๔ แนบชิด (๑)
๔
แนบชิด
เหตุการณ์วันนั้นผ่านมากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วและทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดถึงมันอีก ทว่าสงครามกลับเข้าหาร่างบางมากกว่าเก่าแถมยังกล้าที่จะเล่นถึงเนื้อถึงตัวจนหล่อนคร้านจะห้ามเพราะถึงบอกไปเขาก็ไม่ทำตามอยู่ดี เป็นคนดื้อเงียบที่น่าตีที่สุดในโลก แต่ก็ทำให้ใจเธอเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นกับใครมาก่อนเช่นเดียวกัน
ภายในห้างสรรพสินค้าที่ผู้คนขวักไขว่สถาปนิกสาวได้รับมอบหมายให้มาคุยงานกับลูกค้าจึงต้องเร่งรีบออกจากบริษัทมาให้ทันเวลานัด ดีที่เผื่อเวลาไว้มากโขจึงถึงก่อนเวลานัดทำเอาโล่งจนต้องถอนหายใจพลางมอบรอบร้านทันเห็นหญิงร่างท้วมซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
เธอคือคุณสุปรีย์เจ้าของร้านอาหารชื่อดังซึ่งกำลังจะขยายสาขาจึงได้จ้างสถาปนิกมาออกแบบร้านให้มีความเรียบหรูมากกว่าเดิม แบบเสร็จไปแล้วกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นและดีที่ลูกค้าเห็นดีงามด้วยแทบไม่ต้องแก้อะไร
งานวันนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีพร้อมรอยยิ้มของทั้งเนตรนภาและคุณสุปรีย์ ขั้นตอนต่อไปคงต้องคุยกับวิศวกรที่มารับงานต่อ ค่อนข้างหายใจโล่งขึ้นเมื่อทุกอย่างดำเนินไปในทางที่ดี บอกลาคนที่สูงวัยกว่าก่อนจะเดินฮัมเพลงออกจากร้าน ยกนาฬิกาขึ้นมาดูก็พบว่าห้าโมงครึ่งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าหล่อนจะคุยงานนานสามชั่วโมงครึ่ง เพราะในความรู้สึกเหมือนผ่านไปแค่สามสิบนาทีเท่านั้น
“ซื้ออะไรดีนะ” วันเงินเดือนออกเช่นนี้ยอดตัวเลขในบัญชีก็เพิ่มขึ้นเธอจึงคิดจะซื้อของที่เป็นคู่ไว้ให้ตัวเองและสงคราม
หลังจากผ่านค่ำคืนที่เร่าร้อนเธอก็แทบมองหน้าเขาไม่ติด ดีที่อีกฝ่ายไม่เอ่ยถึงมันอีกแต่เขากลับเข้ามากอดและหอมโดยไม่บอกหรือไม่ให้ตั้งตัวสักครั้ง จนตอนนี้กลายเป็นว่าติดสัมผัสจากร่างสูงไปเสียแล้ว บางทีก็เป็นเธอเองที่จู่โจมหอมแก้มเขาด้วยความรักใคร่
ส่วนสถานะระหว่างเราน่ะหรือ..อีกฝ่ายยังไม่พูดอะไรเลยสักคำ คาดว่าเขาอาจจะกำลังรอเวลาหรือช่วงบรรยากาศเป็นใจก็ได้
คิดแล้วก็ได้แต่อมยิ้มมีความสุข ทว่าริมฝีปากค่อยเรียบตรงเมื่อเห็นคนที่เดินผ่านไปหน้าคล้ายชายหนุ่มที่อยู่ในความคิด
ยิ่งกว่านั้นคือข้างกายมีสาวสวยอยู่ด้วยจนเนตรนภาต้องเดินตามแต่ไม่ทันเมื่อมีเด็กวิ่งมาชนเสียก่อน
“เจ็บไหมคะ” เธอนั่งลงถามเด็กน้อยวัยห้าขวบที่นั่งกับพื้นในมือถือไอศกรีมสีชมพูไว้ด้วย
“ไม่เจ็บค่ะ” เด็กหญิงยิ้มให้พอดีกับที่คุณแม่เดินแกมวิ่งเข้ามาหาพลางเอ่ยขอโทษหล่อนจนต้องเอ่ยปฏิเสธว่าไม่เป็นอะไรก่อนทั้งสองจะเดินลับไป
“เฮ้อ พลาดจนได้” มองหาร่างสูงที่คล้ายสงครามก็ไม่พบจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายมากดหาสถาปนิกหนุ่มที่คาดว่าตอนนี้น่าจะอยู่บริษัท
รอไม่นานเขาก็รับ ‘คิดถึงครับ’ แค่รับสายก็เรียกเลือดไหลมารวมกันบนหน้าเธอได้ทันที เขาไม่ได้เอ่ยสวัสดีเหมือนคนอื่นแต่กลับพูดว่าคิดถึงแทน
“พี่ครามอยู่ไหนคะ” จากที่เคยเรียกคุณหรือพี่สงครามก็เหลือเพียงคำหลังเท่านั้นตามความสนิทสนม ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็เรียกเขาคุณทุกครั้งไม่อยากเป็นที่ครหา
