บทที่ 5
“เอ๊ะ! นี่ไม่ใช่ทางไปบ้านฉายนี่คะ”
หญิงสาวทักท้วงเมื่อมองทางข้างหน้าแล้วเธอไม่รู้สึกคุ้นเคย ไม่มีตรงไหนบอกเลยว่าเส้นทางนี้จะไปบ้านของเธอที่ต่างจังหวัด
จันทร์ฉายหันไปมองคนตัวโตด้านข้างที่กำลังทำหน้าที่ขับรถอยู่ ทว่าคำถามของเธอกลับไม่ได้รับคำตอบจากเขา หญิงสาวรู้สึกขัดใจแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ จึงได้นั่งหน้าบูดบึ้งอยู่แบบนั้น
เดิมทีเธอตั้งใจจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดในเช้าวันนี้ด้วยตัวเองคนเดียว แต่ก็ไม่สามารถทำตามความต้องการของตัวเองได้ เพราะชายหนุ่มอย่างสงกรานต์ไม่ยอมปล่อยเธอคลาดสายตาเลย
ครั้นเมื่อเขาเห็นเธอหยิบกระเป๋าชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาคว้ากระเป๋าเดินทางของเธอไปถือไว้ซะเอง พอเธอจะแย่งกลับมาก็เจอเขาทำตาดุพร้อมกับคำพูดที่เธอเถียงไม่ได้ว่า
‘ไหนหมอสั่งห้ามยกของหนักไง ไม่ห่วงลูกที่อยู่ในท้องเหรอ ?’
จันทร์ฉายจึงต้องปล่อยเลยตามเลย ให้เขาเป็นคนจัดการทุกอย่าง และพอเขาถามว่าจะไปไหนเธอก็ตอบเขาด้วยความเต็มใจ
ตอนที่ชายหนุ่มได้ยินเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่พยักหน้ารับก่อนจะพาเธอเดินลงจากคอนโดมิเนียมไปขึ้นรถ แล้วก็ขับรถอยู่แบบนี้
จันทร์ฉายหลงเข้าใจผิดคิดว่าเขาจะใจดีไปส่งเธอที่บ้านต่างจังหวัด แต่เมื่อพิจารณาเส้นทางโดยละเอียดแล้วเธอก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่ และเมื่อถามเขากลับไม่ยอมตอบเธอ ทั้งยังตีหน้ามึนขับรถไปเงียบ ๆ
บรรยากาศในรถเริ่มมาคุเพราะอารมณ์ของหญิงสาว สงกรานต์สามารถสัมผัสอารมณ์นั้นได้ เขาปรายสายตามองเธอเล็กน้อยก่อนจะตั้งใจขับรถต่อ
จันทร์ฉายหันหน้าไปนอกหน้าต่างรถยนต์เอนแผ่นหลังพิงกับเบาะก่อนที่ตาคู่สวยจะปิดลง เพื่อปรับอารมณ์ของตัวเองให้ดีขึ้น ฝ่ามือเล็กของเธอยกขึ้นลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเองไปมา ในไม่ช้าหญิงสาวก็ผล็อยหลับไป
ด้านสงกรานต์เมื่อเห็นว่าหญิงสาวคนที่เป็นแม่ของลูกหลับไปแล้วก็หยิบสมาร์ตโฟนเครื่องหรูสีดำขึ้นมาต่อสายหาครอบครัวของตัวเอง โดยคุยผ่านทางเครื่องมือสื่อสารที่เรียกว่าสมอลทอล์ก ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและเธอรวมถึงลูกในท้อง ชายหนุ่มรอไม่นานปลายสายก็กดรับ
“สวัสดีครับคุณแม่”
(ว่าไงตาสง)
เสียงของหญิงวัยกลางคนผู้เป็นมารดาของเขากรอกเสียงมาตามสายด้วยความยินดี
“ผมกำลังกลับบ้านนะครับ”
(มีอะไรหรือเปล่า ปกติเราไม่ค่อยกลับบ้านมาหาแม่นี่) มารดาของชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด
“โธ่... คุณแม่ครับ ถึงผมไม่ค่อยกลับบ้านแต่ผมก็โทรหาคุณแม่ไม่ขาดนี่นา” ใช่แล้ว ถึงชายหนุ่มจะไม่ค่อยได้กลับบ้านแต่เขาก็โทรหาครอบครัวอยู่เสมอ
(ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันก็ไม่เหมือนเรากลับบ้านนี่ แล้วก็นะตาสงเรานี่ก็ช่างกระไร บ้านก็อยู่ในกรุงเทพแท้ ๆ แทนที่จะกลับบ้านหรือมาพักที่บ้านแต่ก็ยังดื้อแพ่งพักที่คอนโดอยู่ได้)
“โธ่... คุณแม่ครับ ก็ผม...”
