอย่าง เขาก้มลงจูบหล่อนอย่างดูดดื่มก่อนจะดันให้ร่างเล็กเดินไปยังเตียงล้มลงนอนอย่างยอมจำนนทุกอย่างในขณะที่มือหนาก็เคล้นคลึงทรวงอกกลมกลึงได้รูปทั้งสะกิดที่ยอดปทุมถันจนแข็งเป็นไต หลังจากนั้นจึงผละริมฝีปากออกมาไล้ลงมาที่แอ่งชีพจรแล้วครอบครองดอกบัวงาม
การเคลื่อนไหวของร่างกายเขาแผ่วเบาจนเธอแทบไม่รับรู้จนอีกฝ่ายจับมือหล่อนให้ปลดกระดุมเสื้อที่อุตส่าห์เลือกซื้อให้ “ถอดเสื้อให้ผมหน่อยนะ” เอ่ยเสียงแหบพร่าแล้วมีหรือที่คนอ่อนแรงจะปฏิเสธ เธอแกะมันออกด้วยมือสั่นเทาจากการถูกปลุกเร้า
ลมหายใจร้อนจนนึกว่าตัวเองจำจับไข้ทั้งร่างกายที่เหมือนมีไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ช่างเป็นความทรมานที่เธอพร้อมจะเผชิญตลอดเวลาเพียงแค่มีคนข้างกายเป็นเขา
เป็นสงครามคนเดียว
“น้ำสวยมากเลย” ดวงตาคมจ้องไปทั่วร่างกายเปลือยเปล่าจนนึกอายจะเอามือขึ้นมาปิดแต่เหมือนโดนเขารู้ทันจับข้อมือเล็กไว้เหนือศีรษะก่อน
“อย่าปิดเลยนะ ผมชอบ” เมื่อเห็นว่าเธอทำตามชายหนุ่มก็ปล่อยมือเล็กแล้วเริ่มถอดเสื้อของตัวเองพร้อมกางเกงออกทันที ทำให้ตอนนี้สองหนุ่มสาวไม่มีอาภรณ์ปิดร่างกายสักชิดและนั่นคือความต้องการของร่างสูง
เขาค่อยแยกเรียวขาสวยออกจากกันจากนั้นจึงเข้าไปภายในกายสาวอย่างช้าๆ เมื่อแนบชิดกันแล้วก็เพิ่มจังหวะความเร็วมากกว่าเดิมจนร่างเล็กตัวสั่นคลอน
“เร็วอีกค่ะ” ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปากเมื่ออีกฝ่ายขอร้องและเขาจัดให้ตามนั้นจนได้ยินเสียงเนื้อกระทบกันดังลั่นห้อง มือหนาคว้าดอกบัวคู่งามแล้วฟ้อนเฟ้นทั้งสะกิดที่ยอดอกก่อนก้มลงดูดกลืนทำเอาเนตรนภาครางไม่เป็นศัพท์
“ชอบไหมครับ” เขาเอ่ยถามพร้อมกับเคลื่อนกายแรงกว่าเดิม
“อื้อ ชอบ ชอบมากค่ะ” เธอแหงนหน้าขึ้นเมื่อเขาใช้ลิ้นเลียมายังลำคอระหงแล้วฝากรอยเอาไว้แต่ไม่ชัดมากนัก
เมื่อทุกอย่างดำเนินไปตามแรงอารมณ์จนสิ้นสุดหนทางยาวนานเขาก็ปล่อยน้ำสีขุ่นเข้าไปในร่างกายของเธอโดยที่ไม่ได้ป้องกันและไม่มีใครท้วงติงในเรื่องนี้ทั้งที่เป็นสิ่งสำคัญในการร่วมรัก