“บริษัทครับ กำลังเร่งทำงาน” ถ้าอย่างนั้นเมื่อกี้เธอคงตาฝาดไปเอง อาจเห็นคนที่รูปร่างคล้ายกันจนหลงคิดว่าเป็นสงคราม
‘มีอะไรหรือเปล่า’
“เปล่าค่ะ แล้วเจอกันเย็นนี้นะ” ไม่ได้บอกเขาไปตามความจริงเพราะมันเป็นความเข้าใจผิดของเธอเอง
‘ให้ไปรับไหม’ ทุกเย็นพวกเขาจะกลับด้วยกันโดยมีสารถีคือหนุ่มหล่ออย่างสงคราม
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวน้ำกลับเอง” ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ใกล้บ้านนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปไม่ไกลก็ถึงแล้วจึงปฏิเสธเขาแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าก่อนจะส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ คงหลงสงครามเสียแล้วไม่ว่าจะมองอะไรก็เป็นหน้าชายหนุ่มไปเสียหมด
ร่างบางเดินไปซื้อเสื้อผ้าแล้วเปลี่ยนเป็นโซนอาหารสดเพื่อที่จะได้ทำเป็นมื้อเย็น แน่นอนว่าคนที่แสดงฝีมือไม่ใช่หล่อนแต่เป็นหนุ่มหล่อที่แวะเวียนมารับประทานอาหารเย็นด้วยกันทุกวัน หรือบางวันเขาก็นอนด้วยจะได้ไปทำงานตอนเช้าพร้อมกัน
กลายเป็นตัวติดกันมากกว่าเดิมเสียอีก
คิดไม่ออกเลยหากวันหนึ่งต้องห่างกันจะเป็นอย่างไร หล่อนคงรู้สึกเหมือนขาดน้ำที่สำคัญต่อร่างกายไปกระมัง
เมื่อถึงบ้านก็จัดการเก็บของสดเข้าตู้เย็นแล้วนำเสื้อผ้าไปซักพร้อมรีดให้แห้งอย่างรวดเร็วเพราะคืนนี้จะบังคับเขาใส่คู่กัน มองแล้วก็ได้แต่อมยิ้มก่อนจะผละไปทำอย่างอื่นเสียก่อน
“อ่ะ” เธอเดินไม่ทันระวังจึงเตะกล่องกระดาษที่ตั้งอยู่ข้างบันไดเข้าให้
“กล่องอะไร” คิ้วสวยขมวดเข้าหากันแล้วย่อตัวลงไปเปิดดูของภายในก็ต้องรีบปิดทันทีพร้อมทั้งดันให้มันเข้าไปอยู่ลึกกว่าเดิม
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้” จำได้ว่าล่าสุดเธอเอาไว้ในห้องเก็บของใต้บันไดไม่ใช่หรือ คิดอย่างสับสนแต่เสียงรถยนต์ที่ดังขึ้นหน้าบ้านเรียกความสนใจพอเดินออกไปดูก็พบว่าสงครามถือของพะรุงพะรังเข้ามาในบ้านจนต้องเดินไปรับ
“เอาอะไรมาคะ เยอะแยะไปหมด”
“เสื้อผ้าผมไง” เธอยืนนิ่งค้างทันทีแต่ร่างสูงกลับเดินเข้าบ้านอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“แล้วทำไมเอามาเยอะขนาดนี้คะ” ทำอย่างกับว่าจะมาลงหลักปักฐานที่นี่เสียอย่างนั้นแหละ
“ผมจะมาอยู่กับน้ำ” เขาตอบชัดเจนแล้วแย่งของในมือเธอมาถือเอาไว้ แล้วเดินขึ้นไปบนห้องนอนราวกับว่าบ้านนี้เป็นของตัวเองไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของบ้านก่อน
“พี่ครามยังไม่ขอน้ำเลยนะคะ” หล่อนเดินตามขึ้นไปบนห้องแล้วเอ่ยกับเขาน้ำเสียงไม่จริงจังนัก
“ต้องขอด้วยเหรอ ยังไงเราก็เป็นแฟนกันอยู่แล้ว” ใบหน้าหวานชะงักค้างกับสถานะที่ได้รับอย่างไม่ทันตั้งตัวทั้งที่รอเขาเอ่ยมาตลอด จนกระทั่งวันนี้ที่สงครามพูดขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาอึ้งจนยืนนิ่งอยู่กับที่มองเขาจัดแจงขอจนเกือบจะเสร็จ
“เรา..เป็นแฟนกัน เหรอคะ” พูดขาดหายทั้งแววตาเหม่อเหมือนล่องลอย
“ใช่” เขาพยักหน้าเหมือนเรื่องปกติ
“ตอนไหนคะ พี่ยังไม่ได้ขอเลย”
“ต้องขอด้วยเหรอ เรื่องแบบนี้เขารู้กันอยู่แล้ว”
อืม..อยู่ดีๆ ก็มีแฟนซะงั้น มีแบบไม่รู้ตัวด้วย
“อ่า เหรอคะ” เธออาจจะเป็นคนหลังเขาหรือเปล่าที่ไม่รู้คนเดียว การจะเป็นแฟนต้องขอก่อนไม่ใช่หรือไงเล่า แล้วอย่างนี้วันครบรอบจะนับเป็นวันไหน..
