๑ ฉันทำได้ (๒)
ห้องประชุมบรรทมสินธุเป็นห้องสโลปขนาดใหญ่สามารถจุคนได้กว่าหนึ่งร้อยและตอนนี้ก็มีสถาปนิกสามสิบชีวิตจับจองที่นั่งกันเรียบร้อยพร้อมทั้งคาดหวังว่าการเรียกรวมครั้งนี้จะต้องมีงานใหญ่เกิดขึ้นเป็นแน่
สถาปนิกจะแยกกันเป็นสามกลุ่ม คือกลุ่มออกแบบโครงสร้างที่อยู่ในการดูแลของคุณสันติสุข กลุ่มออกแบบภายในอยู่ภายใต้การดูแลของคุณเศวต กลุ่มออกแบบโรงงานอุตสาหกรรมภายใต้การดูแลของคุณกมล ซึ่งสามกลุ่มมีความสามารถและศักยภาพที่ยอดเยี่ยมจนลูกค้าเอ่ยคำชมไม่ขาดปาก
“ขอโทษที่รบกวนเวลาทำงานของทุกคน” หัวหน้ากลุ่มทั้งสามคนเดินขึ้นบนเวทีโดยชุดที่ใส่นั้นค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง
คุณกลมมาในมาดของผู้บริหารใส่สูทผูกไท ในขณะที่คุณสันติสุขอยู่ในชุดเสื้อยืดสวมทับด้วยเสื้อม่อฮ่อมตัวเก่งกับกางเกงแสลคที่ดูไม่เข้ากันเท่าไหร่นัก และคุณเศวตที่สวมเสื้อยืดคอปกพร้อมสำหรับออกรอบตีกอล์ฟ
“จะมีการสร้างคอนโดติดแม่น้ำเจ้าพระยาของเครือ SOP Group” เพียงแค่ได้ยินชื่อทุกคนก็ร้องอุทานทันที เพราะ SOP Group เป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจครอบคลุมทั้งห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหารในเครือมากมาย
“งบประมาณในการออกแบบเจ็ดสิบล้าน” เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินงบประมาณที่เครือใหญ่ทุ่มไม่อั้น แสดงให้เห็นว่าคอนโดมิเนียมแห่งนี้จะต้องเป็นทอคออฟเดอะทาวน์หลังสร้างเสร็จเป็นแน่
“แต่ว่าเรายังไม่ได้งานนะ เขาต้องการให้เราแข่งกับไทยโหลด ดีไซน์” ไม่น่าเชื่อว่าบริษัทใหญ่อย่างสมุทรธารา ดีไซน์จะต้องไปแข่งกับบริษัทที่เพิ่งเปิดมาได้เพียงสิบกว่าปีแต่ฝีมือการออกแบบนั้นไม่ธรรมดาสักนิด
“เขามีทีมวิศวกรอยู่แล้วคือวิจิตร จำกัด ตอนนี้ก็เหลือแค่งานออกแบบที่เราต้องเอาไปสู้”
“ผมขอเลือกสถาปนิกที่จะทำโครงการ SOP Group เลยแล้วกัน” ทุกคนต่างตื่นเต้นเพราะอยากได้รับเลือกให้ทำโครงการนี้ทั้งนั้น ไม่เพียงแค่เพื่อบริษัทแต่เพื่อตัวเองที่จะมีชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ด้วยเช่นเดียวกัน
“สถาปนิกออกแบบโครงสร้าง ไอ้นิก ไอ้น้ำปิง ไอ้ฉัตร ไอ้ปิ๊ก แล้วก็ไอ้ปภพ” คุณสันติสุขเรียกชื่อด้วยความสนิทสนมทำเอาคนที่มีรายชื่อต่างร้องตะโกนไชโยกันเป็นแถวไม่คิด
เนตรนภายิ้มพร้อมหันไปกอดคอปภพที่นั่งข้างกันไม่คิดว่าคนตัวเล็กในบริษัทแห่งนี้อย่างหล่อนและเพื่อนสนิทจะได้เข้าร่วมโครงการใหญ่ระดับประเทศขนาดนี้ ตื่นเต้นจนมือสั่นไปหมดโดยไม่ได้ดูเลยว่าคนที่โดนกอดคอหน้าแดงมากเพียงไรที่ได้ใกล้ชิดเธอขนาดนี้
ส่วนแผนงานอื่นก็ถูกขานชื่อจนครบและดูเหมือนว่าการประชุมกำลังจะจบลงคุณเศวตกลับมีเรื่องสำคัญพูดกับทุกคนเสียก่อน
“นอกจากเรื่องนี้ ผมมีข่าวดีอีกเรื่องที่จะบอกทุกคน เรามีน้องใหม่มาร่วมงานด้วยครับ” เอ่ยเพียงเท่านั้นประตูด้านหน้าก็ถูกเปิดออกพร้อมการปรากฏตัวของหนุ่มหล่อรูปร่างสูงที่มีใบหน้าราบเรียบอยู่เป็นนิจ ทว่าเมื่อเห็นทุกสายตามองมาก็ยิ้มมุมปากให้จนหญิงสาวหลายคนใจละลายเมื่อได้มอง
ไม่เว้นแม้กระทั่งเนตรนภา..