ลิ้นหนายังคงทำหน้าที่ตวัดเลียยอดบัวสีหวานจนมันแข็งอีกครั้งพร้อมทั้งใช้นิ้วมือบดขยี้เรียกเสียงครางจากคนที่นอนนิ่งได้เป็นอย่างดี เขาล้มตัวลงไปนอนข้างหล่อนแล้วค่อยเลื่อนมือไปตามหน้าท้องแบนราบก่อนหายเข้าไปในกลีบงาม
“เปียกไปหมดแล้ว” ยิ้มอย่างเอ็นดูยามเห็นใบหน้าหวานสูดริมฝีปากด้วยความต้องการที่สูงมากขึ้น
“สัมผัสผมได้ไหม” เขาขอร้องด้วยน้ำเสียงแหบพร่าจนหล่อนต้องยอมทำตามเลื่อนมือไปกอบกุมความเป็นชายที่แข็งตัวสู้มือนุ่ม
“พี่คราม พี่คราม” เรียกเขาสลับกับครางด้วยความปรารถนาที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองจะต้องการมากขนาดนี้ อยากสัมผัสเขามากขึ้นทั้งอยากให้ชายหนุ่มสัมผัสร่างกายของเธอทุกส่วน
ราคะมันเป็นแบบนี้เองหรือ ทำให้มัวเมาและลุ่มหลงกลายเป็นอีกคนที่เธอแทบไม่รู้จัก
“เป็นอะไร บอกผมได้ไหมคนดี” เขาเพิ่มนิ้วมือเข้าไปมากขึ้นพร้อมเร่งความเร็วจนเสียงครางดังกว่าเดิม
“มะ ไม่ไหวแล้วค่ะ” ส่ายหน้าทั้งที่มือขยับขึ้นลงที่แก่นกายใหญ่
“ผมก็ไม่ไหว อึก เหมือนกัน” ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้นแต่เขาก็แทบกระอีกยามที่มือเล็กแตะต้อง ร่างกายเกือบแตกออกเป็นเสี่ยงก่อนจะลุกขึ้นคร่อมบนร่างบางอีกครั้งสอดกายเข้าไปแล้วขยับตามแรงปรารถนาที่ค่อนข้างสูงจนตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีมากขนาดนี้
สองร่างสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวขับเคลื่อนความต้องการที่มี “ผมต้องการน้ำเหลือเกิน” มือเล็กลูบไปทั่วแผ่นหลังกว้างพร้อมสบตาคู่คม
“น้ำก็ต้องการพี่คราม” เมื่อความรู้สึกตรงกันจึงไม่ยากที่จะขับเคลื่อนไปในทิศทางแห่งอารมณ์สีเทา เสียงครางสลับไปพร้อมกับเสียงกระทบของเนื้อดังก้องห้องจนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุดความปรารถนา..
ร่างหนาซบหน้าลงบนทรวงอกนุ่มอย่างเหนื่อยล้าทว่ายังไม่หมดแรงแห่งปรารถนา เขาใช้เวลาพักเพียงครู่ก่อนจะจับเธอให้ลุกขึ้นนั่งทับขาของตัวเอง หลังจากนั้นจึงเริ่มเพลงรักอีกครั้งไม่ยอมปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์และกว่าจะได้นอนก็ค่อนคืนเสียแล้ว...