(งานเยอะ! ไม่ต้องพูดแม่รู้ทันหรอกน่า) มารดาของเขาตอบกลับด้วยความรู้ทันจนชายหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้
(แล้วนี่ยังไงกลับบ้านเพราะคิดถึงหรือมีเรื่องอะไรกันแน่)
“คิดถึงครับและก็มีเรื่องด้วย” เขาพูดพร้อมกับปรายสายตาไปมองคนที่กำลังหลับ
(เรื่องอะไร)
“ผมกำลังจะพาแม่ของลูกไปหาคุณแม่กับคุณพ่อครับ”
(ว่าไงนะ! นี่แกทำผู้หญิงท้องเหรอตาสง แม่บอกแล้วใช่ไหมเรื่องพวกนี้ให้ระวังแล้วทำไมถึงพลาดได้ ไหนจะเรื่องหนูอรอุมาอีก ตาสงแกนะแก)
“เลิกบ่นเถอะครับ ผมรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ส่วนเรื่องผมกับอรคุณแม่ไม่ต้องสนใจหรอกเพราะเดี๋ยวผมจะจัดการเอง ที่สำคัญระหว่างผมกับอรยังมีเรื่องราวบางอย่างที่คุณแม่และคนอื่นไม่รู้”
(เรื่องอะไรแกบอกแม่มา)
“บอกไม่ได้ครับต้องรอก่อน แต่ตอนนี้คุณแม่เตรียมตัวรับลูกสะใภ้คนนี้ของคุณแม่ด้วยนะครับ ผมคิดว่าน่าจะถูกใจคุณแม่ไม่มากก็น้อยเลย แค่นี้นะครับ อีกครึ่งชั่วโมงก็น่าจะถึง”
พูดจบชายหนุ่มก็กดวางสายทันที จากนั้นก็ตั้งใจขับรถด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอจนในที่สุดเขาก็ขับรถถึงบ้านอย่างปลอดภัย
“ฉาย ฉายตื่นได้แล้วครับถึงบ้านแล้ว”
สงกรานต์ปลุกคนตัวเล็กโดยการยืนหน้าไปกระซิบข้างใบหูเธอเบา ๆ ก่อนจะฉวยโอกาสที่เธอหลับหอมแก้มนุ่มนั้นอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะรีบผละตัวเองออกมา
“ฉาย ฉายครับ ตื่นเร็วถึงแล้ว”
ครั้งนี้เขาเขย่าตัวเธอเบา ๆ ในที่สุดหญิงสาวก็ปรือตาขึ้นก่อนจะกะพริบตาเพื่อปรับสายตาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สิ่งแรกที่จันทร์ฉายเห็นก็คือใบหน้าหล่อเหลาของสงกรานต์ที่กำลังฉีกยิ้มให้เธออยู่ หญิงสาวไม่สนใจเขานัก เธอหันซ้ายหันขวาก่อนจะไปสะดุดกับบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอ เมื่อมองจนแน่ใจแล้วว่าเธอไม่ได้ตาฝาดเธอจึงหันสายตามามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้างช้า ๆ
“บ้านพี่เองครับ” สงกรานต์บอกอย่างใจดีเมื่อเห็นสายตาสงสัยของเธอที่มองมา
“แล้วพาฉายมาที่นี่ทำไมคะ ฉายบอกแล้วไงว่าฉายจะกลับบ้าน” เธอพูดพร้อมมองตาเขาเขม็ง
“พี่รู้ครับ พี่ก็เลยพาฉายมาที่บ้านพี่ก่อนไง”
“พี่สง!” หญิงสาวเรียกชื่อชายหนุ่มเสียงดัง
