๓ วันฝนพรำ (๑)
๓
วันฝนพรำ
ความสนิทสนมของสองหนุ่มสาวเป็นที่เลื่องลือไปทั่วบริษัทและดูเหมือนว่าสงครามจะไม่สนใจคนรอบข้างเลยสักนิด เช่นเดียวกับเนตรนภาที่กำลังตกเป็นประเด็นให้ขาเม้าได้กล่าวถึง หล่อนไม่ให้ค่าหรือราคากับความอิจฉาเหล่านั้นมุ่งทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่
โครงการของ SOP Group เริ่มเป็นรูปร่างแล้วโดยการระดมความคิดจากสถาปนิกเก่งๆ ในบริษัททั้งคุณอากร พิชิตสมุทรซึ่งเป็นสถาปนิกชื่อดังอีกทั้งเป็นเจ้าของสมุทรธารา ดีไซน์ลงมาดูงานเองทำเอาคนที่มองท่านเป็นต้นแบบอย่างเนตรนภาอดตื่นเต้นไม่ได้
เธอติดตามผลงานออกแบบของคุณอากรมาตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ด้วยซ้ำ อีกทั้งมองท่านเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานมาโดยตลอดจึงอดจะเหลือบมองทุกครั้งยามได้ทำงานร่วมกันไม่ได้
“ไปกินข้าวเที่ยงกัน” เมื่อถึงเวลาคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็ชะโงกหน้าผ่านกระจกกั้นมาเอ่ยชวนพร้อมแววตาออดอ้อน
“ยังทำงานไม่เสร็จเลย” ไม่ยอมละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์จนสงครามต้องถอนหายใจก่อนเดินมายืนข้างหลังหล่อนแล้วโน้มตัวไปกดเซฟงานให้อย่างรวดเร็ว
“คุณ” หันมาเตรียมจะเอ็ดแต่ก็ต้องเงียบเมื่อใบหน้าเขาอยู่ใกล้เกินไปและมันอันตรายต่อหัวใจเธอเหลือเกิน
“ไปกินข้าวครับ” ย้ำคำพูดพร้อมกับหยิบกระเป๋าของหญิงสาวขึ้นมาถือให้โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองมาสักนิด
ตอนนี้ชายหนุ่มหลายคนเป็นศัตรูกับสงครามเพราะมาแย่งหญิงสาวที่เปรียบดังหัวใจของคนทั้งบริษัทไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเนื่องจากร่างสูงเหมือนจะเป็นลูกรักของคุณสันติสุขทำอะไรก็เห็นดีเห็นงามด้วยไปเสียหมด
“แล้วน้ำเลือกได้เหรอคะ” หากอยู่ในบริษัทเลือกจะแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นและเรียกเขาว่าคุณแทน ไม่อยากให้สนิทสนมเกินไป แม้ตอนแรกสงครามจะค้านสุดเสียงก็ต้องยอมจำนนต่อหล่อนไม่เช่นนั้นจะถูกเรียกว่าลุงแทน
ใครจะอยากแก่กันเล่า เขายังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ
“กินอะไรดี” ระหว่างทางก็ถามความคิดเห็น
“อะไรก็ได้ค่ะ” โจทย์นี้ยากกว่าถามลูกค้าว่าต้องการบ้านแบบไหนอีก การให้สุ่มเลือกอาหารที่มีหลากหลายชนิดบนโลกนี่มันเกินความสามารถของเขาจริงๆ
“แล้วน้ำอยากกินอาหารไทย ญี่ปุ่น เกาหลี อิตาเลียน หรืออินเดียดี” ไล่ให้เลือกซึ่งเธอก็นิ่งคิดไปชั่วครู่
“อาหารญี่ปุ่นค่ะ น้ำอยากกินซูชิ” แบบนี้ค่อยไปกันได้หน่อย เขาพยักหน้ารับแล้วเดินนำไปที่รถยนต์ก่อนจะขับตรงไปที่ห้างสรรพสินค้าเลือกกินอาหารญี่ปุ่นตามที่หญิงสาวต้องการ