ห้างสรรพสินค้าถูกเลือกเป็นสถานที่คุยงานอีกครั้งหลังจากที่ผ่านมากว่าหนึ่งสัปดาห์ซึ่งคุณสุปรีย์ให้หล่อนเพิ่มเติมในส่วนที่ขอไป วันนี้จึงได้คุยกันพร้อมหน้าทั้งวิศวกรของงานด้วย ใช้เวลากว่าสามชั่วโมงในการพูดคุยทุกอย่างจึงลงตัว มอบงานให้แก่เจ้าของด้วยความโล่งอกจนต้องยิ้มเต็มปาก
เป็นอีกงานที่ผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อออกมานอกร้านเธอก็เดินเล่นรอกลับบ้านตอนเย็นโดยสงครามบอกว่าจะมารับในอีกสามสิบนาที เนตรนภาตัดสินใจไปโซนหนังสือหานิยายแฟนตาซีที่หล่อนโปรดปรานอ่าน แต่ว่ายังไม่ถึงที่หมายขาเรียวก็หยุดชะงักเสียก่อน
“ไม่เจอกันนานเลยนะ สบายดีไหม” ร่างสูงที่คุ้นเคยก็เดินมาขวางเสียก่อนพร้อมยกยิ้มราวดีใจแต่ดวงตานั้นกลับฉายแววร้ายกาจจนรู้สึกขนลุก
“ค่ะ สบายดี ขอตัวนะคะ” พยายามจะเดินเลี่ยงแต่แขนก็ถูกดึงไว้เสียก่อนพร้อมกับถามกลับเสียงทุ้ม
“อะไรกัน เพิ่งเจอแท้ๆ ไปดื่มกาแฟด้วยกันสักแก้วสิ” นั่นไม่ใช่คำขอร้องเธอรู้ดีแต่เป็นคำขู่ซึ่งหากขัดขืนก็คงมีเรื่องราววุ่นวายตามมาอีกเป็นแน่ สถาปนิกสาวนิ่งไปก่อนจะปลดแขนของตัวเองออกจากพันธนาการพร้อมตอบรับเสียงแผ่ว
"ก็ได้ค่ะ” เมื่อได้ยินคำตอบที่พึงพอใจชายหนุ่มก็ยิ้มออก
“แต่ว่าฉันให้เวลาแค่ยี่สิบนาที” ต่อรองเขาซึ่งร่างสูงก็พยักหน้าพลางยิ้มอย่างผู้ใหญ่ใจดี
“ไม่มีปัญหา” เขาเดินนำไปยังร้านกาแฟชื่อดังพร้อมกับสั่งให้เธออย่างรู้ใจเพราะเคยทำงานร่วมกันมาก่อน เนตรนภาไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นักหันมองซ้ายขวาตลอดเวลากลัวว่าจะเจอคนรู้จักแล้วอาจจะเกิดเรื่องใหญ่
เพราะผู้ชายตรงหน้าเธอคือฉันทิต วรากรกิตติ์
หัวหน้าสถาปนิกของบริษัทไทยโหลด ดีไซน์ คู่แข่งของบริษัทเธออย่างไรเล่า!
“คาปูชิโนหวานน้อยครับ” วางกาแฟไว้ตรงหน้าเธอพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจที่มองอย่างไรก็ไม่น่าพิสมัยสักนิด
“คุณมีอะไรก็รีบพูดมาเถอะค่ะ” ไม่อยากอยู่กับเขานานไปกว่านี้จึงต้องถามถึงธุระ
“อะไรกัน ผมก็แค่ชวนคุณมานั่งคุยตามประสาคนรู้จัก ต้องมีธุระด้วยเหรอ” สำหรับคนอื่นอาจจะใช่ทว่าคนอย่างฉันทิตที่เห็นผลประโยชน์เป็นใหญ่น่ะหรือจะชวนมานั่งคุยโดยไม่มีหัวข้อในการสนทนา
“โอเคๆ ผมบอกก็ได้ไม่เห็นต้องมองกันตาเขียวขนาดนั้นเลย” ยกมืออย่างยอมแพ้พร้อมจำนนต่อร่างบางที่จ้องตาเขม็ง
“ผมได้ข่าวว่างานของพวกคุณเดินหน้าไปมาก เรามาแลกเปลี่ยนกันไหม” คิ้วสวยชนกันเมื่อได้ฟังความต้องการของเขา
“คุณก็เอางานของคุณมา ผมก็เอางานของผมให้ดู” ไม่ต้องเอ่ยก็รู้ว่าเป็นโครงการใหญ่ของ SOP Group ที่มีค่าจ้างมูลค่ามหาศาลที่ไม่ว่าใครก็ต้องอยากได้เพราะมันแทบจะชุบชีวิตบริษัทจากความขัดสนทางด้านการเงิน
“ต้องขอปฏิเสธค่ะ ถ้าคุณมีเรื่องพูดแค่นี้ขอตัวนะคะ” ร่างบางกำลังจะลุกขึ้นแต่ฉันทิตกลับคว้ามือเล็กเอาไว้ก่อน