“สวัสดีครับ ผมสงคราม พัฒนวัตร ขอฝากตัวด้วยครับ” เสียงปรบมือดังก้องห้องจากเหล่าผู้หญิงที่ชื่นชอบสถาปนิกหนุ่มคนใหม่ เขากวาดสายตาไปทั่วห้องก่อนจะหยุดลงที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกลางจนหล่อนต้องหลบสายตา
“เงียบหน่อยๆ สงครามจะอยู่ภายใต้การดูแลของคุณสันติสุข” เนตรนภาหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อคิดว่าจะต้องทำงานร่วมกับเขา
“เลิกประชุมได้” เป็นการประชุมที่เร็วที่สุดเพราะเพียงแค่สามสิบนาทีก็จบการประชุมเสียแล้ว ทุกคนแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง ส่วนคนที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานโครงการ SOP Group จะมีการประชุมต่อในช่วงเย็นของวันนี้
“สงครามก็ไปแนะนำตัวแล้วก็เริ่มงานได้เลย” ร่างสูงรับคำด้วยการค้อมศีรษะแล้วเดินตามคุณสันติสุขไปยังชั้นสี่ทันที ระหว่างนั้นก็พูดคุยกันเป็นปกติโดยรับรู้ตลอดเวลาว่ามีสายตาหลายคู่หันมามองทว่าไม่ได้สนใจเท่าไหร่
เขาชินเสียแล้วกับการถูกจับจ้องเพราะมันเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ไม่ได้หลงตัวเองแต่ความจริงหน้าตาที่ดีก็ค่อนข้างน่ารำคาญเหมือนกันที่กลายเป็นจุดสนใจได้ง่าย
“ทุกคน นี่สงคราม” แนะนำเพียงเท่านั้นก็ปล่อยให้สถาปนิกคนใหม่นั่งประจำที่ของตัวเองโดยไม่ขยายประโยคหรือแนะนำคนในทีมเลย ปล่อยให้ได้ทำความรู้จักกันเอาเอง
“กุ๊กไก่ เอางานมาให้ข้าดูด้วย” คุณสันติสุขยังติดสรรพนามข้าเอ็งจนมาเรียกคนในความดูแล ยามแรกก็ไม่ชินแต่เมื่อพูดบ่อยเข้าทุกคนก็รู้สึกชินกันไปเองโดยปริยาย
“ค่ะพี่สันต์” คนที่เป็นแม่ทัพขาประจำในการเม้าเรื่องคนอื่นตอบเสียงอ่อยเพราะงานแทบไม่เดิน หล่อนโดนลูกค้าสั่งแก้เกือบสามรอบแต่ไม่ว่าจะแก้เท่าไหร่ก็ไม่ผ่านเสียที
ก่อนจะถึงมือลูกค้าก็ต้องให้หัวหน้าพิจารณาและพี่สันต์เนี่ยแหละคือคนที่ไม่ยอมให้งานเธอผ่านสักทีทั้งที่ในสายตาของผกามาศมันก็ดีอยู่แล้ว
“พี่กุ๊กไก่คะ สู้ๆ นะคะ” เนตรนภาให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มหยันจนผกามาศแทบจะเปลี่ยนทางเดินถลาเข้ามาตบใบหน้าหวานเสียเดี๋ยวนั้น แค่อีกฝ่ายได้รับเลือกให้ทำโครงการของ SOP Group เธอก็แทบจะลงไปดิ้นเร่าๆ บนพื้นแล้ว
“เออไอ้น้ำช่วยสอนงานน้องใหม่ด้วย” คุณสันติสุขเดินออกมาบอกลูกน้องที่สนิทอีกครั้งทำเอาเนตรนภาชะงักไปทันทีก่อนจะหันมองสงครามที่จ้องหล่อนอยู่ก่อนหน้าแล้ว
