๓ หลงละเมอ (๑)
๓
หลงละเมอ
งานของพิธานรุดหน้าไปค่อนข้างมาก ชายหนุ่มพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้รับคำชมจากทั้งบิดาและพี่ชายของตนเอง ถึงจะทำงานมาได้กว่าห้าปีแต่ชิ้นงานที่สร้างชื่อให้เขาจนเป็นที่ยอมรับและขึ้นมาเป็นกรรมการบริหารนั้นมีเพียงแค่หนึ่งชิ้น คือแอลกอฮอล์ผสมผลไม้ที่ขายดิบขายดีในต่างประเทศ สร้างรายได้เงินดอลลาร์เป็นกอบเป็นกำ
เขามีนัดกับครีเอทีฟเพื่อคุยเกี่ยวกับการโฆษณาที่จะออกสู่โทรทัศน์ ต้องการจะตัดเวลาให้น้อยกว่านี้แต่สร้างความทรงจำที่ดีแก่ผลิตภัณฑ์ ไม่มีใครว่างเพราะรับงานอื่นจึงส่งตัวแทนอย่างกิรนันท์มาพูดคุยเพียงคนเดียว
และหญิงสาวก็เต็มใจเสียเหลือเกินที่จะพบหน้าคนที่ตนเองแอบชอบเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่ลึกๆ หล่อนรู้สึกว่าชายหนุ่มเองก็มีใจให้เธอเช่นเดียวกัน ดวงตาคมมักจะจ้องมองยามที่เธอเผลอโดยไม่รู้เลยว่าคนถูกมองจับได้ทุกครั้ง
“ขอโทษที่รบกวนหลังเลิกงานนะครับ ผมว่างแค่ช่วงนี้” ท้องฟ้าเริ่มทาสีเข้มร่างบางจึงเดินเข้ามาภายในคอนโดหรู เขาว่างช่วงหลังเลิกงานจึงได้ติดต่อไปให้ฝ่ายครีเอทีฟมาเวลานี้
หล่อนยิ้มเล็กน้อยพลางพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน “ไม่เป็นค่ะ” ร่างสูงเดินนำไปถามนิติบุคคลเพื่อขอจองห้องประชุม
“ห้องประชุมช่วงนี้ว่างไหมครับ” หล่อนเปิดเอกสารสำหรับการจองห้องก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยเสียงเจือความรู้สึกผิด
“ห้องเต็มแล้วค่ะคุณพิธาน” ใบหน้าคมแสดงออกถึงความเสียดาย แล้วถามถึงห้องเล็กทว่าทุกห้องถูกจับจองหมดแล้ว
กิรนันท์ที่รอข้างนอกก็เตรียมเอกสารไว้สำหรับเสนอ เงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นว่าร่างสูงเดินกลับมาแล้ว รีบลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพิธานเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าลำบากใจก็เกิดความสงสัย ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาก่อนกระทั่งชายหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นมาดู
ค่ำแล้วด้วย คงไม่มีทางเลือกเสียแล้ว...
“จะรังเกียจไหมครับถ้าขึ้นไปคุยงานที่ห้องผม” ปากเล็กเผยอขึ้นเล็กน้อย ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ เห็นใบหน้าคมมีแววประหม่าก็กัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยค่อยตอบพร้อมรอยยิ้ม พยายามไม่ประหม่าทั้งที่ในใจเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ
“ไม่ค่ะ” ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้รับคำตอบที่พึงพอใจ เขาผายมือไปยังลิฟต์ตัวใกล้สุดค่อยเดินนำร่างบางเข้าไปข้างใน
ไม่มีผู้โดยสารสักคนทำให้ตู้โดยสารมีเพียงเขาและเธอ ไม่นึกว่ามันจะอึดอัดขนาดนี้มาก่อนกระทั่งได้ยินเสียงเข้มเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศเงียบเชียบ
“ผมไม่นึกว่าห้องจะเต็มเลยไม่ได้จองไว้ ขอโทษด้วยนะครับถ้าทำให้คุณอึดอัด” หล่อนรีบส่ายหน้าทันที
“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นเรื่องสุดวิสัย” มือเล็กกำกระเป๋าสะพายไว้แน่น ค่อนข้างทำตัวไม่ถูกยามได้อยู่กับชายหนุ่มเพียงลำพังเช่นนี้ หล่อนคิดไม่ซื่อกับเขา อีกทั้งคนตัวสูงก็แสนจะดูดีทุกกระเบียดนิ้วจะไม่ให้ชอบอย่างไรไหว
เพียงแค่มองหน้าหัวใจก็สั่นจนยากจะควบคุม แอบเหลือบมองมุมด้านข้างของเขาก่อนจะชะงัก ภาพวันนั้นย้อนกลับมาอีกครั้งทั้งที่เคยลืมไปแล้วแท้ๆ
วันที่หล่อนไปกินเลี้ยงหลังลาออกจากตำแหน่งแอร์โฮสเตสแล้วเจอเพื่อนในกลุ่มเดียวกันอย่างเรนิตาควงคู่มากับหนุ่มหล่อ อาจเพราะมันมืดทำให้เห็นหน้าฝ่ายชายไม่ชัด เจอหน้ากันหลายครั้งก็นึกตลอดว่าเคยเห็นหน้าพิธานที่ไหนทำไมถึงได้คุ้นขนาดนี้
วันนี้รู้แล้ว...ในเมื่อเขาคือคนที่ยืนเคียงข้างกับเรนิตาอดีตเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกับหล่อน!