“อย่าเพิ่งสิ ทำไมตัดรอนกันง่ายล่ะ ไม่ลองเอาข้อเสนอผมไปคิดดูก่อนเหรอ” เธออยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าไม่ต้องเสียเวลาคิดก็ตอบได้ทันทีว่าไม่ต้องการจะทรยศบริษัทอีกแล้ว
“ไม่ค่ะ ต้องขอโทษที่เสียมารยาทแต่ฉันมีธุระต่อ” ยังพูดไม่ทันจบเอกสารสีน้ำตาลก็ถูกยัดใส่มือหล่อน
“ข้างในนี้เป็นการออกแบบของโครงการ ผมให้คุณดูก่อน ถ้าเปลี่ยนใจติดต่อกลับมาได้ทุกเมื่อ ดีใจที่ได้เจอนะครับ” เขาจิบกาแฟเป็นการปิดท้ายแล้วลุกขึ้นติดกระดุมเสื้อสูทก่อนจะเดินออกจากร้านอย่างรวดเร็วปล่อยให้เธอนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมเอกสารที่ไม่ต้องการสักนิด
“บ้าเอ๊ย” สบถเสียงแผ่วพลางถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เธอลุกออกจากร้านอย่างรวดเร็วก่อนจะเจอเข้ากับสงครามที่ยืนนิ่งอยู่หน้าร้าน
“พะ พี่คราม” เรียกเขาเสียงสั่นไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมายืนรอเช่นนี้
“มานานหรือยังคะ” เดินเข้าไปใกล้เขาโดยไม่ลืมพับเอกสารเข้าไปในกระเป๋าสะพายอย่างรวดเร็วกลัวว่าอีกฝ่ายจะแย่งไปเสียก่อน
“ทำไมเหรอ ซ่อนใครไว้หรือไง” ใบหน้าคมเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่เธอไม่เคยได้ยิน
“เปล่าค่ะ น้ำแค่กลัวพี่รอนาน” เห็นท่าไม่ดีจึงพยายามยิ้มกลบเกลื่อนแล้วเดินมาคล้องแขนเขาอย่างเอาใจแต่ดูเหมือนจะไม่ดีขึ้นเลย สงครามเงียบกว่าเดิมทั้งที่ปกติก็ไม่ใช่คนพูดเยอะอยู่แล้วทว่าคราวนี้กลับมีบรรยากาศทะมึนลอยรอบตัวเขา เธอจึงไม่กล้าจะเอ่ยอะไรออกไป
“แวะกินอะไรก่อนไหมคะ” ระหว่างทางก็พยายามชวนคุยแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างที่ควร
“เอ่อ พี่เป็นอะไรหรือเปล่า รอน้ำนานเหรอ” ไม่อยากปล่อยให้เรื่องราวบานปลายจึงถามตรงๆ
“กลับกันเถอะ” แต่เขาไม่ตอบแล้วปลดมือเล็กที่คล้องแขนตัวเองออกทันทีก่อนเดินนำหน้าไปไกลมองเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างจนรู้สึกใจหาย เนตรนภาวิ่งตามเขาจนทันจะขวามือหนาแต่ร่างสูงกลับสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเสียก่อน
ใจดวงน้อยวูบโหวงเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนโกรธ แต่มันเรื่องอะไรกันเล่า
เธอทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ..
“พี่คราม” ลองเรียกเขาเผื่อจะหันมาแต่ชายหนุ่มกลับเดินตัวตรงไปลานจอดรถโดยไม่สนใจคนที่ตามมาสักนิด
เนตรนภารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกกับการกระทำของเขาที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่ามันเป็นเพราะอะไร ทว่าก็รีบเดินแกมขึ้นไปนั่งข้างเขาเหมือนเดิมเช่นทุกวัน จะต่างกันก็เพียงแค่วันนี้ความเงียบมันกลับดังกลบเสียงพูดคุย..
เป็นความเงียบที่น่ากลัวเสียเหลือเกิน