พวกเขาใช้เวลาช่วงเที่ยงด้วยกันก่อนที่ร่างสูงจะไปส่งเธอที่บริษัท ส่วนตัวเองก็ขับรถไปคุยงานกับลูกค้าเรื่องแบบบ้านพร้อมวิศวกรหนุ่มหล่อจากบริษัท วิจิตร จำกัด (มหาชน)
“อาหารคงอร่อยเนอะ สงสัยใส่ยาผัวรักผัวหลงเข้าไป” เดินเข้ามาภายในตึกสูงก็โดนคำค่อนขอดจากเพื่อนร่วมงานทันทีซึ่งหล่อนก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้จึงต้องจิกกัดกันทุกครั้งที่เจอขนาดนี้
“ตายแล้ว ทำบ่อยเหรอคะถึงได้รู้ ก็อย่างว่าแหละนะ ถ้าดูแค่หน้าตาเนี่ยหมายังเมินเลย” คนอย่างเนตรนภาไม่ปล่อยให้ใครกัดอยู่ฝ่ายเดียว หล่อนไม่ใช่นางเอกที่ทำเป็นเพียงบีบน้ำตาเท่านั้น หากให้สู้ด้วยวาจาก็ไม่ถอยเช่นเดียวกัน
“นี่แกว่าฉันเหรอ อีน้ำ” เรียกชื่อด้วยคำไม่สุภาพแต่ดูเหมือนว่าเนตรนภาจะไม่โกรธเลยสักนิดยังฉีกยิ้มให้อีกด้วย
“ใช่ ว่าแกนั่นแหละอีกุ๊กไก่” ตอบกลับพลางยกมือขึ้นกอดอกแล้วมองหน้าผกามาศพร้อมพรรคพวกอย่างหาเรื่อง ไม่ใช่แค่ปากที่ดีแต่ฝีมือการต่อสู้หญิงสาวก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ทั้งคาราเต้ ยูโด เทควันโดผ่านมาหมดแล้ว
“แก” คู่กรณียกมือหมายจะตบแต่เนตรนภากลับแสยะยิ้มมุมปากพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ
“ถ้าอยากให้เรื่องถึงพี่สันต์ก็เอาเลย” แค่นั้นการกระทำต่างๆ ก็หยุดลงทันที แค่นี้ก็โดนด่าแทบจะวันเว้นวันอยู่แล้ว ไม่อาจหาญหาเหาใส่หัวตัวเองอีก
“ถ้าอยากสู้กันจริงๆ เจอที่สนามเทควันโด พร้อมเมื่อไหร่ก็นัดวันมา” เสนอทางเลือกให้อีกฝ่ายพร้อมกับหมุนตัวเดินไปกดลิฟต์พลางฮัมเพลงอย่างมีความสุขไม่ได้ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด ปล่อยให้ฝ่ายนางร้ายเต้นเร่าๆ อยู่พร้อมกลุ่มเพื่อน
“ภพ ไม่ไปกินข้าวเหรอ” ขึ้นมาที่ชั้นทำงานของตัวเองก็พบว่าเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวนั่งจดจ่ออยู่หน้าจอคอมเหมือนเดิม
“เรียบร้อยแล้ว” หล่อนพยักหน้าก่อนจะวางกระเป๋าไว้ที่เก้าอี้แล้วเริ่มทำงานในช่วงบ่าย ทว่ายังทำไปได้ไม่ถึงครึ่งก็โดนคนนั่งโต๊ะข้างๆ เรียกเสียก่อน
“คุณน้ำปิง..” เธอไม่ได้หันไปแต่ก็ตอบรับ
“หือ มีอะไรเหรอ”
“คุณน้ำปิงกับคุณสงคราม คบกันอยู่เหรอครับ” คำถามนั้นทำเอาใบหน้าหวานต้องหันไปมองคนที่ต้องการคำตอบซึ่งจ้องมองหล่อนอยู่ก่อนหน้าแล้ว
จะเรียกว่าคบกันได้ไหม..ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้นแค่ลองศึกษานิสัยใจคอกันเฉยๆ สงครามไปรับไปส่งและกินข้าวด้วยกัน ตอนนี้ก็ผ่านมากว่าสองสัปดาห์แล้วทำให้เธอเริ่มชินที่มีเขาอยู่ข้างกายจนความรู้สึกพัฒนาขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
ทว่ากลับไม่มีใครคิดจะเอ่ยเลื่อนสถานะอย่างจริงจังเสียที บางคราวเธอก็รอให้เขาพูดก่อนแต่อีกฝ่ายกลับเก็บเงียบ
“ก็ไม่เชิงหรอก” ไม่รู้จะตอบอย่างไรกับความสัมพันธ์ตอนนี้
“ภพถามทำไมเหรอ” หนุ่มแว่นยิ้มเพียงเล็กน้อย