“หน้าผมมีอะไรหรือเปล่าครับ” เห็นอีกฝ่ายมองอยู่นานจึงได้ถามขึ้น ขณะที่กำลังจะตอบประตูลิฟต์ก็เปิดเสียก่อน
“เชิญครับ” เจ้าของห้องแตะแขนเล็กพลางเดินนำหน้า กิรนันท์ตามไปทันทีไม่พูดอะไรอีก ความกลัวเริ่มจู่โจมเข้ามาภายในหัวใจอย่างไม่อาจห้ามได้
หวังว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ชายของเพื่อนคนนั้นหรอกนะ
ได้โปรดอย่าทำร้ายความรู้สึกกันมากขนาดนี้เลย ความกังวลฉายชัดบนใบหน้าแต่คนเดินนำทางกลับไม่รู้เรื่องอะไร ดวงตากลมโตมองแผ่นหลังกว้างที่น่าซบด้วยความอยากเป็นเจ้าของ
ควรถามไปดีไหมว่าเขาโสดหรือมีแฟนแล้ว แต่ถ้าคำตอบทำร้ายจิตใจจะทำอย่างไรในเมื่อความรู้สึกที่มีมันถลำลึกไปเสียแล้ว ไม่อยากเสียเขาไปให้ใครในเมื่อพิธานเพียบพร้อมทุกอย่างจนเหมือนเดินออกมาจากเทพนิยาย
ราวกับว่าเขาคือเจ้าชายที่เธอฝันหามาตลอด แต่ตอนนี้เหมือนจะถูกแม่มดชั่วร้ายแย่งไปอย่างหน้าด้านๆ
ใครจะไปยอมกัน...
“ห้องอาจจะรกหน่อยนะครับ” เปิดประตูเผยให้เห็นเพนท์เฮ้าส์สุดหรูที่กว้างขวางจนเกือบอ้าปากค้าง การตกแต่งเน้นสีทองและขาวให้ความรู้สึกหรูหราจนไม่กล้าเข้าไป ไฟเปิดโดยอัตโนมัติพร้อมเครื่องปรับอากาศที่เย็นทั่วห้อง
คาดว่าราคาคงไม่ใช่น้อยในเมื่อมีฟังก์ชั่นครบขนาดนี้ ลูกชายคนเล็กของตระกูลอยากได้อะไรพ่อแม่คงประเคนให้ทันที น่าอิจฉาจนต้องลอบมองแผ่นหลังกว้างแล้วอดน้อยเนื้อต่ำใจกับชะตาชีวิตของตนเองไม่ได้
บิดาทำอาชีพตำรวจยศแค่จ่ามาสิบกว่าปี แม่ขายข้าวแกงอยู่ตลาดใกล้บ้าน ส่วนพี่ชายที่ได้ทำงานธนาคารก็ไม่ค่อยกลับมาให้เห็นหน้า แทบจะตัดขาดกันแล้วด้วยซ้ำ หล่อนต้องแบกทุกอย่างเพียงลำพังจนเกือบเป็นโรคซึมเศร้า ดีที่ไปหาหมอพยายามรักษาทุกวิธีทางจึงดีขึ้น
เจ้าของห้องก้มลงไปเก็บเสื้อผ้าที่วางไว้บนพื้นสองสามชิ้นก่อนเดินเข้าห้องปล่อยแขกไว้ที่ห้องรับรองเพียงลำพัง เพดานสูงมีโคมไฟระย้าห้อยลงมา ไม่ได้ดูหรูหราแต่กลับเรียบง่ายบ่งบอกความชอบร่างสูงเป็นอย่างดี
ไม่เห็นจะรกเลย...