“ใจเย็น ๆ ฟังพี่ก่อนนะครับ ที่พี่พาฉายมาที่บ้านพี่เพราะมีเหตุผล ข้อแรกเลยฉายกำลังท้องซึ่งฉายไม่เคยท้องมาก่อนดังนั้นถ้าฉายมาอยู่ที่นี่คุณแม่พี่จะได้ช่วยแนะนำฉายได้ไงครับ ข้อสองพี่ก็อยากพาฉายมาฝากตัวกับคุณพ่อคุณแม่พี่ด้วย และข้อสามพี่บอกแล้วว่าพี่จะพาฉายไปหาตากับยาย พาฉายกลับบ้านด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้พี่ยังไม่สะดวกเพราะงานพี่เยอะฉายก็รู้ ดังนั้นเลื่อนการกลับบ้านฉายออกไปก่อนแล้วมาบ้านพี่แทนแล้วกันนะครับ”
สงกรานต์ร่ายยาว
“ฉายบอกพี่สงแล้วไงคะว่าฉายไม่ต้องการให้พี่รับผิดชอบ พี่สงก็แค่ปล่อยฉายไปตามทางของฉายทุกอย่างก็จบ พี่สงจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากทำไม”
จันทร์ฉายพูดขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์
“ฉาย! พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าเด็กในท้องของฉายคือลูกของพี่ พี่จะรับผิดชอบ พี่ไม่ยอมให้ฉายพรากลูกของพี่ไปเด็ดขาดและอย่างที่พี่เคยบอกคือพี่อยากเห็นพัฒนาการของเขาทุกฝีก้าว ดังนั้นฉายอย่าได้มาขัดความต้องการของพี่เลยดีกว่า และที่สำคัญเราคุยเรื่องนี้กันมาสองสามรอบแล้วพี่หวังว่าฉายจะไม่พูดเรื่องนี้อีก ไปครับลงรถ แม่พี่รออยู่”
สงกรานต์พูดจบก็เดินลงไปจากรถพร้อมกับอ้อมมาทางฝั่งที่หญิงสาวนั่ง ชายหนุ่มเปิดประตูให้กับเธอพร้อมทั้งใช้สายตากดดันมองหญิงสาว
จันทร์ฉายแกล้งไม่สนใจเขาในครั้งแรกเธอพยายามที่จะตีมึนดื้อเเพ่งกับเขา ทว่าเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทำท่าจะอุ้มเธอลงจากรถเข้าไปในบ้าน หญิงสาวจึงรถจากรถด้วยความรวดเร็ว พร้อมทั้งส่งค้อนวงโตให้ชายหนุ่มด้วย
สงกรานต์ยกยิ้มมุมปากก่อนจะคว้ามือเธอเข้ามาจับแล้วหลังจากนั้นก็เดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน
เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาในบ้านได้ก็เจอร่างของคนสองคนนั่งรออยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกของบ้าน ชายหนุ่มจับมือหญิงสาวเดินเข้าไปหาท่านทั้งสอง แล้วกล่าวแนะนำให้ต่างฝ่ายต่างรู้จักกัน
“ฉาย นี่คุณพ่อคุณแม่พี่ คุณพ่อคุณแม่ครับนี่ฉายครับ”
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวสวัสดีทั้งสองด้วยความเกร็ง
คุณแม่ของสงกรานต์มองสำรวจหญิงสาวไปมาทั้งตัวจนเธอรู้สึกประหม่า เธอกำมือตัวเองไว้แน่น แล้วก้มหน้ามองเท้าตัวเอง
ส่วนคุณพ่อของสงกรานต์ก็ยกยิ้มใจดีมองหญิงสาวที่จะเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ตนด้วยสายตาอบอุ่น พร้อมทั้งบอกให้สงกรานต์พาเธอมานั่งที่โซฟาเพื่อพูดคุยความเป็นมาต่อไป