“แค่สงสัยไม่อยากฟังจากคนอื่น อยากถามเองมากกว่า” ได้ยินอย่างนั้นก็สร้างความประทับใจให้แก่เธอจนยิ้มกว้าง
“ขอบคุณนะที่ถามกับเรา ภพเป็นเพื่อนคนเดียวในที่ทำงานของเราเลยนะ” อีกฝ่ายส่ายหน้า
“มีคนอยากเป็นเพื่อนคุณน้ำตั้งเยอะ อย่าไปสนใจคนกลุ่มเดียวเลย” อันที่จริงเธอก็มีเพื่อนผู้หญิงอยู่เหมือนกันแต่ไม่ได้สนิทมากนัก รู้จักกันเพียงผิวเผินเท่านั้นแต่ก็เคยไปรับประทานอาหารหรือเที่ยวด้วยกันในบางครั้ง
โลกก็ไม่ได้โหดร้ายกับเธอเสมอไปหรอก
“นั่นสิ ขอบใจที่เตือนเรานะ” ปภพพยักหน้าแล้วหันกลับไปทำงานของตัวเองทิ้งให้เนตรนภาจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
ไม่รู้ว่าแสงอาทิตย์ข้างนอกหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีมือหนามาทาบทับพร้อมกดเซฟงานให้หล่อนจนต้องเหลียวไปมองพบว่าเป็นสงครามนั่นเอง เธอไม่ได้ตกใจเหมือนตอนแรกรู้ดีว่าคนที่ทำแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก..เขาเท่านั้น
“สองทุ่มแล้ว ยังจะทำงานอีกเหรอ” อย่าว่าแต่สองทุ่มเลย แต่ก่อนเธอเคยทำงานโต้รุ่งถึงตีสี่ด้วยซ้ำวันต่อมาก็มาพรีเซ้นตั้งแต่เก้าโมงแทบไม่มีเวลานอน ช่วงนี้ถือว่าดีมากแล้วที่ไม่มีงานเข้ามาเยอะเพราะมุ่งทำโปรเจคใหญ่
“ก็มันยังไม่เสร็จนิคะ” ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า
“แน่ใจเหรอว่าทำงาน” ชั่วขณะหนึ่งหล่อนเห็นเหมือนแววตาคมเปลี่ยนไปจนต้องจ้องเขานิ่งอีกฝ่ายจึงได้ยิ้มให้
“ไม่ใช่ว่าคิดถึงผมอยู่เหรอ” เปลี่ยนเป็นคำหวานที่ทำเอาคนตัวเล็กต้องยกมือขึ้นตีแขนหนา
“เลี่ยนตลอด” ส่ายหน้ากับมุกของเขาแล้วเริ่มเก็บโต๊ะรู้ดีว่าถ้ารั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ สงครามเอาแต่ใจตัวเองจะตาย
“เดี๋ยวผมไปส่ง” เป็นอย่างนี้ทุกวันที่ชายหนุ่มมักจะไปส่งถึงบ้านประหยัดค่ารถไปในตัวจนหล่อนเริ่มจะติดเป็นนิสัยเสียแล้ว ไม่น่าเล่าทำไมคนเขาถึงอยากมีแฟนกันนัก นอกจากจะมีความสุขทางใจแล้วบางคราก็เอื้ออำนวยความสะดวกต่างๆ ให้อีกด้วย
สองหนุ่มสาวเดินเคียงกันออกจากที่ทำงานพร้อมขึ้นรถกลับบ้าน ระหว่างทางก็มีเรื่องเล่ามากมายโดยที่เนตรนภาเป็นผู้กุมบทสนทนาทั้งหมดเอาไว้ เล่าเรื่องลูกค้าบ้างหรือของที่ตัวเองชอบจนคนขับฟังแทบไม่ทันแต่ก็ไม่ได้รำคาญกลับรู้สึกสนุกไปกับคนข้างกายด้วยซ้ำ
“อะไรคะ” เมื่อลงรถก็เห็นร่างสูงเดินไปเปิดท้ายรถพร้อมถือถุงมากมายลงมาด้วยจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อาหารเย็น”
“แต่ว่าน้ำทำไม่ค่อยอร่อยนะ” ออกตัวไว้ก่อนเมื่อเห็นว่าไม่ใช่อาหารสำเร็จรูป มีทั้งผักและเนื้อสัตว์มากมาย
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมทำเอง” เขาไม่ได้ขออนุญาตหล่อนกลับเดินเข้าไปภายในบ้าน รอเจ้าของมาเปิดก็ทำราวกับว่าบ้านไม้สองชั้นหลังกะทัดรัดเป็นบ้านของตัวเองทันที