มองไปรอบๆ ก็ค่อนข้างกว้างขวางสะอาดตา มีรูปของชายหนุ่มตั้งไว้ตามตู้โชว์จนอดจะลุกขึ้นไปดูไม่ได้ ลืมเสียสนิทว่ามาที่นี่ด้วยเหตุผลใด
ริมฝีปากแย้มยิ้มเมื่อเห็นรูปที่เขาขึ้นรับรางวัลหนุ่มน่ากอดแห่งปี นักธุรกิจมาแรง หรือภาพครอบครัวที่แสนอบอุ่นจนอยากเข้าไปร่วมเฟรมด้วย
“น้ำครับ” สะดุ้งกับเสียงทุ้มก่อนจะหันมาอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำให้น้ำส้มในแก้วซึ่งยื่นให้หญิงสาวหกใส่เสื้อจนเป็นเปื้อนไปหมด ทั้งสองอุทานด้วยความตกใจกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
“ผมขอโทษครับ” ผละไปวางแก้วไว้บนโต๊ะห้องรับรองแล้วหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้คนตัวเล็กกว่า
“ไม่เป็นค่ะ กี้ผิดเองที่ไม่มองให้ดี” ปฏิเสธทันทีแล้วรับทิชชู่มาเช็ด แต่ดูเหมือนว่ารอยจะยิ่งเด่นชัดขึ้นจนในที่สุดเจ้าของห้องก็เอ่ยปาก
“ผมว่าไม่น่าจะออก ถ้าไม่รังเกียจเปลี่ยนเป็นชุดผมก่อนไหมครับ” คนฟังนิ่งไปทันที มองที่ชุดตนเองซึ่งเป็นรอยด่างก็ค่อยพยักหน้าพร้อมตอบกลับ
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” ร่างสูงนำไปที่ห้องนอนแล้วเปิดประตูบานใหญ่ออก ผ่านไปยังห้องแต่งตัวที่เป็นแบบวอร์คอินคลอเซ็ท
มีตู้เรียงรายกันพร้อมชุดที่ไล่เรียงสีจากขาวไปสีดำ ทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนเจ้าระเบียบพอสมควร ยืนมองด้วยความอยากรู้แต่ก็ไม่กระโตกกระตากมากเกินไป พยายามเก็บรายละเอียดในเวลาอันน้อยนิดก่อนจะรับเสื้อเชิ้ตสีเข้มจากมือหนา
“ห้องน้ำอยู่ทางนั้นครับ” ชี้ไปยังบานประตูสีขาว หล่อนจึงค้อมศีรษะเป็นการขอบคุณแล้วเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อ พยายามไม่แสดงอาการดีใจเกินหน้าเกินตาทั้งที่อยากยกเสื้อเขามาดมกลิ่นใจแทบขาด
พิธานมีเสน่ห์ทุกอย่างและโดนใจหล่อนเหลือเกิน เธอชอบเขาจนไม่อาจจะยกให้ใครได้เสียแล้ว หากมันจะเกิดเรื่องราวยากลำบากขึ้นต่อจากนี้ ก็คงไม่โทษใคร
เพราะหล่อนตัดสินใจจะเดินหน้าพิชิตภูเขาสูงเสียดฟ้าลูกนี้แล้ว...