“อ่า คะ ค่ะ” แทบจะไล่ระดับเสียงให้ครบด้วยความคาดไม่ถึง
“ฝากตัวด้วยนะครับ” แล้วสงครามก็เดินมาตรงหน้าพร้อมยิ้มให้เธอจนทำเอาตาพร่ามัว ใช่ว่าไม่เคยเห็นคนหล่อแต่ไม่รู้ทำไมกับผู้ชายคนนี้ถึงได้มีเสน่ห์ที่แตกต่างจากคนอื่นจนทำให้หล่อนรู้สึกไม่ปกติ ใบหน้าร้อนวูบวาบ ใจพาลจะสั่นเอาเสียดื้อๆ เพียงสบตา
“ค่ะ” สาวคนอื่นต่างอิจฉาเนตรนภาแล้วจ้องอย่างกินเลือดกินเนื้อ คราวนี้คงมีเรื่องได้เม้ากันอีกยาว
“ผมสงคราม คุณ..”
“น้ำปิงค่ะ” เขาพยักหน้าก่อนจะนั่งลงตรงข้ามหล่อนซึ่งเป็นโต๊ะที่ว่างพอดี ช่างเหมาะเจาะอะไรอย่างนี้
“ถ้ามีอะไรให้ผมช่วย บอกได้นะ”
เธออยากจะหายไปจากตรงนี้เสียให้ได้ แววตาเขาร้ายกาจเกินไปแล้ว เพียงแค่มองก็เหมือนโดดดูดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่มีแต่หน้าสงครามเต็มไปหมด
“ค่ะ” สงครามยังไม่ทันได้เปิดคอมพิวเตอร์ก็มีเพื่อนร่วมงานผู้หญิงหลายคนตรงเข้ามาหาพลางเอ่ยแนะนำตัวจนจำแทบไม่หมด ต่างจากเพื่อนผู้ชายที่เขม่นกันตั้งแต่วันแรก อาจเพราะเขามีพี่เลี้ยงสาวสวยอย่างเนตรนภาคอยสอนงานก็เป็นได้
การทำงานวันแรกของสงครามก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นักเรียกได้ว่าเขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ นั่งถอนหายใจทิ้งจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงานและคนอื่นลุกกันออกไปหมดแล้วจะเหลือก็เพียงแต่เนตรนภาที่นั่งหน้านิ่วอยู่ฝั่งตรงข้ามให้เขามองเป็นอาหารตา
“คุณทำงานเลิกค่ำแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ” เมื่อเห็นว่าคนกลับหมดแล้วทั้งท้องฟ้าข้างนอกก็เริ่มเปลี่ยนสีจึงได้เอ่ยถามขัดความเงียบที่เริ่มคืบคลานเข้ามา
“คะ อ้อ บางวันเท่านั้นแหละค่ะ ตายแล้ว ฉันมีประชุมทีม” มองเวลาก่อนจะหันซ้ายหันขวาหาเพื่อนอย่างปภพก็เห็นเพียงกระเป๋าของอีกฝ่าย
“ถ้าคุณจะหาเพื่อนที่นั่งข้างๆ เขาเรียกคุณหลายรอบแล้วผมเลยบอกให้ไปก่อน เดี๋ยวผมเรียกคุณเอง” ไขข้อสงสัยให้กระจ่างก่อนที่ร่างบางจะรีบหยิบสมุดปากกามุ่งตรงไปที่ห้องทำงานของสถาปนิกออกแบบภายในซึ่งอยู่ชั้นห้าอย่างรวดเร็ว
และเมื่อภายในชั้นสี่ไร้ผู้คน สงครามจึงลุกขึ้นบิดขี้เกียจพลันสายตาที่เคยมีแววขี้เล่นก็มลายไปเปลี่ยนเป็นคมดุราวเสือร้าย เขาเริ่มออกล่าทันที...