เดินไปครัวที่อยู่ด้านหลังแล้ววางถุงทั้งหมดไว้ยังโต๊ะอาหาร ไม่ลืมพับแขนเสื้อพร้อมปลดกระดุมออกสองเม็ดเผยให้เห็นแผงอกล้ำ และเสน่ห์อันล้นเหลือของสถาปนิกหนุ่มสุดหล่อจนเจ้าของบ้านได้แต่มองด้วยแววตาหวาน
“ผมคิดค่ามองนะ” เขาไม่ได้หันมามองหล่อนแต่เอ่ยขึ้นลอยๆ จนคนที่กำลังแอบมองต้องแสร้งกระแอมแล้วตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ก็น้ำแค่จะถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม”
“ช่วยส่งใจมาให้ผมก็พอครับ” คราวนี้ชายหนุ่มหันมาพร้อมขยิบตาให้อย่างคนขี้เล่นโดยไม่รู้เลยว่าใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะกับการกระทำของเขา
ร่างบางกลายเป็นเจ้าหญิงที่นั่งคอยให้พ่อครัวนำอาหารมาเสิร์ฟ เธอจ้องแผ่นหลังกว้างซึ่งง่วนกับการทำสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาทะเล สลัดผัก และซุปครีมเห็ดอย่างขะมักเขม้นจนหล่อนประทับใจ เขาดูชำนาญในการทำอาหารราวเป็นเชฟในภัตตาคารชื่อดัง ไม่เก้กังเลยสักนิด จนแอบให้คะแนนในใจ เต็มสิบเธอให้ร้อย!
เมื่อทุกอย่างเสร็จก็ช่วยกันจัดจานพร้อมนำมาวางไว้บนโต๊ะโดยที่เจ้าของบ้านไม่ลืมถ่ายรูปเอาไว้เป็นความประทับใจครั้งแรกที่ได้รับประทานอาหารฝีมือสงคราม ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไรแต่ว่าหน้าตาสวยงามให้ผ่านทันที
“ขอบคุณสำหรับอาหารนะคะ” นั่งประจำที่พร้อมเอ่ยขอบคุณ
“ยินดีครับ” จากนั้นจึงเริ่มลงมือทานอาหารเย็นด้วยกันทันที ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเพราะประทับใจในรสชาติที่อร่อยของอาหารตรงหน้า ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมีฝีมือขนาดนี้จนหล่อนต้องกล่าวชม
“อร่อยมากค่ะ” คนฟังยิ้มรับอย่างดีใจ
“ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ” พยักหน้าพร้อมจัดการอาหารตรงหน้าทั้งพูดคุยเกี่ยวกับงานโดยที่สถาปนิกหนุ่มให้คำแนะนำบ้างเล็กน้อย
“อิ่มมาก” เมื่อทานอาหารหมดเหลือเพียงจานเปล่าเธอก็ลูบท้องเพราะอาการแน่น กินอะไรก็อร่อยไปเสียหมดหากเขาทำให้บ่อยคงได้อ้วนเป็นหมูแน่ ดวงตาคมมองมาอย่างนึกเอ็นดูแล้วเริ่มเก็บจานไปล้างโดยที่ร่างบางรีบลุกขึ้นมาแย่งหน้าที่
“เดี๋ยวน้ำล้างเองค่ะ พี่สงครามทำให้กินแล้วไปนั่งรอเถอะนะ” เขาไม่ขัดเจตนาของเธอจึงยอมปล่อยให้ร่างเล็กล้างจานเพียงลำพังและเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วท้องฟ้าที่เคยนิ่งสงบกลับมีฝนพรำก่อนจะเพิ่มความแรงขึ้นเรื่อยๆ จนตกกระทบหลังคาแทบไม่ได้ยินเสียงอื่น
ฟ้าร้องคำรามดังก้องจนรู้สึกว่าบ้านสั่นสะเทือนต้องรีบออกไปหาร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงห้องรับแขกห้องใหญ่ เขามีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัดจนหล่อนต้องเอ่ยถาม