เรนิตาเหลือบมองโทรศัพท์บ่อยครั้งจนคนอื่นสังเกตได้ ภายในห้องทำงานที่เย็นเฉียบจนต้องไปเพิ่มอุณหภูมิ ไม่ใช่เพียงเพราะเครื่องปรับอากาศแต่อารมณ์เจ้านายซึ่งไม่คงที่เล่นเอาพนักงานต่างหันมองกันแล้วเม้มปากแน่น
หวังว่าหล่อนจะไม่ลงที่งานซึ่งแทบจะไม่เดินหน้าอย่างที่คาดเอาไว้ ดวงตาเรียวลืมขึ้นแล้วมองใบหน้าทีละคนเล่นเอาสะดุ้งเป็นแถบ หลบสายตาแสร้งทำเป็นเพ่งอ่านเอกสารตรงหน้า
“บทไม่เสร็จ นักแสดงหาไม่ได้ จ้างมาทำงานนะไม่ได้จ้างมาเม้าชาวบ้าน” เคาะปากกากับโต๊ะพลางใช้ความคิด พยายามควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ให้ร้อนไปมากกว่านี้ แค่เรื่องงานสมองก็ไม่มีที่ว่างพอจะคิดเรื่องอื่น แต่พอติดต่อพิธานไม่ได้ก็ทำให้เกิดความขุ่นมัวในใจ
ช่วงนี้เขาไม่ค่อยว่างเพราะรับผิดชอบโปรเจคใหญ่ ทว่าไม่เข้าใจเหตุใดจึงไม่สามารถโทรศัพท์หาหรือรับสายได้
ไม่ว่างหรือแค่ข้ออ้างออกห่าง...
เพิ่งคบกันได้ไม่นานแต่ดูเหมือนรักจะล่มเสียแล้ว ตอนเริ่มต้นทุกอย่างก็เหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ พอผ่านไปไม่กี่เดือนหนามแหลมก็เริ่มงอกขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
ควรทำเช่นไรดี หรือบางทีหล่อนอาจคิดไปเอง ถอนหายใจเสียงดังจนพนักงานต้องมองหน้ากันเพื่อหาหน่วยกล้าตายในการตอบคำถาม
“บทเราเพิ่มอาชีพหมอจักษุเข้าไปเลยต้องถามเกี่ยวกับการทำงานนำมาปรับให้เข้ากับคำพูดและบริบทอื่นๆ ค่ะ ส่วนตัวนักแสดงกำลังเร่งหาค่ะ น่าจะทันเปิดกล้อง” พูดจาฉะฉานทั้งที่มือชื้นไปด้วยเหงื่อ ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบรอฟังเจ้านายซึ่งก้มมองกระดาษราวใช้ความคิด
“น่าจะทัน..งั้นเหรอ แล้วถ้ามันไม่ทันล่ะ” กวาดสายตามองแต่ละคนแล้วเค้นหาคำตอบ
“ทันค่ะ ทันแน่นอน” อีกคนตอบขึ้นเรียกสายตาจากทุกคน แต่ละฝ่ายลอบกลืนน้ำลายรู้ว่ายากที่จะหาตัวเอกให้ทันกำหนดการ ไหนจะบทที่ยังไม่ลงตัวอีก งานนี้ยากเสียแล้ว
“เปิดกล้องอีกสองเดือน บทได้ไม่ถึงครึ่ง นักแสดงนำก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้ อือ ขอให้โชคดีแล้วกัน เพราะถ้าปิดกล้องไม่ทันแล้วหมดงบละครก่อน คงรู้ใช่ไหมว่าจะเอาเงินเดือนพวกเธอมาใช้ในส่วนนี้ นั่นหมายความว่า พวกเธอจะไม่ได้เงินเดือนถ้าทำให้การถ่ายทำละครต้องปิดกล้องช้ากว่ากำหนด” ปิดจบเสียงเข้มพร้อมเก็บเอกสารส่วนของตนเองแล้วลุกขึ้นยืนทันที
หมุนกายออกจากห้องประชุมคนแรกก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจตามมา แต่ละคนมองหน้ากันแล้วยิ่งเครียดหนัก จะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างไรในเมื่องานไม่คืบหน้าเลย
ตอนแรกที่ตัดสินใจจะทำละครแนวแฟนตาซีก็คิดหนักแล้ว ยังมีการแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้องอีก มีเรื่องตั้งแต่บทละครยังไม่เสร็จแบบนี้ขอให้ดังทีเถอะ
แต่ก่อนอื่นต้องเร่งเขียนบทให้เสร็จจะได้แคสติ้งนักแสดงนำสักที จะได้ไม่โดนเจ้านายกินหัว!
เรนิตาเข้าห้องของตนเองพลางปิดประตูเสียงดัง ถอดเสื้อสูทออกเหลือเพียงเดรสสีชมพูสายเดี่ยวเข้ารูป หล่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอีกครั้งแล้วรอสัญญาณรอก่อนถูกตัดไปเมื่อไม่มีคนรับ ผ่อนลมหายใจเข้าออกพยายามระงับความโกรธ คิดในแง่ดีว่าเขายังไม่เลิกงานแต่พอมองนาฬิกาก็พบว่ามันเกือบสองทุ่มแล้ว