เนตรนภาเดินออกจากห้องประชุมอย่างไร้เรี่ยวแรง กว่าสามชั่วโมงที่นั่งคิดคอนเซ็ปช่วยกันคว้าน้ำเหลวเมื่อไม่ได้อะไรเลยจนต้องเลิกแต่เพียงเท่านี้ ปภพเดินมาหยุดข้างกายก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เธอส่ายหน้าทันที
“แค่เครียด” เป็นแบบนี้บ่อยครั้งยามที่มีงานเร่งด่วนหรืองานใหญ่ที่ต้องระดมสมอง ตอนเรียนว่ายากแล้วการทำงานเนี่ยสิสนามรบของจริง ยากกว่าเป็นล้านเท่า
“เอาน่า เดี๋ยวก็คิดออก” ปลอบใจขณะพากันเดินลงไปเอากระเป๋าที่ห้องทำงานและเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าไฟยังเปิดสว่างแทบทุกดวงพร้อมร่างสูงของน้องใหม่ซึ่งนั่งอยู่โต๊ะของตัวเองไม่ยอมกลับบ้านเสียที
“อ้าว ยังไม่กลับบ้านเหรอ” เนตรนภาถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ผมเฝ้ากระเป๋าให้พวกคุณ แล้วก็..อ่านเอกสารของบริษัทเป็นการศึกษานิดหน่อย” ร่างบางยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณในขณะที่ปภพไม่ได้เอ่ยอะไร และบางทีก็จัดอยู่ในประเภทไม่ค่อยชอบหน้าเด็กใหม่เสียด้วย
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ” เดินลงมาด้วยกันสามคนพร้อมโบกมือลาเมื่อปภพเดินแยกไปอีกทางหนึ่ง
“ครับ” หนุ่มแว่นเดินไปขึ้นรถยนต์แล้วขับกลับบ้านของตัวเองทันทีปล่อยให้เนตรนภายืนอยู่ข้างกายสงครามทั้งที่ใจไม่ชอบสักนิด
“คุณกลับบ้านยังไง” อันที่จริงก่อนหน้านี้ปภพก็อาสาไปส่งแต่หญิงสาวเกรงใจจึงปฏิเสธ
“แท็กซี่ค่ะ” ตอบตามความจริงเพราะตัวเองไม่ได้มีรถยนต์เนื่องจากเห็นว่าไปรถโดยสารก็สะดวกดีอยู่แล้ว
“ผมไปส่งดีกว่า ค่ำขนาดนี้กลับแท็กซี่มันอันตราย” รีบส่ายหน้าทันที
“ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้ค่ะ”
“ผมอยากไปส่ง ให้ผมไปส่งนะ” เขามองมาที่เธอนิ่งพร้อมแววตาหวานจนคนถูกมองลอบกลืนน้ำลายลงคอไม่คิดว่าจะมาเจอไม้เด็ดของหนุ่มหล่อเข้าให้ แล้วอย่างนี้จะปฏิเสธได้อย่างไร
“แต่ว่า” กำลังจะอ้าปากแต่เขาก็เอานิ้วชี้มาหยุดคำพูดของหล่อนไว้ด้วยการแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากเสียก่อน
“อย่าดื้อสิครับ” ใครสอนเขาให้ใช้คำพูดแบบนั้นพร้อมรอยยิ้มมุมปากกับผู้หญิงที่จิตใจบอบบางอย่างหล่อนกันนะ แบบนี้ไม่เขินจนตัวแทบระเบิดก็ให้มันรู้ไปสิ
เขาช่างเหมาะกับชื่อสงครามจริงๆ ทำลายล้างได้ทั้งบาง
“ป่ะ เดี๋ยวผมไปส่ง” เมื่อเห็นว่าเนตรนภาไม่ขัดขืนก็จับข้อมือหล่อนให้เดินตามไปยังรถยนต์ฮอนด้าสีขาวก่อนจะเปิดประตูให้หล่อนขึ้นไปนั่งแล้วอ้อมมาอีกทางประจำที่คนขับ
พบกันได้เพียงวันเดียวเขาก็ได้ไปส่งที่บ้านแล้ว ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากทำงานด้วยกันไปนานกว่านี้เขาจะได้หัวใจเธอไปด้วยหรือเปล่า
หรือว่าจะเป็นเธอที่มอบหัวใจให้เขา...ตั้งแต่วันนี้