วันนี้ก็แล้วกัน คิดอย่างนั้นก็อมยิ้มก่อนจะเดินตรงไปที่ปฏิทินซึ่งตั้งไว้บนโต๊ะเยื้องกับเตียงนอนก่อนหยิบปากกาสีมาวงกลมรูปหัวใจไว้ เพียงเท่านี้ก็มีวันครบรอบเหมือนกับคนอื่นเขาแล้ว
“ลงไปกินข้าวกัน” เขาชวนพร้อมเดินมาโอบไหล่บางให้ชิดตัวก่อนเดินลงมาข้างล่างแล้วเลี่ยงไปห้องครัวด้านหลัง
“เอ่อ เดี๋ยวน้ำขอเก็บของก่อนนะคะ” ดวงตากลมโตเหลือบมองกล่องกระดาษก่อนหันมายิ้มให้เขา
“ของอะไรเหรอ ให้ผมช่วยไหม” ร่างสูงมีน้ำใจจะช่วยแต่หล่อนก็รีบปฏิเสธเสียงสูงอย่างมีพิรุธ
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ น้ำเก็บเอง พี่ครามไปทำอาหารเถอะ” ไม่อยากให้เขารู้ความลับของตัวเองที่ทรยศต่อบริษัท และหล่อนจะเก็บมันเอาไว้กับตัวเพียงคนเดียวถึงจะเป็นสงครามก็ไม่อาจให้รู้ได้
“โอเค” ร่างสูงเดินไปยังห้องครัวปล่อยให้เจ้าของบ้านเก็บกล่องกระดาษเอาเข้าไปไว้ในห้องเก็บของใต้บันไดแล้วล็อคห้องอย่างดีไม่ลืมเก็บกุญแจเอาไว้ใต้ตู้วางรองเท้าใกล้กัน ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วค่อยเดินไปยังห้องครัวทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พวกเขารับประทานอาหารเย็นด้วยกันโดยวันนี้สงครามเลือกจะทำอาหารง่ายๆ อย่างสเต็กเนื้อสันนอกราดซอสพริกไทยดำ และสลัดผลไม้รวมพร้อมน้ำแตงโมปั่นของโปรดเนตรนภา แน่นอนว่าทุกอย่างหมดเกลี้ยงด้วยรสมือเป็นเลิศของคุณสถาปนิกหนุ่มหล่อ
“ทำไมทำอาหารเก่งจังเลยคะ” ระหว่างที่เธอล้างจานแล้วเขาเก็บโต๊ะจึงถามขึ้น
“ผมไปเรียนเมืองนอกข้าวของก็แพง เลยต้องประหยัดทุกทาง” หล่อนไม่เคยถามเกี่ยวกับการไปเรียนหรือทำงานที่ต่างประเทศสักครั้งเพราะดูเหมือนชายหนุ่มไม่ค่อยอยากจะพูดถึงสักเท่าไหร่ มักหลีกเลี่ยงหรือเปลี่ยนเรื่องเสมอ
“จริงสิ น้ำซื้อชุดมาให้คุณด้วย” เมื่อล้างจานและเก็บครัวเสร็จแล้วเธอก็เดินไปที่หลังบ้านหยิบชุดที่ซักพร้อมรีดเรียบร้อยก่อนจะเอามาตากข้างนอกเข้ามาภายในบ้านทันที
ร่างสูงที่นั่งรอด้วยการดูโทรทัศน์เงยหน้ามามองคนตัวเล็กที่ถือชุดนอนคู่อยู่ด้วยใบหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้ ไม่รู้ว่าเขาควรจะดีใจหรือเสียใจดีกับชุดผ้าซาตินสีเข้มเข้ากันกับของหล่อนที่เป็นชุดนอนสายเดี่ยวกระโปรงยาวเพียงเข่า
อันที่จริง..ไม่ใส่อะไรนอนน่าจะเหมาะสุด
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นคะ ไม่ชอบเหรอ” เสียงกระเง้ากระงอดพร้อมใบหน้างอง้ำทำเอาเขาต้องรีบเอ่ยอย่างประจบ
“ชอบสิ ชอบอยู่แล้ว” ได้ยินอย่างนั้นหล่อนก็ค่อยยิ้มออก
“ไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนดูนะคะ” คิดว่าสีน้ำเงินน่าจะเหมะกับเขามากที่สุด ร่างสูงไม่อิดออดยอมทำตามที่เธอเสนอขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดปล่อยให้เนตรนภารออยู่ข้างล่าง ระหว่างนั้นเธอก็ดูละครหลังข่าวก่อนจะลุกขึ้นไปปิดประตูรั้วล็อคอย่างแน่นหนาแล้วปิดประตูบ้าน
และเมื่อหันหลังกลับมาก็พบหนุ่มร่างสูงในชุดนอนสีน้ำเงินผ้าซาตินแขนสั้นและกางเกงขายาว เขาดูเป็นคุณชายจนคนเลือกอย่างเธออดยิ้มไม่ได้
“นึกว่าลูกคุณหนูที่ไหนเลยนะคะ” เอ่ยเย้าเสียงหวาน
“คราวนี้น้ำขึ้นไปเปลี่ยนบ้าง” เธอยิ้มรับก่อนจะเดินขึ้นไปอาบน้ำยังชั้นสองพร้อมกับเปลี่ยนชุดที่ตัวเองซื้อมา เป็นสายเดี่ยวกระโปรงยาวเพียงเข่าเนื้อผ้าซาตินสีน้ำเงินเข้าชุดกับของร่างสูง เนตรนภาเลือกจะไม่ใช่ชั้นในเพราะรู้สึกอึดอัด
เมื่อทำความสะอาดเนื้อตัวเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาข้างนอกทว่ายังไม่ทันจะก้าวไปไหนร่างก็ถูกคว้าโดยคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงหล่อนมาชิดลำตัวจนแทบไม่มีที่ว่างให้อากาศผ่านไปได้
“ขึ้นมาตอนไหนคะ” เงยหน้าขึ้นสบตาเขาก่อนจะถามเสียงหวาน
“เมื่อกี้” ดูเหมือนว่าร่างสูงจะไม่ค่อยอยากสนทนาสักเท่าไหร่เขาโน้มตัวลงมาซุกที่ซอกคอขาวนวลพลางสูดดมทั้งยังจุมพิตไปทั่ว
“หอมจังเลย ใช้ครีมอาบน้ำของอะไร” ยิ่งใกล้ก็เหมือนยิ่งติดจนไม่อาจละไปไหนได้ เธอผลักเขาออกห่างกายก่อนจะเอ็ดทางสายตาทว่าไม่จริงจังเท่าไหร่นัก
“ก็ใช้ตัวเดียวกัน ถามทำไมคะ” มือหนาเปลี่ยนเป็นโอบเอวบางแล้วพาเดินเข้าห้องนอนทั้งที่ยังไม่ดึกเท่าไหร่นัก
“มันคนละกลิ่น ของน้ำหอมแบบอยากซุกจมูกไว้ตลอด” พูดไม่พอเขาคว้าใบหน้าหวานมามอบจุมพิตแสนพิเศษให้และร่างบางก็ไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มรุกฝ่ายเดียวเธอกลับเขย่งปลายเท้าโอบรอบลำคอหนาบดเบียดเนื้อกายราวต้องการยั่วเย้า
“อือ เดี๋ยวนี้ยั่วเป็นแล้วเหรอเรา” ผละห่างกันเพียงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะถามเสียงพร่าเพราะอารมณ์ปรารถนาถูกหล่อนปลุกขึ้นมาเสียงแล้ว ไหนจะชุดที่ลื่นมือลูบไปตรงไหนก็ถูกใจไปเสียหมดนั่นอีก
เขาดันหล่อนไปชิดกำแพงก่อนจะลูบไล้ไปทั่วกายค่อยย่อตัวลงไปนั่งกับพื้นเลิกกระโปรงพลิ้วขึ้นแล้วรูดชั้นในตัวเล็กออกจากร่างบางค่อยชิมความหวานจากกลีบดอกไม้งามสร้างความเสียวกระสันให้หล่อนจนต้องครางรับไม่เป็นภาษา
“พี่คราม มันสกปรก” พยายามจะห้ามเขาแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงเสียเหลือเกิน
“หวานต่างหาก” ใบหน้าหวานแหงนขึ้นเมื่อเขาใช้ความชำนาญนำทางเธอก่อนชายหนุ่มจะค่อยไล้ขึ้นมายังหน้าท้องเนียนโดยลากชุดนอนขึ้นมาด้วยแล้วถอดออกด้วยความเต็มใจของคนตัวเล็กทั้งที่เพิ่งใส่ได้ไม่ถึงสิบนาที